พบผลลัพธ์ทั้งหมด 632 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2221/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การคำนวณบำเหน็จบำนาญข้าราชการ: เวลาราชการก่อน-หลังลาออกไม่อาจรวมกันได้
คำว่า "ออกจากราชการ" ใน พ.ร.บ. บำเหน็จบำนาญข้าราชการฯหมายถึงการที่ข้าราชการพ้นจากราชการ ซึ่งย่อมหมายความรวมถึงการพ้นจากราชการเพราะลาออกด้วย โจทก์ลาออกจากราชการครั้งก่อนโดยมีสิทธิได้รับบำเหน็จถือได้ว่าโจทก์ออกจากราชการโดยได้รับหรือมีสิทธิได้รับบำเหน็จหรือบำนาญตามมาตรา 30(3) แห่ง พ.ร.บ. บำเหน็จบำนาญข้าราชการฯดังนั้น เมื่อโจทก์เข้ารับราชการใหม่ จึงต้องคิดเวลาราชการสำหรับคำนวณบำเหน็จบำนาญเฉพาะ การรับราชการครั้งใหม่เท่านั้น จะนำเวลาราชการตอนก่อนมารวมกับเวลาราชการครั้งใหม่หาได้ไม่ เพราะต้องห้ามตาม พ.ร.บ.บำเหน็จบำนาญข้าราชการฯ มาตรา 30.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2221/2530 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การคำนวณบำเหน็จบำนาญสำหรับข้าราชการที่ลาออกแล้วกลับเข้ารับราชการใหม่ ไม่อาจนำเวลาราชการก่อนหน้ามารวมคำนวณได้
โจทก์เริ่มรับราชการเมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2487 และลาออกจากราชการเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2500 รวมเวลาราชการสำหรับคำนวณบำเหน็จบำนาญ 13 ปี 7 เดือน 17 วัน ต่อมาโจทก์เข้ารับราชการอีกเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2504 แล้วลาออกจากราชการเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2526 รวมเวลาราชการสำหรับคำนวณบำเหน็จบำนาญครั้งหลัง 26 ปี 10 เดือน 3 วัน ดังนี้ เมื่อกรณีของโจทก์ปรากฏว่าโจทก์ลาออกจากราชการครั้งก่อนโดยมีสิทธิได้รับบำเหน็จ จึงถือได้ว่าโจทก์ออกจากราชการโดยได้รับหรือมีสิทธิได้รับบำเหน็จหรือบำนาญตามมาตรา 30 (3) แห่งพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการ ฯ แล้ว โจทก์จึงจะนำเวลาราชการตอนก่อนมารวมกับเวลาราชการครั้งหลังเพื่อคำนวณบำเหน็จบำนาญหาได้ไม่เพราะต้องห้ามตามพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการ ฯ มาตรา 30
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2118/2530 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การดำเนินคดีอนาถาต้องมีเหตุผลสมควรในการอุทธรณ์ และศาลมีอำนาจกำหนดเวลาชำระค่าธรรมเนียมได้
การขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาชั้นอุทธรณ์นั้น นอกจากโจทก์จะเป็นคนยากจนแล้ว คดีของโจทก์ต้องมีเหตุผลสมควรที่จะอุทธรณ์ด้วย ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาของโจทก์ เนื่องจากคดีของโจทก์ไม่มีเหตุผลสมควรที่จะอุทธรณ์ โจทก์มิได้อุทธรณ์คำสั่งศาลภายใน 7 วัน ประเด็นที่ว่าคดีโจทก์มีเหตุผลสมควรที่จะอุทธรณ์หรือไม่ย่อมยุติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 156 วรรคสุดท้าย เมื่อโจทก์ยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคำขออนาถาใหม่ โจทก์คงมีสิทธิเพียงนำพยานหลักฐานมาแสดงเพิ่มเติมว่าโจทก์เป็นคนยากจนเท่านั้น แต่เมื่อคดีฟังยุติว่าคดีโจทก์ไม่มีเหตุผลสมควรที่จะอุทธรณ์แล้วศาลชั้นต้นก็ชอบที่จะยกคำร้องขอของโจทก์ที่ขอให้พิจารณาคำขออนาถาใหม่เสียได้โดยไม่จำต้องไต่สวนก่อน
การที่ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งไม่ให้โจทก์อุทธรณ์อย่างคนอนาถาโดยกำหนดเวลาให้โจทก์นำเงินค่าธรรมเนียมมาวางต่อศาลภายใน 30 วันนับแต่วันทราบคำพิพากษา คำสั่งดังกล่าวเป็นการกำหนดเวลาโดยอาศัยอำนาจของศาลที่มีอยู่ทั่วไปในการที่จะดำเนินกระบวนพิจารณาใดที่ไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะหรือห้ามไว้ไปในทางที่เห็นว่ายุติธรรมและสมควร และคำสั่งดังกล่าวมิใช่เป็นการขยายระยะเวลาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 23
การที่ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งไม่ให้โจทก์อุทธรณ์อย่างคนอนาถาโดยกำหนดเวลาให้โจทก์นำเงินค่าธรรมเนียมมาวางต่อศาลภายใน 30 วันนับแต่วันทราบคำพิพากษา คำสั่งดังกล่าวเป็นการกำหนดเวลาโดยอาศัยอำนาจของศาลที่มีอยู่ทั่วไปในการที่จะดำเนินกระบวนพิจารณาใดที่ไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะหรือห้ามไว้ไปในทางที่เห็นว่ายุติธรรมและสมควร และคำสั่งดังกล่าวมิใช่เป็นการขยายระยะเวลาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 23
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2118/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์คดีโดยคนอนาถา ต้องมีเหตุผลสมควรในการอุทธรณ์ มิใช่เพียงยากจน และศาลมีอำนาจกำหนดเวลาชำระค่าธรรมเนียม
การขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาชั้นอุทธรณ์นั้น นอกจากโจทก์จะเป็นคนยากจนแล้ว คดีของโจทก์ต้องมีเหตุผลสมควรที่จะอุทธรณ์ด้วย ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาของโจทก์ เนื่องจากคดีของโจทก์ไม่มีเหตุผลสมควรที่จะอุทธรณ์ โจทก์มิได้อุทธรณ์คำสั่งศาลภายใน 7 วัน ประเด็นที่ว่าคดีโจทก์มีเหตุผลสมควรที่จะอุทธรณ์หรือไม่ย่อมยุติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 156 วรรคสุดท้ายเมื่อโจทก์ยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคำขออนาถาใหม่ โจทก์คงมีสิทธิเพียงนำพยานหลักฐานมาแสดงเพิ่มเติมว่าโจทก์เป็นคนยากจนเท่านั้น แต่เมื่อคดีฟังยุติว่าคดีโจทก์ไม่มีเหตุผลสมควรที่จะอุทธรณ์แล้วศาลชั้นต้นก็ชอบที่จะยกคำร้องขอของโจทก์ที่ขอให้พิจารณาคำขออนาถาใหม่เสียได้โดยไม่จำต้องไต่สวนก่อน
การที่ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งไม่ให้โจทก์อุทธรณ์อย่างคนอนาถาโดยกำหนดเวลาให้โจทก์นำเงินค่าธรรมเนียมมาวางต่อศาลภายใน 30 วันนับแต่วันทราบคำพิพากษา คำสั่งดังกล่าวเป็นการกำหนดเวลาโดยอาศัยอำนาจของศาลที่มีอยู่ทั่วไปในการที่จะดำเนินกระบวนพิจารณาใดที่ไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะหรือห้ามไว้ไปในทางที่เห็นว่ายุติธรรมและสมควรและคำสั่งดังกล่าวมิใช่เป็นการขยายระยะเวลาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 23.
การที่ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งไม่ให้โจทก์อุทธรณ์อย่างคนอนาถาโดยกำหนดเวลาให้โจทก์นำเงินค่าธรรมเนียมมาวางต่อศาลภายใน 30 วันนับแต่วันทราบคำพิพากษา คำสั่งดังกล่าวเป็นการกำหนดเวลาโดยอาศัยอำนาจของศาลที่มีอยู่ทั่วไปในการที่จะดำเนินกระบวนพิจารณาใดที่ไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะหรือห้ามไว้ไปในทางที่เห็นว่ายุติธรรมและสมควรและคำสั่งดังกล่าวมิใช่เป็นการขยายระยะเวลาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 23.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2118/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขออนาถาและการอุทธรณ์คำสั่ง ศาลมีอำนาจพิจารณาเหตุผลสมควรในการอุทธรณ์ และกำหนดเวลาชำระค่าธรรมเนียมได้
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาของโจทก์ ด้วยเหตุที่ว่าคดีของโจทก์ไม่มีเหตุผลสมควรที่จะอุทธรณ์โจทก์มิได้อุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวภายใน 7 วัน ย่อมหมดสิทธิที่จะอุทธรณ์คำสั่งนั้นตาม ป.วิ.พ. มาตรา 156 วรรคท้าย ประเด็นที่ศาลชั้นต้นชี้ขาดว่าคดีของโจทก์ไม่มีเหตุสมควรที่จะอุทธรณ์ย่อมยุติโจทก์ยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นขอให้พิจารณาคำขอนั้นใหม่ แม้ศาลจะอนุญาตให้โจทก์นำพยานหลักฐานมาสืบเพิ่มเติมก็ตาม คดีก็ต้องฟังตามข้อยุติว่าคดีของโจทก์ไม่มีเหตุผลอันสมควรที่จะอุทธรณ์ศาลชั้นต้นจึงชอบที่จะยกคำร้องของโจทก์ที่ขอให้พิจารณาคำขออนาถาใหม่เสียได้โดยหาจำต้องไต่สวนก่อนไม่ การที่ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งไม่ให้อนาถาแต่มีคำสั่งกำหนดเวลาให้โจทก์นำเงินค่าธรรมเนียมมาชำระภายในกำหนด 30 วันนับแต่วันทราบคำพิพากษา คำสั่งดังกล่าวเป็นการกำหนดเวลาโดยอาศัยอำนาจของศาลที่มีอยู่ทั่วไปในการที่จะดำเนินกระบวนพิจารณาใด ที่ไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะ หรือห้ามไว้ไปในทางที่เห็นว่ายุติธรรมและสมควรและการกำหนดระยะเวลาดังกล่าวมิใช่เป็นการขยายระยะเวลาตาม ป.วิ.พ.มาตรา 23 อันจะทำได้ต่อเมื่อมีพฤติการณ์พิเศษและจะต้องทำก่อนสิ้นระยะเวลานั้น.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1997/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานมีไว้เพื่อจำหน่ายและจำหน่ายยาเสพติด ศาลฎีกาแก้ไขคำพิพากษาให้ลงโทษฐานจำหน่ายเป็นหลัก
จำเลยที่ 1 ที่ 2 มีไว้ในครอบครองซึ่งเฮโรอีนไฮโดรคลอไรด์จำนวน 9.247 กิโลกรัมอันมีน้ำหนักเกินกว่ายี่สิบกรัมถือได้ว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 มีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคสอง และจำเลยทั้งสองมีไว้เพื่อจำหน่ายซึ่งเฮโรอีนมีปริมาณเกินกว่าหนึ่งร้อยกรัม จึงมีความผิดต้องระวางโทษตามมาตรา 66 วรรคสอง
จำเลยที่ 1 ตกลงขายเฮโรอีนของกลางให้แก่ ส. เจ้าหน้าที่ผู้ล่อซื้อ ได้ตรวจเงินที่ซื้อเฮโรอีนจาก ส.แล้วพาส. ไปเอาเฮโรอีนโดยเปิดท้ายรถให้ ส. ตรวจเฮโรอีนของกลางที่ขายส. ตรวจดูแล้วถอยออกไปส่งสัญญาณให้เจ้าหน้าที่เข้าจับกุมจำเลยที่ 1 ดังนี้ มีการตกลงซื้อขายเฮโรอีนของกลางแล้วจำเลยที่ 1 จึงมีความผิดฐานจำหน่ายเฮโรอีน โดยที่เฮโรอีนที่จำเลยที่ 1 มีไว้เพื่อจำหน่ายและจำหน่ายเป็นจำนวนเดียวกันการกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นความผิดกรรมเดียวกันต้องลงโทษตามกฎหมายที่มีโทษหนักที่สุด แต่ความผิดฐานมีไว้เพื่อจำหน่ายซึ่งเฮโรอีนและฐานจำหน่ายเฮโรอีนอันมีปริมาณเกินกว่าหนึ่งร้อยกรัมต้องระวางโทษเท่ากัน จำเลยที่ 1 จึงควรรับโทษฐานจำหน่ายเฮโรอีน ที่ศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยว่าจำเลยที่ 1 มีความผิดฐานมีเฮโรอีนไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่ายอีกฐานหนึ่งนั้นยังไม่ถูกต้องและศาลฎีกาเห็นว่าเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย สมควรแก้ไขให้ถูกต้องโดยแก้ไขถึงจำเลยที่ 2 ซึ่งมิได้ฎีกาด้วย.
จำเลยที่ 1 ตกลงขายเฮโรอีนของกลางให้แก่ ส. เจ้าหน้าที่ผู้ล่อซื้อ ได้ตรวจเงินที่ซื้อเฮโรอีนจาก ส.แล้วพาส. ไปเอาเฮโรอีนโดยเปิดท้ายรถให้ ส. ตรวจเฮโรอีนของกลางที่ขายส. ตรวจดูแล้วถอยออกไปส่งสัญญาณให้เจ้าหน้าที่เข้าจับกุมจำเลยที่ 1 ดังนี้ มีการตกลงซื้อขายเฮโรอีนของกลางแล้วจำเลยที่ 1 จึงมีความผิดฐานจำหน่ายเฮโรอีน โดยที่เฮโรอีนที่จำเลยที่ 1 มีไว้เพื่อจำหน่ายและจำหน่ายเป็นจำนวนเดียวกันการกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นความผิดกรรมเดียวกันต้องลงโทษตามกฎหมายที่มีโทษหนักที่สุด แต่ความผิดฐานมีไว้เพื่อจำหน่ายซึ่งเฮโรอีนและฐานจำหน่ายเฮโรอีนอันมีปริมาณเกินกว่าหนึ่งร้อยกรัมต้องระวางโทษเท่ากัน จำเลยที่ 1 จึงควรรับโทษฐานจำหน่ายเฮโรอีน ที่ศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยว่าจำเลยที่ 1 มีความผิดฐานมีเฮโรอีนไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่ายอีกฐานหนึ่งนั้นยังไม่ถูกต้องและศาลฎีกาเห็นว่าเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย สมควรแก้ไขให้ถูกต้องโดยแก้ไขถึงจำเลยที่ 2 ซึ่งมิได้ฎีกาด้วย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1997/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
จำหน่ายและมีไว้เพื่อจำหน่ายยาเสพติด: ศาลฎีกาแก้ไขคำพิพากษาให้ลงโทษฐานมีไว้เพื่อจำหน่ายเพิ่ม
จำเลยที่ 1 ที่ 2 มีไว้ในครอบครองซึ่งเฮโรอีนไฮโดรคลอไรด์จำนวน 9.247 กิโลกรัม อันมีน้ำหนักเกินกว่ายี่สิบกรัมถือได้ว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 มีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคสอง และจำเลยทั้งสองมีไว้เพื่อจำหน่ายซึ่งเฮโรอีนมีปริมาณเกินกว่าหนึ่งร้อยกรัม จึงมีความผิดต้องระวางโทษตามมาตรา 66 วรรคสอง
จำเลยที่ 1 ตกลงขายเฮโรอีนของกลางให้แก่ ส. เจ้าหน้าที่ผู้ล่อซื้อ ได้ตรวจเงินที่ซื้อเฮโรอีนจาก ส. แล้วพา ส. ไปเอาเฮโรอีนโดยเปิดท้ายรถให้ ส. ตรวจเฮโรอีนของกลางที่ขาย ส. ตรวจดูแล้วถอยออกไปส่งสัญญาณให้เจ้าหน้าที่เข้าจับกุมจำเลยที่ 1 ดังนี้ มีการตกลงซื้อขายเฮโรอีนของกลางแล้ว จำเลยที่ 1 จึงมีความผิดฐานจำหน่ายเฮโรอีน โดยที่เฮโรอีนที่จำเลยที่ 1 มีไว้เพื่อจำหน่ายและจำหน่ายเป็นจำนวนเดียวกัน การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นความผิดกรรมเดียวกันต้องลงโทษตามกฎหมายที่มีโทษหนักที่สุด แต่ความผิดฐานมีไว้เพื่อจำหน่ายซึ่งเฮโรอีนและฐานจำหน่ายเฮโรอีนอันมีปริมาณเกินกว่าหนึ่งร้อยกรัมต้องระวางโทษเท่ากัน จำเลยที่ 1 จึงควรรับโทษฐานจำหน่ายเฮโรอีน ที่ศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยว่าจำเลยที่ 1 มีความผิดฐานมีเฮโรอีนไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่ายอีกฐานหนึ่งนั้นยังไม่ถูกต้องและศาลฎีกาเห็นว่าเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย สมควรแก้ไขให้ถูกต้องโดยแก้ไขถึงจำเลยที่ 2 ซึ่งมิได้ฎีกาด้วย
จำเลยที่ 1 ตกลงขายเฮโรอีนของกลางให้แก่ ส. เจ้าหน้าที่ผู้ล่อซื้อ ได้ตรวจเงินที่ซื้อเฮโรอีนจาก ส. แล้วพา ส. ไปเอาเฮโรอีนโดยเปิดท้ายรถให้ ส. ตรวจเฮโรอีนของกลางที่ขาย ส. ตรวจดูแล้วถอยออกไปส่งสัญญาณให้เจ้าหน้าที่เข้าจับกุมจำเลยที่ 1 ดังนี้ มีการตกลงซื้อขายเฮโรอีนของกลางแล้ว จำเลยที่ 1 จึงมีความผิดฐานจำหน่ายเฮโรอีน โดยที่เฮโรอีนที่จำเลยที่ 1 มีไว้เพื่อจำหน่ายและจำหน่ายเป็นจำนวนเดียวกัน การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นความผิดกรรมเดียวกันต้องลงโทษตามกฎหมายที่มีโทษหนักที่สุด แต่ความผิดฐานมีไว้เพื่อจำหน่ายซึ่งเฮโรอีนและฐานจำหน่ายเฮโรอีนอันมีปริมาณเกินกว่าหนึ่งร้อยกรัมต้องระวางโทษเท่ากัน จำเลยที่ 1 จึงควรรับโทษฐานจำหน่ายเฮโรอีน ที่ศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยว่าจำเลยที่ 1 มีความผิดฐานมีเฮโรอีนไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่ายอีกฐานหนึ่งนั้นยังไม่ถูกต้องและศาลฎีกาเห็นว่าเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย สมควรแก้ไขให้ถูกต้องโดยแก้ไขถึงจำเลยที่ 2 ซึ่งมิได้ฎีกาด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1979/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เช็คไม่มีเงินในบัญชี แต่มีสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีและเจตนาให้ใช้เงินได้ ไม่ถือเป็นความผิดตาม พ.ร.บ. เช็ค
จำเลยทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีไว้กับธนาคาร และออกเช็คลงวันที่ 20 มกราคม 2527 สั่งจ่ายเงินให้โจทก์ ในวันที่เช็คถึงกำหนดจำเลยโทรศัพท์ถึง จ. ผู้จัดการธนาคารตามเช็ค ขอให้จ่ายเงินตามเช็คพิพาท จ. ตกลงจะจ่ายให้ ถือได้ว่าในวันที่เช็คพิพาทถึงกำหนด จำเลยมีเงินในบัญชีพอจ่ายตามเช็คพิพาทได้การที่โจทก์นำเช็คพิพาทไปเรียกเก็บเงินในวันที่ 30 มกราคม2527 และธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน จำเลยย่อมไม่มีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3(เทียบนัยฎีกาที่ 1875/2527).
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1979/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เช็คไม่มีเงินเพียงพอ แต่มีสัญญาเบิกเงินเกินบัญชี และยินยอมจ่ายเงิน หากเรียกเก็บในวันออกเช็ค ถือไม่ผิด พ.ร.บ.เช็ค
จำเลยทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีไว้กับธนาคาร และออกเช็คลงวันที่ 20 มกราคม 2527 สั่งจ่ายเงินให้โจทก์ ในวันที่เช็คถึงกำหนดจำเลยโทรศัพท์ถึง จ. ผู้จัดการธนาคารตามเช็ค ขอให้จ่ายเงินตามเช็คพิพาท จ. ตกลงจะจ่ายให้ ถือได้ว่าในวันที่เช็คพิพาทถึงกำหนด จำเลยมีเงินในบัญชีพอจ่ายตามเช็คพิพาทได้ การที่โจทก์นำเช็คพิพาทไปเรียกเก็บเงินในวันที่ 30 มกราคม 2527 และธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน จำเลยย่อมไม่มีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3(เทียบนัยฎีกาที่ 1875/2527)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1961/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำสั่งปรับผู้ประกันที่ถึงที่สุดแล้ว ไม่อุทธรณ์ ไม่สามารถรื้อฟื้นได้
ศาลชั้นต้นสั่งปรับผู้ประกันแล้ว หากผู้ประกันไม่อุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวย่อมถึงที่สุด ผู้ประกันจะมายื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นเพิกถอนคำสั่งปรับผู้ประกันและคืนหลักประกันในภายหลังอีกไม่ได้.