คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
ปชา วรธรรมพินิจ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 632 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5851/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมสิทธิ์ที่ดินตามพินัยกรรมและการครอบครองจริง แม้โฉนดจะระบุผิดพลาด แต่เจ้าของกรรมสิทธิ์ย่อมมีสิทธิ
แม้การแบ่งแยกโฉนดจะทำให้ที่ดินพิพาทอยู่ในเขตโฉนดที่ดินของโจทก์ก็ตาม แต่จำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทตามพินัยกรรมและได้ครอบครองที่ดินพิพาทตลอดมา การที่จำเลยสร้างรั้วในเขตที่ดินพิพาทจึงเป็นการสร้างในที่ดินของจำเลยเอง ไม่เป็นการสร้างรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5851/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ แม้โฉนดไม่ตรงตามพินัยกรรม แต่จำเลยมีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทตามพินัยกรรมและครอบครองตลอดมา จึงไม่เป็นการรุกล้ำ
แม้การแบ่งแยกโฉนดจะไม่ตรงตามแนวเขตที่กำหนดไว้ในพินัยกรรมทำให้ที่ดินพิพาทอยู่ในเขตโฉนดที่ดินของโจทก์ก็ตาม แต่จำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทตามพินัยกรรมและได้ครอบครองตลอดมา การที่จำเลยสร้างรั้วในเขตที่ดินพิพาทจึงเป็นการสร้างในที่ดินของจำเลยเอง ไม่เป็นการรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5278/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ หมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา: การพิสูจน์ความเท็จและการบรรเทาความเสียหาย
จำเลยพิมพ์โฆษณาข้อความอันฝ่าฝืนความจริงทางหนังสือพิมพ์ซึ่งเมื่ออ่านข้อความทั้งหมดประกอบกันแล้วทำให้เข้าใจได้ว่าโจทก์เป็นผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์และเคยเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย กำลังวางแผนจัดตั้งพรรคการเมืองที่ถูกต้องตามกฎหมายโดยยอมรับหลักลัทธิคอมมิวนิสต์ การไขข่าวเช่นนี้ ในขณะที่ประเทศไทยมีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขและมีพระราชบัญญัติป้องกันการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ใช้บังคับอยู่ย่อมทำให้โจทก์ซึ่งเป็นคนไทยคนหนึ่งเป็นที่รังเกียจ ถูกดูหมิ่นเกลียดชังจากประชาชนทั่วไป ทำให้โจทก์เสียหาย จำเลยจึงต้องร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ ข้อความดังกล่าวเป็นการหมิ่นประมาทชื่อเสียงเกียรติคุณของโจทก์และอาจกระทบถึงทางเจริญหรือทางทำมาหาได้ของโจทก์ โจทก์จึงมีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทน แต่จำเลยได้ลงแก้ข่าวให้โจทก์ทางหนังสือพิมพ์หลายฉบับติดต่อกันหลายวันอันเป็นการบรรเทาความเสียหายไปส่วนหนึ่งแล้ว ศาลฎีกาจึงกำหนดค่าเสียหายให้โจทก์ 50,000 บาท

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5142/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยึดสิทธิทำกินในที่ดินภูเขาที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินเป็นโมฆะ
คำร้องขัดทรัพย์บรรยายว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่ภูเขาอันเป็นของรัฐตามกฎหมายห้ามมิให้ยึด ผู้ร้องได้ครอบครองที่ดินพิพาทอย่างเป็นเจ้าของแต่ผู้เดียวมิใช่ของจำเลย โจทก์จึงไม่มีสิทธินำยึดที่พิพาท คำร้องขัดทรัพย์จึงหาได้ขัดกันเองหรือเคลือบคลุมไม่
ที่ดินพิพาทเป็นที่ภูเขา ทางราชการไม่อาจออกหนังสือสำคัญแสดงกรรมสิทธิ์ได้ จึงเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นประเภทที่ดินรกร้างว่างเปล่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1304(1) สิทธิทำกินในที่ดินคือสิทธิครอบครองทำประโยชน์ในที่ดิน ดังนั้น การยึดสิทธิทำกินในที่ดินก็คือการยึดสิทธิครอบครองในที่ดินนั่นเอง เมื่อที่ดินพิพาทเป็นที่สาธารณประโยชน์ของแผ่นดิน จึงต้องห้ามมิให้ยึดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1307 โจทก์ย่อมไม่มีสิทธินำยึดที่ดินพิพาท

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5142/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยึดสิทธิทำกินในที่ดินภูเขาที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินเป็นโมฆะ
คำร้องขัดทรัพย์บรรยายว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่ภูเขาอันเป็นของรัฐตามกฎหมายห้ามมิให้ยึด ผู้ร้องได้ครอบครองที่ดินพิพาทอย่างเป็นเจ้าของแต่ผู้เดียวมิใช่ของจำเลย โจทก์จึงไม่มีสิทธินำยึดที่ดินพิพาท คำร้องขัดทรัพย์จึงหาได้ขัดกันเองหรือเคลือบคลุมไม่ ที่ดินพิพาทเป็นที่ภูเขา ทางราชการไม่อาจออกหนังสือสำคัญแสดงกรรมสิทธิ์ได้ จึงเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทที่ดินรกร้างว่างเปล่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1304(1)สิทธิทำกินในที่ดินคือสิทธิครอบครองทำประโยชน์ในที่ดิน ดังนั้น การยึดสิทธิทำกินในที่ดินก็คือการยึดสิทธิครอบครองในที่ดินนั่นเองเมื่อที่ดินพิพาทเป็นที่สาธารณประโยชน์ของแผ่นดิน จึงต้องห้าม มิให้ยึดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1307 โจทก์ย่อม ไม่มีสิทธินำยึดที่ดินพิพาท

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5141/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำร้องขอทุเลาการบังคับคดี แม้เคยถูกยกคำร้องแล้ว ก็สามารถยื่นคำร้องใหม่ได้ ศาลอุทธรณ์ไม่มีอำนาจวินิจฉัย
แม้จำเลยจะขอทุเลาการบังคับคดีมาแล้ว แต่ศาลชั้นต้นยกคำร้องเพราะจำเลยวางหลักประกันล่วงเลยกำหนดระยะเวลาก็ตามก็ไม่มีกฎหมายห้ามว่าจะขอ ทุเลาการบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 231 วรรคแรก อีกไม่ได้
การวินิจฉัยคำร้องขอทุเลาการบังคับคดีซึ่งอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ เป็นอำนาจของศาลอุทธรณ์โดยเฉพาะที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า คำร้องของจำเลยอยู่ในอำนาจของศาลชั้นต้นที่จะสั่งคำร้อง จะให้ศาลอุทธรณ์สั่งไม่ได้และยกคำร้องของจำเลยนั้น เป็นการไม่ชอบ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5141/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิในการขอทุเลาการบังคับคดีใหม่ แม้เคยถูกปฏิเสธ และอำนาจพิจารณาของศาลอุทธรณ์
แม้จำเลยจะขอทุเลาการบังคับคดีมาแล้ว แต่ศาลชั้นต้นยกคำร้องเพราะจำเลยวางหลักประกันล่วงเลยกำหนดระยะเวลาก็ตาม ก็ไม่มีกฎหมาย ห้ามว่าจะขอทุเลาการบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 231 วรรคแรก อีกไม่ได้ การวินิจฉัยคำร้องขอทุเลาการบังคับคดีซึ่งอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ เป็นอำนาจของศาลอุทธรณ์โดยเฉพาะ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า คำร้อง ของ จำเลยอยู่ในอำนาจของศาลชั้นต้นที่จะสั่งคำร้องจะให้ศาลอุทธรณ์สั่งไม่ได้และยกคำร้องของจำเลยนั้น เป็นการไม่ชอบ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5138/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ตัวแทนตามสัญญาซื้อขาย: การพิสูจน์ความเป็นตัวแทนและขอบเขตความรับผิด
จำเลยที่ 2 ได้ติดต่อขอซื้อสินค้าจากโจทก์โดยแจ้งว่าเป็นตัวแทนของบริษัทในต่างประเทศ และได้ทำสัญญาสั่งซื้อกับโจทก์ ตรวจสอบสินค้าและออกใบรับรองการตรวจสินค้าให้โจทก์ ซึ่งเป็นการกระทำเพื่อรักษาผลประโยชน์ของบริษัทในต่างประเทศ จำเลยที่ 2 จึงเป็นตัวแทนของบริษัทดังกล่าวในการซื้อสินค้าจากโจทก์ต้องรับผิดตามสัญญาที่ทำกับโจทก์ แม้โจทก์ให้ค่าตอบแทนแก่จำเลยที่ 2 ด้วยก็เพราะจำเลยที่ 2 นำผลประโยชน์ทางการค้ามาให้โจทก์ หาทำให้จำเลยที่ 2 กลายเป็นนายหน้าของโจทก์ไม่
โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 2 ชำระค่าสินค้า จำเลยที่ 2 ให้การเพียงว่า การที่โจทก์ไม่ได้รับชำระเป็นความผิดของโจทก์ที่มิได้ปฏิบัติตามสัญญาแต่มิได้อ้างเหตุแห่งการปฏิเสธว่าโจทก์ผิด สัญญาอย่างไร จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสอง จำเลยที่ 2 ย่อมไม่มีสิทธิที่จะนำสืบตามคำให้การส่วนนี้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5138/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเป็นตัวแทน สัญญาซื้อขาย และการนำสืบพยาน: กรณีตัวแทนสั่งซื้อสินค้าแล้วบริษัทไม่รับ
จำเลยที่ 2 ได้ติดต่อขอซื้อสินค้าจากโจทก์โดยแจ้งว่าเป็นตัวแทนของบริษัทในต่างประเทศ และได้ทำสัญญาสั่งซื้อกับโจทก์ตรวจสอบสินค้าและออกใบรับรองการตรวจสินค้าให้โจทก์ ซึ่งเป็นการ กระทำเพื่อรักษาผลประโยชน์ของบริษัทในต่างประเทศ จำเลยที่ 2จึงเป็นตัวแทนของบริษัทดังกล่าวในการซื้อสินค้าจากโจทก์ ต้องรับผิดตามสัญญาที่ทำกับโจทก์ แม้โจทก์ให้ค่าตอบแทนแก่จำเลยที่ 2ด้วยก็เพราะจำเลยที่ 2 นำผลประโยชน์ทางการค้ามาให้โจทก์ หาทำให้ จำเลยที่ 2 กลายเป็นนายหน้าของโจทก์ไม่ โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 2 ชำระค่าสินค้า จำเลยที่ 2 ให้การเพียงว่า การที่โจทก์ไม่ได้รับชำระเป็นความผิดของโจทก์ที่มิได้ปฏิบัติตามสัญญา แต่มิได้อ้างเหตุแห่งการปฏิเสธว่าโจทก์ผิดสัญญาอย่างไร จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177วรรคสอง จำเลยที่ 2 ย่อมไม่มีสิทธิที่จะนำสืบตามคำให้การ ส่วนนี้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5137/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ขอบเขตการฟ้องคดีบุกรุก และอายุความค่าเสียหายจากการละเมิด
การที่โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยที่ 1 บุกรุกที่ดินโจทก์เนื้อที่ 3 ไร่ 2 งานเศษและจำเลยที่ 2 บุกรุกที่ดินโจทก์เนื้อที่ประมาณ 30 ตารางวานั้น เป็นแต่เพียงกะประมาณเนื้อที่เอาไว้เพื่อ เสียค่าขึ้นศาลเท่านั้น เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยที่ 1ที่ 2 บุกรุกที่ดินของโจทก์รวมเนื้อที่จริง 3 ไร่ 3 งาน 76 ตารางวาตามแผนที่กลางที่เจ้าพนักงานได้ทำขึ้น ทั้งโจทก์จำเลยก็ทราบดีถึงเขตที่ดินส่วนที่พิพาทกันแล้ว ที่ศาลพิพากษาให้จำเลยออกไปจากที่ดินของโจทก์ในเนื้อที่บุกรุกจริง จึงมิใช่เป็นการพิพากษาเกินคำขอ โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยโดยรู้ถึงการละเมิดและ รู้ตัวผู้กระทำละเมิดอันพึงจะต้องชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็น เวลานานแล้ว และจำเลยที่ 1 ที่ 2 ก็ยกอายุความขึ้นต่อสู้ไว้ดังนั้น ค่าเสียหายของโจทก์ในส่วนที่เกิน 1 ปี ก่อนวันฟ้องย่อมขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 แม้จำเลยที่ 4 จะมิได้ยกอายุความขึ้นต่อสู้ แต่มูลความแห่งคดีเป็นการชำระหนี้ซึ่งไม่อาจแบ่งแยกได้ จำเลยที่ 4 ย่อมได้รับประโยชน์จากข้อต่อสู้ของจำเลยที่ 1 ที่ 2 ด้วยโจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายในส่วนนี้จากจำเลยที่ 4
of 64