คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
ปชา วรธรรมพินิจ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 632 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 833/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อพิพาทเช่านา: การซื้อขายที่ดิน การเช่า และสิทธิการฟ้องเรียกค่าเช่า
การเช่าทรัพย์อยู่ในบังคับแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ลักษณะเช่าทรัพย์ หากจำเลยจะอ้างความคุ้มครองตามกฎหมายพิเศษก็ต้องยกขึ้นต่อสู้ไว้ เพราะตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 177 บัญญัติให้จำเลยแสดงโดยแจ้งชัดในคำให้การว่า จำเลยยอมรับหรือปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ทั้งสิ้นหรือบางส่วนรวมทั้งเหตุแห่งการนั้น เมื่อตามคำให้การของจำเลยไม่ได้อ้างสิทธิความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ. 2517อันเป็นกฎหมายพิเศษขึ้นต่อสู้คดี จำเลยจึงยกขึ้นกล่าวอ้างในชั้นฎีกาไม่ได้ และที่ศาลชั้นต้นหยิบยกพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 โดยจำเลยมิได้ให้การต่อสู้ไว้ขึ้นวินิจฉัย จึงไม่ชอบ เมื่อจำเลยค้างชำระค่าเช่านาพิพาทรวม 2 ปี โจทก์ย่อมมีสิทธิบอกเลิกการเช่า ฟ้องขับไล่เรียกค่าเช่าที่ค้างชำระและค่าเสียหายจากจำเลยได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 833/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การอ้างสิทธิภายใต้กฎหมายพิเศษต้องยกขึ้นต่อสู้คดีตั้งแต่แรก หากไม่ทำจะยกขึ้นกล่าวอ้างในชั้นฎีกาไม่ได้
การเช่าทรัพย์อยู่ในบังคับแห่ง ป.พ.พ. ลักษณะเช่าทรัพย์หากจำเลยจะอ้างความคุ้มครองตามกฎหมายพิเศษก็ต้องยกขึ้นต่อสู้คดีได้เพราะ ป.วิ.พ. มาตรา 177 บัญญัติให้จำเลยแสดงโดยแจ้งชัดในคำให้การว่าจำเลยยอมรับหรือปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ทั้งสิ้นหรือบางส่วน รวมทั้งเหตุแห่งการนั้น เมื่อตามคำให้การของจำเลยไม่ได้อ้างสิทธิหรือความคุ้มครองตาม พ.ร.บ.ควบคุมการเช่านาฯ อันเป็นกฎหมายพิเศษขึ้นต่อสู้คดี จำเลยจะยกกฎหมายพิเศษดังกล่าวขึ้นกล่าวอ้างในชั้นฎีกาหาได้ไม่.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4400/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องที่ไม่สำเร็จ และสิทธิของโจทก์ในการดำเนินการ
ในวันที่โจทก์ยื่นคำฟ้องศาลชั้นต้นมิได้สั่งให้โจทก์นำส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องแก่จำเลย แต่มีคำสั่งว่า รับคำฟ้อง หมายส่งสำเนาให้จำเลย ถ้าส่งไม่ได้ให้โจทก์แถลงเพื่อดำเนินการต่อไปภายในกำหนด 7 วัน นับแต่วันส่งไม่ได้ หากไม่แถลงให้ถือว่าโจทก์ทิ้งฟ้อง คำสั่งดังกล่าวมีความหมายว่าโจทก์ได้ทราบถึงผลการส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องในวันส่งนั้น ต่อมาเจ้าหน้าที่ศาลไปส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องโดยโจทก์ไม่ได้นำส่ง แล้วรายงานว่าส่งไม่ได้ ศาลชั้นต้นสั่งในรายงานว่า "รอโจทก์แถลง" โดยไม่ได้แจ้งให้โจทก์ทราบว่าส่งไม่ได้ โจทก์ย่อมไม่มีโอกาสทราบถึงผลการส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลย จึงถือไม่ได้ว่าโจทก์ไม่ดำเนินคดีภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 174(2) อันจะเป็นการทิ้งฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4400/2532

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องที่โจทก์ไม่ได้นำส่งเอง ศาลต้องแจ้งผลการส่งให้โจทก์ทราบก่อนจะถือว่าทิ้งฟ้อง
ในวันที่โจทก์ยื่นคำฟ้องศาลชั้นต้นมิได้สั่งให้โจทก์นำส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องแก่จำเลย แต่มีคำสั่งว่า รับคำฟ้องหมายส่งสำเนาให้จำเลย ถ้าส่งไม่ได้ให้โจทก์แถลงเพื่อดำเนินการต่อไปภายในกำหนด 7 วัน นับแต่วันส่งไม่ได้ หากไม่แถลงให้ถือว่าโจทก์ทิ้งฟ้อง คำสั่งดังกล่าวมีความหมายว่าโจทก์ได้ทราบถึงผลการส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องในวันส่งนั้น ต่อมาเจ้าหน้าที่ศาลไปส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องโดยโจทก์ไม่ได้นำส่ง แล้วรายงานว่าส่งไม่ได้ ศาลชั้นต้นสั่งในรายงานว่า "รอโจทก์แถลง" โดยไม่ได้แจ้งให้โจทก์ทราบว่าส่งไม่ได้ โจทก์ย่อมไม่มีโอกาสทราบถึงผลการส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลย จึงถือไม่ได้ว่าโจทก์ไม่ดำเนินคดีภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 174(2) อันจะเป็นการทิ้งฟ้อง.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4400/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้อง หากส่งไม่ได้ ศาลต้องแจ้งโจทก์เพื่อให้ดำเนินคดีต่อ โจทก์ไม่ได้ทิ้งฟ้อง
ในวันที่โจทก์ยื่นคำฟ้องศาลชั้นต้นมิให้สั่งให้โจทก์นำส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องแก่จำเลย โจทก์จึงมีสิทธิที่จะนำส่งหรือไม่ก็ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 70 วรรคสองซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 10) พ.ศ. 2527 มาตรา 5 ต่อมาเมื่อเจ้าหน้าที่ศาลไปส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องโดยโจทก์ไม่ได้นำส่งแล้วรายงานว่า ส่งไม่ได้ ศาลชั้นต้นสั่งในรายงานว่า "รอโจทก์แถลง"โดยไม่ได้แจ้งให้โจทก์ทราบว่าส่งไม่ได้ โจทก์ย่อมไม่มีโอกาสทราบถึงผลการส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลย จึงถือไม่ได้ว่าโจทก์ทิ้งฟ้องโดยไม่ดำเนินคดีภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 174(2)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4152/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การจดทะเบียนสมรสต่างสัญชาติ: การรอหลักฐานความเป็นโสด ไม่ถือเป็นการปฏิเสธสิทธิ
โจทก์ไปยื่นคำร้องขอจดทะเบียนสมรสโดยระบุด้วยว่าเอาหนังสือรับรองความเป็นโสดจากสถานทูตมาแสดงไม่ได้ ขอให้จำเลยทำหนังสือถามข้อเท็จจริงเกี่ยวกับตัวโจทก์ไปที่สถานทูตเพื่อใช้ประกอบการจดทะเบียนสมรสตามกฎหมายไทย การที่จำเลยซึ่งเป็นนายทะเบียนออกหนังสือสอบถามให้และรอหนังสือรับรองจากสถานทูตประเทศที่โจทก์มีสัญชาติ เพื่อประกอบการพิจารณาว่าโจทก์เป็นโสดไม่ต้องห้ามสมรสตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1452 นั้น ถือไม่ได้ว่าจำเลยปฏิเสธไม่ยอมรับจดทะเบียนสมรสให้แก่โจทก์ กรณีจึงยังไม่มีการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4152/2532

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การจดทะเบียนสมรสต่างชาติ: การรอหลักฐานความเป็นโสดไม่ถือเป็นการปฏิเสธสิทธิ
โจทก์ไปยื่นคำร้องขอจดทะเบียนสมรสโดยระบุด้วยว่าเอาหนังสือรับรองความเป็นโสดจากสถานทูตมาแสดงไม่ได้ ขอให้จำเลยทำหนังสือถามข้อเท็จจริงเกี่ยวกับตัวโจทก์ไปที่สถานทูตเพื่อใช้ประกอบการจดทะเบียนสมรสตามกฎหมายไทย การที่จำเลยซึ่งเป็นนายทะเบียนออกหนังสือสอบถามให้และรอหนังสือรับรองจากสถานทูตประเทศที่โจทก์มีสัญชาติ เพื่อประกอบการพิจารณาว่าโจทก์เป็นโสดไม่ต้องห้ามสมรสตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1452 นั้น ถือไม่ได้ว่าจำเลยปฏิเสธไม่ยอมรับจดทะเบียนสมรสให้แก่โจทก์ กรณีจึงยังไม่มีการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4152/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องจดทะเบียนสมรส: จำเลยยังไม่ได้ปฏิเสธการจดทะเบียน การรอหลักฐานจากสถานทูตไม่ถือเป็นการปฏิเสธ
โจทก์ซึ่งเป็นคนสัญชาติอิตาเลียนยื่นคำร้องขอจดทะเบียนสมรสโดยระบุว่าเอาหนังสือรับรองความเป็นโสดจากสถานทูตมาแสดงไม่ได้ขอให้จำเลยทำหนังสือถามข้อเท็จจริงเกี่ยวกับตัวโจทก์ไปที่สถานทูตเพื่อใช้ประกอบการจดทะเบียนสมรสตามกฎหมายไทย การที่จำเลยซึ่งเป็นนายทะเบียนออกหนังสือสอบถามให้และรอหนังสือรับรองจากสถานทูตประเทศที่โจทก์มีสัญชาติ เพื่อประกอบการพิจารณาว่าโจทก์เป็นโสดไม่ต้องห้ามสมรสตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1452 นั้นถือไม่ได้ว่าจำเลยปฏิเสธไม่ยอมรับจดทะเบียนสมรสให้แก่โจทก์กรณียังไม่มีการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4127/2532

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาเช่าซื้อค้างชำระ: ผู้เช่าซื้อมีหน้าที่ชำระค่าเช่าซื้อจนกว่าจะบอกเลิกสัญญา ศาลลดเบี้ยปรับสูงเกินสมควร
ข้อสัญญาเช่าซื้อซึ่งมีข้อความว่า ถ้าผู้ให้เช่าซื้อบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อหรือยึดทรัพย์ที่เช่าซื้อคืน ผู้เช่าซื้อยังต้องรับผิดชดใช้เงินค่าเช่าซื้อทุกงวดที่ค้างชำระพร้อมเบี้ยปรับร้อยละ 20 ของเงินดังกล่าวนั้น เป็นข้อกำหนดการชำระค่าเช่าซื้อระหว่างที่ยังมิได้มีการเลิกสัญญากันพร้อมทั้งเบี้ยปรับกรณีผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อ มิใช่เป็นเรื่องเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ดังนั้น เมื่อมีการเลิกสัญญากันผู้เช่าซื้อจึงมีหน้าที่ชำระค่าเช่าซื้อก่อนเลิกสัญญาทั้งหมด ส่วนเบี้ยปรับสูงเกินส่วนศาลฎีกาให้ลดลงเป็นดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4106/2532

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิเรียกค่าไฟฟ้าเพิ่มหลังพบเครื่องวัดชำรุด: โจทก์ต้องรับความเสี่ยงจากความชำรุดของอุปกรณ์ที่ติดตั้ง
เครื่องวัดไฟฟ้าที่โจทก์ติดตั้งให้จำเลยชำรุดเองโดยจานวัดหมุนช้าทำให้จำเลยชำระเงินน้อยกว่าความเป็นจริงโจทก์ตรวจพบเมื่อวันที่ 20 เมษายน 2526 หลังจากติดตั้งและเริ่มเก็บเงินเป็นเวลาเกือบ 5 ปี และโจทก์ไม่ได้เปลี่ยนเครื่องวัดไฟฟ้าให้ใหม่ยอมให้จำเลยใช้เครื่องเดิมจนถึงเดือนตุลาคม 2526 ทั้งโจทก์นำสืบไม่ได้ว่าเครื่องวัดไฟฟ้าชำรุดตั้งแต่เมื่อใด ดังนี้ โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกค่าไฟฟ้าเพิ่มตั้งแต่วันที่ 10 ตุลาคม 2526 ย้อนหลังไปจนถึงวันที่15 พฤษภาคม 2521 ซึ่งเป็นวันเรียกเก็บค่าไฟฟ้าครั้งแรกของจากจำเลย
of 64