คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
ปชา วรธรรมพินิจ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 632 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4459/2528

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผู้รับประกันภัยค้ำจุนมีสิทธิยกข้อต่อสู้ของผู้เอาประกันภัยได้ หากพิสูจน์ได้ว่าลูกจ้างกระทำละเมิดในทางการจ้าง
ผู้รับประกันภัยค้ำจุนย่อมมีสิทธิยกข้อต่อสู้ของผู้เอาประกันภัย ขึ้นต่อสู้กับผู้ซึ่งฟ้องตนให้รับผิดตามสัญญาประกันภัยได้ (อ้างฎีกาที่ 3631/2528) การที่จำเลยที่ 3 ผู้รับประกันภัยค้ำจุนได้ให้การต่อสู้ไว้แล้วว่าจำเลยที่ 1 ผู้ขับรถยนต์คันเกิดเหตุไม่ได้เป็นลูกจ้างปฏิบัติงาน ในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 ผู้เอาประกันภัย โดยศาลชั้นต้น กำหนดเป็นประเด็นไว้ และวินิจฉัยในประเด็นดังกล่าว แล้วพิพากษา ให้จำเลยทั้งสามแพ้คดีดังนี้ แม้จำเลยที่ 1 ที่ 2 จะไม่อุทธรณ์ ก็ไม่ทำให้ข้อต่อสู้ของจำเลยที่ 3 ตกไป เมื่อจำเลยที่ 3 ยังติดใจ อุทธรณ์ในประเด็นนี้อยู่ ศาลอุทธรณ์ก็ต้องวินิจฉัยให้
พฤติการณ์ที่จำเลยที่ 2 มาติดต่อกับพนักงานสอบสวนระบุ ชื่อ จำเลยที่ 1 ว่าเป็นคนขับรถยนต์คันเกิดเหตุของตนแล้ว นำตัวจำเลยที่ 1 มามอบให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีกับได้มา ทำการตกลงค่าเสียหายกับคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งนั้นเพียงพอ ให้ถือได้ว่า จำเลยที่ 2 ยอมรับอยู่ในทีแล้วว่าจำเลยที่ 1 ได้กระทำละเมิดไป ในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2นอกจากนี้การขับ รถยนต์บรรทุกสิบล้อ ไม่ใช่งานที่คนธรรมดาซึ่งไม่มีความชำนาญเป็นพิเศษจะพึงทำได้ แต่เป็นงานของผู้มีอาชีพในทางนี้โดยเฉพาะ และไม่อาจคาดหมายได้ว่า เป็นงานที่พึงทำให้เปล่า. เมื่อฝ่ายจำเลยไม่ได้นำสืบหักล้างไว้คดีชอบที่จะฟังว่า จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 ได้ขับรถยนต์ไปทำละเมิดในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 (อ้างฎีกาที่ 2048/2526)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4459/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผู้รับประกันภัยค้ำจุนมีสิทธิยกข้อต่อสู้ของผู้เอาประกันภัยได้ หากพิสูจน์ได้ว่าลูกจ้างกระทำละเมิดในทางการที่จ้าง
ผู้รับประกันภัยค้ำจุนย่อมมีสิทธิยกข้อต่อสู้ของผู้เอาประกันภัย ขึ้นต่อสู้กับผู้ซึ่งฟ้องตนให้รับผิดตามสัญญาประกันภัยได้ (อ้างฎีกาที่ 3631/2528)
การที่จำเลยที่ 3 ผู้รับประกันภัยค้ำจุนได้ให้การต่อสู้ไว้แล้วว่าจำเลยที่ 1 ผู้ขับรถยนต์คันเกิดเหตุไม่ได้เป็นลูกจ้างปฏิบัติงาน ในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 ผู้เอาประกันภัย โดยศาลชั้นต้น กำหนดเป็นประเด็นไว้ และวินิจฉัยในประเด็นดังกล่าว แล้วพิพากษา ให้จำเลยทั้งสามแพ้คดีดังนี้ แม้จำเลยที่ 1 ที่ 2 จะไม่อุทธรณ์ ก็ไม่ทำให้ข้อต่อสู้ของจำเลยที่ 3 ตกไป เมื่อจำเลยที่ 3 ยังติดใจ อุทธรณ์ในประเด็นนี้อยู่ ศาลอุทธรณ์ก็ต้องวินิจฉัยให้
พฤติการณ์ที่จำเลยที่ 2 มาติดต่อกับพนักงานสอบสวนระบุชื่อ จำเลยที่ 1 ว่าเป็นคนขับรถยนต์คันเกิดเหตุของตน แล้วนำตัวจำเลยที่ 1 มามอบให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีกับได้มา ทำการตกลงค่าเสียหายกับคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งนั้นเพียงพอ ให้ถือได้ว่า จำเลยที่ 2 ยอมรับอยู่ในทีแล้วว่าจำเลยที่ 1 ได้กระทำละเมิดไป ในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 นอกจากนี้การขับ รถยนต์บรรทุกสิบล้อ ไม่ใช่งานที่คนธรรมดาซึ่งไม่มีความชำนาญเป็นพิเศษจะพึงทำได้ แต่เป็นงานของผู้มีอาชีพในทางนี้โดยเฉพาะ และไม่อาจคาดหมายได้ว่าเป็นงานที่พึงทำให้เปล่า เมื่อฝ่ายจำเลยไม่ได้นำสืบหักล้างไว้คดีชอบที่จะฟังว่า จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 ได้ขับรถยนต์ไปทำละเมิดในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 (อ้างฎีกาที่ 2048/2526)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4445/2528

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อตกลงซ่อมรถเองหลังชน ไม่ตัดสิทธิประกันภัย ผู้รับประกันภัยมีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายจากผู้ทำละเมิด
การที่เจ้าของรถยนต์ตกลงกันในรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีหลังเกิดเหตุรถยนต์ชนกันว่า " เจ้าของรถต่างไม่ติดใจค่าเสียหายจะนำไปซ่อมเอง เพราะมีประกันภัยไว้" แสดงว่าเจ้าของรถยังมีความประสงค์ที่จะได้รับชดใช้ค่าสินไหมทดแทนโดยให้ผู้รับประกันภัยเป็นผู้รับผิดชอบ ข้อตกลงดังกล่าวไม่ทำให้การชดใช้ค่าสินไหมทดแทนสิ้นสุดลง จึงไม่เป็นข้อตกลงในการระงับข้อพิพาทให้เสร็จไปด้วยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กันตามลักษณะของสัญญาประนีประนอมยอมความ เมื่อผู้รับประกันภัยรถยนต์คันที่เสียหายได้รถยนต์คันดังกล่าวอันเป็นการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามสัญญาประกันภัยแล้ว ย่อมเข้ารับช่วงสิทธิผู้เสียหายในอันที่จะเรียกร้องให้ฝ่ายผู้ทำละเมิดชดใช้ค่าเสียหายได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4421/2528

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาประนีประนอมยอมความและผลกระทบต่อการดำเนินคดีอาญา: ภาระการพิสูจน์ของผู้ฟ้อง
ฟ้องว่าจำเลยกระทำผิดพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค เมื่อสืบพยานโจทก์เสร็จแล้วคดีอยู่ระหว่างสืบพยานจำเลยจำเลยส่งหนังสือสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์ร่วมกับจำเลยต่อศาลและแถลงว่าสิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ระงับไปแล้ว โจทก์ร่วมรับว่าทำสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวจริง แต่ทำด้วยความสำคัญผิดแต่โจทก์ก็ไม่ได้แถลงขอสืบพยานเพิ่มเติมเกี่ยวกับความสมบูรณ์ของสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวโดยที่ภาระการพิสูจน์ตกแก่โจทก์ เมื่อโจทก์ไม่สืบพยานให้เห็นว่าทำสัญญานั้นโดยสำคัญผิดก็ต้องฟังว่าสัญญานั้นสมบูรณ์
การยอมความกันโดยชอบด้วยกฎหมายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(2) นั้น ไม่จำเป็นต้องกระทำต่อหน้าศาลเสมอไปอาจกระทำกันนอกศาลก็ได้แต่กรณีที่โจทก์ไม่นำสืบให้เห็นว่าผู้เสียหายหรือโจทก์ร่วมถูกหลอกให้ทำสัญญา และไม่นำสืบให้เห็นว่าผู้เสียหายหรือโจทก์ร่วมไม่ยอมรับข้อสัญญาโดยที่ภาระการพิสูจน์ตกแก่โจทก์จึงต้องฟังว่าสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์ร่วมกับจำเลยชอบด้วยกฎหมายแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4374/2528

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อุทธรณ์ไม่ชอบ, คดีถึงที่สุด, พยานหลักฐานไม่พอฟัง, การพิพากษาเฉพาะตัว
จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ถูกศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษแล้วยื่นอุทธรณ์ย่อโดยมิได้ระบุข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายที่จำเลยประสงค์จะยกขึ้นอ้างอิงในชั้นอุทธรณ์แต่อย่างใด ทั้งมิได้กล่าวอ้างว่าศาลชั้นต้นพิพากษาคดีนี้ไม่ถูกต้องในข้อใดอย่างไร กลับมีเนื้อความทำนองขอยืดเวลาอุทธรณ์ อุทธรณ์เช่นนี้ไม่เป็นการคัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้น จึงเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193วรรคสอง แม้ศาลชั้นต้นจะสั่งรับเป็นอุทธรณ์ ก็ไม่ทำให้เป็นอุทธรณ์โดยชอบได้ ถือว่าจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3ไม่ได้ยื่นอุทธรณ์ คดีสำหรับจำเลยดังกล่าวถึงที่สุดแล้วตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ไม่มีอำนาจวินิจฉัยถึงอีก
การที่พยานหลักฐานโจทก์เพียงพอจะรับฟังลงโทษจำเลยคนใดที่ร่วมกันกระทำความผิดได้หรือไม่ เป็นข้อเท็จจริงเกี่ยวกับจำเลยแต่ละคนเป็นการเฉพาะตัวเป็นรายๆ ไป จำเลยหลายคนที่ต้องหาว่าร่วมกระทำผิดอยู่ด้วยกันโดยตลอดนั้นพยานหลักฐานของโจทก์อาจพาดพิงถึงมากน้อยผิดกันได้ ที่มีน้ำหนักพอก็ลงโทษไปที่เบาบางก็ต้องปล่อยตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏจากทางนำสืบเป็นรายตัว โดยเฉพาะคดีนี้ จำเลยที่ 4 ต้องหาในการกระทำความผิดเป็นคนละตอนกับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3เหตุที่ศาลอุทธรณ์ไม่ลงโทษจำเลยที่ 4 เพราะพยานหลักฐานมีน้ำหนักไม่พอจึงไม่เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 และไม่ใช่เหตุในส่วนลักษณะคดี ตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 213 ศาลอุทธรณ์ยกเหตุนี้ขึ้นพิพากษาให้มีผลถึงจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 จึงไม่ชอบ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4306/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การโอนสิทธิเรียกร้อง: สัญญาครอบคลุมค่าจ้างปรับราคาได้ แม้ระบุเฉพาะงวดแน่นอน
ในคดีที่ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้น ทำการไต่สวนฟังข้อเท็จจริงจากโจทก์จำเลยและผู้เกี่ยวข้องและมีคำสั่งใหม่ตามรูปคดี หากศาลฎีกาพิจารณาเห็นว่าข้อเท็จจริงในคดีมีเพียงพอที่ศาลจะวินิจฉัยได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องฟังข้อเท็จจริงต่อไปศาลฎีกาย่อมมีอำนาจที่จะวินิจฉัยคดีไปได้
จำเลยกับธนาคาร ท. ทำหนังสือสัญญาโอนสิทธิเรียกร้องค่าจ้างตามสัญญาจ้างทำงานที่สามารถปรับราคาค่าจ้างได้โดยระบุให้โอนสิทธิเรียกร้องที่จำเลยมีอยู่กับผู้คัดค้านทั้งหมดหรือประจำงวดที่ 1-10 ให้ธนาคาร ท. และได้มีหนังสือแจ้งให้ผู้คัดค้านทราบว่าได้ตกลงโอนสิทธิเรียกร้องทั้งหมด ผู้คัดค้านได้รับทราบการโอนสิทธิเรียกร้องระหว่างจำเลยกับธนาคาร ท. แล้ว ดังนี้แม้สัญญาโอนสิทธิเรียกร้องและหนังสือแจ้งการโอนสิทธิเรียกร้องจะกล่าวถึงเฉพาะเงินค่าจ้างทั้ง 10 งวดตามสัญญาเพราะเป็นยอดเงินค่าจ้างที่แน่นอน ส่วนค่าจ้างที่สามารถปรับราคาได้มิได้ระบุลงไว้เนื่องจากขณะโอนสิทธิเรียกร้องยังไม่ทราบว่าจะมีอยู่หรือไม่เพียงใด สัญญาโอนสิทธิเรียกร้องที่ระบุถึงสิทธิเรียกร้องทั้งหมดย่อมต้องหมายความรวมถึงค่าจ้างที่สามารถปรับราคาได้ด้วย
การที่ผู้คัดค้านเคยส่งเงินค่าจ้างที่สามารถปรับราคาได้ตามสัญญาจ้างรายนี้มายังเจ้าพนักงานบังคับคดีตามที่ได้แจ้งอายัดครั้งหนึ่งแล้ว ก็มิได้หมายความว่าผู้คัดค้านจะเปลี่ยนแนวทางปฏิบัติในครั้งต่อไปไม่ได้ เมื่อเห็นว่าการเปลี่ยนแนวทางปฏิบัติต้องตามความประสงค์ของคู่กรณีที่ให้มีการโอนสิทธิเรียกร้องต่อกันยิ่งกว่า

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4306/2528

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การโอนสิทธิเรียกร้องค่าจ้าง: สัญญาครอบคลุมค่าจ้างปรับราคาได้ แม้ไม่ได้ระบุชัดเจน
ในคดีที่ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นทำการไต่สวนฟังข้อเท็จจริงจากโจทก์จำเลยและผู้เกี่ยวข้องและมีคำสั่งใหม่ตามรูปคดีหากศาลฎีกาพิจารณาเห็นว่าข้อเท็จจริงในคดีมีเพียงพอที่ศาลจะวินิจฉัยได้แล้วไม่จำเป็นต้องฟังข้อเท็จจริงต่อไปศาลฎีกาย่อมมีอำนาจที่จะวินิจฉัยคดีไปได้ จำเลยกับธนาคาร ท. ทำหนังสือสัญญาโอนสิทธิเรียกร้องค่าจ้างตามสัญญาจ้างทำงานที่สามารถปรับราคาค่าจ้างได้โดยระบุให้โอนสิทธิเรียกร้องที่จำเลยมีอยู่กับผู้คัดค้านทั้งหมดหรือประจำงวดที่ 1-10 ให้ธนาคาร ท.และได้มีหนังสือแจ้งให้ผู้คัดค้านทราบว่าได้ตกลงโอนสิทธิเรียกร้องทั้งหมดผู้คัดค้านได้รับทราบการโอนสิทธิเรียกร้องระหว่างจำเลยกับธนาคารท. แล้วดังนี้แม้สัญญาโอนสิทธิเรียกร้องและหนังสือแจ้งการโอนสิทธิเรียกร้องจะกล่าวถึงเฉพาะเงินค่าจ้างทั้ง10 งวดตามสัญญาเพราะเป็นยอดเงินค่าจ้างที่แน่นอนส่วนค่าจ้างที่สามารถปรับราคาได้มิได้ระบุลงไว้เนื่องจากขณะโอนสิทธิเรียกร้องยังไม่ทราบว่าจะมีอยู่หรือไม่เพียงใดสัญญาโอนสิทธิเรียกร้องที่ระบุถึงสิทธิเรียกร้องทั้งหมดย่อมต้องหมายความรวมถึงค่าจ้างที่สามารถปรับราคาได้ด้วย การที่ผู้คัดค้านเคยส่งเงินค่าจ้างที่สามารถปรับราคาได้ตามสัญญาจ้างรายนี้มายังเจ้าพนักงานบังคับคดีตามที่ได้แจ้งอายัดครั้งหนึ่งแล้วก็มิได้หมายความว่าผู้คัดค้านจะเปลี่ยนแนวทางปฏิบัติในครั้งต่อไปไม่ได้เมื่อเห็นว่าการเปลี่ยนแนวทางปฏิบัติต้องตามความประสงค์ของคู่กรณีที่ให้มีการโอนสิทธิเรียกร้องต่อกันยิ่งกว่า

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3976/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดของไปรษณีย์ต่อการสูญหายของสิ่งของลงทะเบียนที่ไม่ได้รับการประกัน
การฝากส่งสินค้าของโจทก์เป็นลักษณะไปรษณียภัณฑ์ลงทะเบียนไม่มีการประกันแต่อย่างใด เมื่อไปรษณียภัณฑ์สูญหายจำเลยที่ 1 ต้องรับผิด ตามพระราชบัญญัติไปรษณีย์ พุทธศักราช 2477 มาตรา 29 คือตามข้อบังคับ ที่ใช้อยู่เวลานั้นหาใช่ต้องรับผิดตามมาตรา 30 ไม่ เพราะตาม มาตราดังกล่าวต้องเป็นไปรษณียภัณฑ์ ที่ผู้ฝากได้ระบุแจ้งราคาไว้แล้วเท่านั้น
การที่พนักงานของจำเลยที่ 1 ลงชื่อและประทับตราลงในใบขนสินค้าขาออกซึ่งแจ้งราคาสินค้าไว้ด้วย โดยผ่านพิธีการศุลกากร มาแล้วและมิต้องเปิดตรวจสอบให้ตรงกันก่อนเป็นเพียงแสดงว่า ไปรษณียภัณฑ์นั้นผ่านเข้าไปรษณีย์แล้วเท่านั้นและโจทก์มิได้ส่งเอกสารใบขนสินค้าไว้แก่จำเลยที่ 1 ให้เป็นกิจจะลักษณะจึงถือว่า เป็นการแจ้งราคาไว้แก่จำเลยที่ 1 แล้วหาได้ไม่
จำเลยที่ 1 เป็นผู้รับขนพิเศษที่จะต้องแยกไปปฏิบัติและบังคับ ตามกฎหมายและกฎข้อบังคับสำหรับการไปรษณีย์โดยเฉพาะ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 609 จึงนำบทบัญญัติ เรื่องการรับขนของในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ลักษณะ 8 หมวด 1 มาใช้บังคับแก่จำเลยที่ 1 ไม่ได้และจะถือว่าจำเลยที่ 2 ซึ่งมีนิติสัมพันธ์ กับจำเลยที่ 1 เท่านั้นเป็นผู้ขนส่งหลายคนหลายทอดตามมาตรา 618 ไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3976/2528

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดของไปรษณีย์ต่อสินค้าสูญหาย: การลงทะเบียนไม่ประกัน, การแจ้งราคา, และผู้รับขน
การฝากส่งสินค้าของโจทก์เป็นลักษณะไปรษณียภัณฑ์ลงทะเบียนไม่มีการประกันแต่อย่างใด เมื่อไปรษณียภัณฑ์สูญหายจำเลยที่ 1 ต้องรับผิด ตามพระราชบัญญัติไปรษณีย์ พุทธศักราช 2477 มาตรา 29 คือตามข้อบังคับ ที่ใช้อยู่เวลานั้นหาใช่ต้องรับผิดตามมาตรา 30 ไม่ เพราะตาม มาตราดังกล่าวต้องเป็นไปรษณียภัณฑ์ ที่ผู้ฝากได้ระบุแจ้งราคาไว้แล้วเท่านั้น การที่พนักงานของจำเลยที่ 1 ลงชื่อและประทับตราลงใน ใบขนสินค้าขาออกซึ่งแจ้งราคาสินค้าไว้ด้วย โดยผ่านพิธีการศุลกากร มาแล้วและมิต้องเปิดตรวจสอบให้ตรงกันก่อนเป็นเพียงแสดงว่า ไปรษณียภัณฑ์นั้นผ่านเข้าไปรษณีย์แล้วเท่านั้นและโจทก์มิได้ส่ง เอกสารใบขนสินค้าไว้แก่จำเลยที่ 1 ให้เป็นกิจจะลักษณะจึงถือว่า เป็นการแจ้งราคาไว้แก่จำเลยที่1 แล้วหาได้ไม่ จำเลยที่ 1 เป็นผู้รับขนพิเศษที่จะต้องแยกไปปฏิบัติและบังคับ ตามกฎหมายและกฎข้อบังคับสำหรับการไปรษณีย์โดยเฉพาะ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 609 จึงนำบทบัญญัติ เรื่องการรับขนของในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ลักษณะ 8 หมวด 1 มาใช้บังคับแก่จำเลยที่ 1 ไม่ได้และจะถือว่าจำเลยที่ 2 ซึ่งมีนิติสัมพันธ์ กับจำเลยที่1 เท่านั้นเป็นผู้ขนส่งหลายคนหลายทอดตามมาตรา 618 ไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3910/2528

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยกอายุความต้องชัดเจนในคำให้การ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยหากไม่ระบุรายละเอียด
โจทก์ฟ้องจำเลยที่1และที่2ให้ร่วมรับผิดในมูลละเมิดฟ้องจำเลยที่ 3 ให้รับผิดตามสัญญาประกันภัยค้ำจุนคำให้การจำเลยที่ 3 กล่าวเพียงว่า 'กรณีจะเป็นประการใดก็ตามจำเลยที่3ขอให้การตัดฟ้องของโจทก์ว่า โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อขาดอายุความตามกฎหมายแล้ว' ไม่ชัดแจ้งว่าคดีขาดอายุความเรื่องอะไรและเพราะเหตุใด. จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสอง ย่อมไม่ก่อให้เกิดประเด็นข้อพิพาทในเรื่องอายุความ แม้ศาลล่าง จะได้วินิจฉัยให้ก็เป็นการนอกประเด็น ถือว่าเป็นข้อที่ มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลล่าง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
of 64