พบผลลัพธ์ทั้งหมด 632 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2418/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาทำร้ายร่างกาย ไม่ถึงเจตนาฆ่า บาดแผลเล็กน้อย ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว
จำเลยใช้มีดสำหรับปอกผลไม้ใบมีดกว้างครึ่งนิ้วยาว 4 นิ้วแทงผู้เสียหายที่ชายโครงด้านซ้าย 1 ครั้ง บาดแผลลึกเพียง 2เซนติเมตร ยาว 1.5 เซนติเมตร แทงขณะจำเลยเมาสุราแล้วปล่อยมีดหลบหนีไป แสดงว่าไม่ต้องการแทงซ้ำ ผู้เสียหายทำแผลแล้วแพทย์ให้กลับบ้านได้และไปทำแผลอยู่ 4 วัน ก็ไม่ต้องไปอีก แสดงว่าบาดเจ็บเล็กน้อย ยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยแทงโดยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหายจำเลยเจตนาทำร้ายร่างกายเท่านั้น.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2367/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองทรัพย์มรดกและการฟ้องแบ่งทรัพย์สินร่วม สิทธิเจ้าของร่วมไม่อยู่ในอายุความมรดก
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าคดีโจทก์ไม่ขาดอายุความ แต่ให้ยกฟ้องโจทก์เพราะเหตุอื่น โจทก์แต่ฝ่ายเดียวอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาของศาลชั้นต้นว่า "ศาลชั้นต้นวินิจฉัยในตอนต้น ว่า คดีไม่ขาดอายุความแล้ววินิจฉัยต่อมาว่าโจทก์ไม่มีสิทธิ์ขอแบ่งที่พิพาทเพราะล่วงเลยอายุความ 1 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1754 เป็นการขัดกันเองและขัดเหตุผล" เมื่อจำเลยได้ยื่นคำแก้ อุทธรณ์ในปัญหานี้แล้วปัญหาว่าคดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ จึงเป็นประเด็นโดยตรงที่ศาลอุทธรณ์จะหยิบยกขึ้นวินิจฉัย โจทก์จะอ้างว่าศาลอุทธรณ์หยิบยกเอาปัญหาเรื่องคดีโจทก์ขาดอายุความขึ้นวินิจฉัยทั้ง ๆ ที่จำเลยมิได้อุทธรณ์เป็นการมิชอบนั้นไม่ได้ ที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์มรดกที่โจทก์และมารดาจำเลยร่วมกันรับมรดกและร่วมกันครอบครอง ต่อมาโจทก์สมรสแล้วย้ายไปอยู่กับสามีโดยมีมารดาจำเลยครอบครองที่พิพาทแทนโจทก์ การที่จำเลยอยู่ในที่พิพาทต่อมาจึงอยู่ในฐานะเดียวกับมารดาของตน คือครอบครองแทนโจทก์เช่นกัน เมื่อโจทก์ยังมิได้สละสิทธิรับมรดก โจทก์จึงยังมีสิทธิในที่พิพาทอันเป็นมรดกรายนี้ การที่โจทก์ฟ้องขอแบ่งแยกที่พิพาทจากจำเลย จึงเป็นการใช้สิทธิเจ้าของร่วมขอแบ่งทรัพย์พิพาท หาใช่การฟ้องคดีมรดกไม่ ดังนั้น จึงจะนำอายุความ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1754มาใช้บังคับไม่ได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2367/2530 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองทรัพย์มรดกโดยทายาทร่วมและการระงับอายุความในคดีแบ่งมรดก
หลังจากเจ้ามรดกตายโจทก์และมารดาจำเลยซึ่งเป็นทายาทได้ร่วมกันครอบครองที่มรดกระยะหนึ่ง แม้โจทก์จะออกจากที่พิพาทไปนานเท่าใดก็ถือว่ามารดาจำเลยครอบครองแทนโจทก์ การที่จำเลยอยู่ในที่พิพาทต่อมาจึงอยู่ในฐานะเดียวกับมารดา ถือว่าโจทก์จำเลยครอบครองที่พิพาทร่วมกันและเป็นเจ้าของทรัพย์มรดกดังกล่าว โจทก์มีสิทธิฟ้องขอให้แบ่งทรัพย์ซึ่งตนเป็นเจ้าของรวมได้จะนำอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754 มาใช้บังคับไม่ได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2367/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองทรัพย์มรดกโดยทายาทร่วมกันและการแบ่งมรดกโดยอายุความไม่ตัดสิทธิ
หลังจากเจ้ามรดกตายโจทก์และมารดาจำเลยซึ่งเป็นทายาทได้ร่วมกันครอบครองที่มรดกระยะหนึ่ง แม้โจทก์จะออกจากที่พิพาทไปนานเท่าใดก็ถือว่ามารดาจำเลยครอบครองแทนโจทก์ การที่จำเลยอยู่ในที่พิพาทต่อมาจึงอยู่ในฐานะเดียวกับมารดา ถือว่าโจทก์จำเลยครอบครองที่พิพาทร่วมกันและเป็นเจ้าของทรัพย์มรดกดังกล่าว โจทก์มีสิทธิฟ้องขอให้แบ่งทรัพย์ซึ่งตนเป็นเจ้าของรวมได้จะนำอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1754 มาใช้บังคับไม่ได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2266/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การติดต่อไถ่รถที่ถูกชิงไป ไม่ถือเป็นความผิดฐานรับของโจร หากไม่มีส่วนร่วมกับคนร้าย
จำเลยเป็นคนกลางติดต่อไถ่รถจักรยานยนต์ร่วมกับผู้อื่นตามที่ผู้เสียหายกับพวกขอร้อง แต่ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้รับรถจักรยานยนต์ไว้จากคนร้ายหรือร่วมรู้กับคนร้ายมาเรียกค่าไถ่จากผู้เสียหาย การที่จำเลยขี่รถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายมาส่งให้แก่ผู้เสียหาย เป็นเรื่องนำมาคืนตามที่ผู้เสียหายกับพวกขอร้องให้ทำ การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานรับของโจร.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2266/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเป็นตัวกลางไถ่รถที่ถูกชิงไป ไม่เข้าข่ายความผิดฐานรับของโจร หากไม่มีส่วนรู้เห็นกับคนร้าย
จำเลยเป็นคนกลางติดต่อไถ่รถจักรยานยนต์ร่วมกับผู้อื่นตามที่ผู้เสียหายกับพวกขอร้อง แต่ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้รับรถจักรยานยนต์ไว้จากคนร้ายหรือร่วมรู้กับคนร้ายมาเรียกค่าไถ่จากผู้เสียหาย การที่จำเลยขี่รถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายมาส่งให้แก่ผู้เสียหาย เป็นเรื่องนำมาคืนตามที่ผู้เสียหายกับพวกขอร้องให้ทำ การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานรับของโจร.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2232/2530 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรังวัดสอบเขตที่ดินต้องทำตามหลักวิชาการ มิใช่การนำชี้ของคู่ความ เพื่อให้ได้แนวเขตที่แน่นอนและเป็นยุติ
โจทก์จำเลยพิพาทกันเกี่ยวกับแนวเขตที่ดินที่มีโฉนดแล้วทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันว่า ให้เจ้าพนักงานที่ดินรังวัดสอบเขตที่ดินโจทก์จำเลยเพื่อให้ทราบแนวเขตติดต่อระหว่างที่ดินโจทก์จำเลยว่าอยู่ตำแหน่งใด โดยถือการรังวัดของเจ้าพนักงานที่ดินเป็นยุตินั้น การรังวัดสอบเขตที่ดินต้องทำตามหลักวิชาการที่เจ้าพนักงานที่ดินรังวัดโดยการนำชี้ มิใช่การสอบหาแนวเขตตามที่คู่ความตกลงกันถือไม่ได้ว่าเป็นแนวเขตที่แน่นอนและเป็นยุติ.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2232/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรังวัดที่ดินต้องเป็นไปตามหลักวิชาการ หากเป็นการรังวัดตามการนำชี้ของคู่ความโดยไม่ตรวจสอบหลักเขตเดิม ย่อมถือเป็นแนวเขตที่แน่นอนไม่ได้
โจทก์จำเลยพิพาทกันเกี่ยวกับแนวเขตที่ดินที่มีโฉนดแล้วทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันว่า ให้เจ้าพนักงานที่ดินรังวัดสอบเขตที่ดินโจทก์จำเลยเพื่อให้ทราบแนวเขตติดต่อระหว่างที่ดินโจทก์จำเลยว่าอยู่ตำแหน่งใด โดยถือการรังวัดของเจ้าพนักงานที่ดินเป็นยุตินั้น การรังวัดสอบเขตที่ดินต้องทำตามหลักวิชาการที่เจ้าพนักงานที่ดินรังวัดโดยการนำชี้มิใช่การสอบหาแนวเขตตามที่คู่ความตกลงกันถือไม่ได้ว่าเป็นแนวเขตที่แน่นอนและเป็นยุติ.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2232/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประนีประนอมยอมความเรื่องแนวเขตที่ดิน: การรังวัดต้องเป็นไปตามสัญญา ไม่ใช่การนำชี้
โจทก์จำเลยท้ากันให้เจ้าพนักงานที่ดินออกไปรังวัดสอบเขตที่ดินเพื่อให้ทราบแนวเขตติดต่อระหว่างที่ดินของโจทก์จำเลยว่าอยู่ตำแหน่งใด โดยถือเอาการรังวัดนี้เป็นยุติ ย่อมแสดงว่าโจทก์จำเลยมอบความไว้วางใจเป็นสิทธิขาดให้เจ้าพนักงานที่ดินสำหรับการรังวัดสอบเขต แม้เจ้าพนักงานที่ดินจะค้นหาหลักฐานการรังวัดที่ดินไม่พบก็จะต้องทำการตรวจสอบหาเขตที่ดินไปตามหลักวิชา จะใช้วิธีรังวัดด้วย"การนำชี้" หาได้ไม่เพราะมิใช่การรังวัด "สอบ" เขตตามที่คู่ความตกลงกัน.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2221/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การคำนวณบำเหน็จบำนาญสำหรับข้าราชการที่ลาออกแล้วกลับเข้ารับราชการใหม่ ไม่อาจนำเวลาราชการเดิมมารวมคำนวณได้
โจทก์เริ่มรับราชการเมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2487 และลาออกจากราชการเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2500 รวมเวลาราชการสำหรับคำนวณบำเหน็จบำนาญ 13 ปี 7 เดือน 17 วัน ต่อมาโจทก์เข้ารับราชการอีกเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2504 แล้วลาออกจากราชการเมื่อวันที่ 24มีนาคม 2526 รวมเวลาราชการสำหรับคำนวณบำเหน็จบำนาญครั้งหลัง26 ปี 10 เดือน 3 วัน ดังนี้ เมื่อกรณีของโจทก์ปรากฏว่าโจทก์ลาออกจากราชการครั้งก่อนโดยมีสิทธิได้รับบำเหน็จ จึงถือได้ว่าโจทก์ออกจากราชการโดยได้รับหรือมีสิทธิได้รับบำเหน็จหรือบำนาญตามมาตรา 30(3) แห่งพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการ ฯ แล้ว โจทก์จึงจะนำเวลาราชการตอนก่อนมารวมกับเวลาราชการครั้งหลังเพื่อคำนวณบำเหน็จบำนาญหาได้ไม่เพราะต้องห้ามตามพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการ ฯมาตรา 30.