พบผลลัพธ์ทั้งหมด 17 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 672/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การข่มขู่เพื่อบังคับให้สั่งจ่ายเช็คไม่ทำให้สัญญาเป็นโมฆียะ หากเป็นการใช้สิทธิทางกฎหมายชอบธรรม และมีการยอมความกัน
โจทก์ขู่จำเลยว่าจะให้เจ้าพนักงานดำเนินคดีกับจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คฯ เพราะธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คที่จำเลยสั่งจ่ายชำระหนี้แก่โจทก์ จำเลยจึงยอมสั่งจ่ายเช็คใหม่จำนวนเงินเกินกว่าหนี้เดิมให้โจทก์ ดังนี้ หาใช่เป็นการข่มขู่อันเป็นเหตุให้นิติกรรมตกเป็นโมฆียะไม่ เพราะเป็นการขู่จะใช้สิทธิตามกฎหมายโดยชอบ การที่จำเลยยอมสั่งจ่ายเช็คจำนวนเงินเกินกว่าหนี้เดิมเพื่อแลกเช็คฉบับที่ถูกธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินคืนจากโจทก์ และเพื่อระงับเรื่องโจทก์จะดำเนินคดีกับจำเลย จึงเป็นการยอมความกันในคดีอาญาเรื่องเช็คนั้นใช้บังคับกันได้ ไม่ขัดต่อกฎหมาย จำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์ตามเช็คที่สั่งจ่ายใหม่เต็มจำนวน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 672/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การข่มขู่ให้สั่งจ่ายเช็คเพื่อผ่อนหนี้ไม่ทำให้เช็คตกเป็นโมฆียะ หากเป็นการใช้สิทธิตามกฎหมาย
โจทก์ขู่จำเลยว่าจะให้เจ้าพนักงานดำเนินคดีกับจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คฯ เพราะธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คที่จำเลยสั่งจ่ายชำระหนี้แก่โจทก์ จำเลยจึงยอมสั่งจ่ายเช็คใหม่จำนวนเงินเกินกว่าหนี้เดิมให้โจทก์ ดังนี้ หาใช่เป็นการข่มขู่อันเป็นเหตุให้นิติกรรมตกเป็นโมฆียะไม่ เพราะเป็นการขู่จะใช้สิทธิตามกฎหมายโดยชอบ การที่จำเลยสั่งจ่ายเช็คจำนวนเงินเกินกว่าหนี้เดิมเพื่อแลกเช็คที่ถูกธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินคืนจากโจทก์ และเพื่อระงับเรื่องโจทก์จะดำเนินคดีกับจำเลย จึงเป็นการยอมความกันในคดีอาญา เรื่องเช็คนั้นใช้บังคับกันได้ ไม่ขัดต่อกฎหมาย จำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์ตามเช็คที่สั่งจ่ายใหม่เต็มจำนวน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2448/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หนังสือรับสภาพหนี้ที่ทำขึ้นโดยตัวแทนที่ได้รับการเชิดชู และผลของการรับสภาพหนี้ต่ออายุความ
ห้างหุ้นส่วนจำกัดเลขที่ 1 มีจำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ จำเลยที่ 3 เป็นหุ้นส่วนจำพวกจำกัดความรับผิด จำเลยที่ 1 เป็นหนี้ค่าซื้อสินค้าเชื่อจากโจทก์อยู่ จำเลยที่ 3 ได้คิดบัญชีกับโจทก์แล้วได้ทำหนังสือรับสภาพหนี้ให้โจทก์ไว้โดยจำเลยที่ 1 ที่ 2 ไม่ได้มอบอำนาจให้ทำแทน แต่มีพฤติการณ์ที่ฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 เชิดให้จำเลยที่ 3 ออกแสดงเป็นตัวแทนของจำเลยที่ 1 ตลอดมา จำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดตามหนังสือรับสภาพหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 821 และจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการก็ต้องรับผิดร่วมด้วย ส่วนจำเลยที่ 3 แม้จะเป็นหุ้นส่วนจำพวกจำกัดความรับผิด แต่ก็ได้สอดเข้าไปเกี่ยวข้องจัดการในกิจการของจำเลยที่ 1 จึงต้องร่วมรับผิดตามหนังสือรับสภาพหนี้นั้นด้วย ตามมาตรา 1088
จำเลยที่ 1ชำระหนี้ค่าซื้อสินค้าเชื่อให้โจทก์ด้วยเช็คซึ่งจำเลยที่ 3 เป็นผู้สั่งจ่าย แต่เช็คขึ้นเงินไม่ได้ ต่อมาจำเลยที่ 3 ได้มาคิดบัญชีกับเจ้าหน้าที่ของโจทก์ การที่เจ้าหน้าที่ของโจทก์แจ้งว่า หากจำเลยที่ 3 ไม่ตกลงทำหนังสือรับสภาพหนี้ให้โดยดีจะให้ตำรวจดำเนินคดีกับจำเลยที่ 3 ในข้อหาออกเช็คไม่มีเงินนั้น เป็นการขู่ว่าจะใช้สิทธิที่โจทก์มีอยู่ตามปกตินิยมเท่านั้น ซึ่งตามมาตรา 127 หาได้จัดว่าเป็นการข่มขู่ไม่ และตามหนังสือรับสภาพหนี้ที่จำเลยที่ 3 ทำให้โจทก์นั้น ก็มีลักษณะเป็นการยอมความกันในความผิดอันยอมความกันได้ จึงไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ไม่ตกเป็นโมฆะ
เมื่อมีการรับสภาพหนี้แล้ว อายุความย่อมสะดุดหยุดลง และเริ่มนับอายุความขึ้นใหม่แต่วัน ทำสัญญารับสภาพหนี้ตามมาตรา 172,181
จำเลยที่ 1ชำระหนี้ค่าซื้อสินค้าเชื่อให้โจทก์ด้วยเช็คซึ่งจำเลยที่ 3 เป็นผู้สั่งจ่าย แต่เช็คขึ้นเงินไม่ได้ ต่อมาจำเลยที่ 3 ได้มาคิดบัญชีกับเจ้าหน้าที่ของโจทก์ การที่เจ้าหน้าที่ของโจทก์แจ้งว่า หากจำเลยที่ 3 ไม่ตกลงทำหนังสือรับสภาพหนี้ให้โดยดีจะให้ตำรวจดำเนินคดีกับจำเลยที่ 3 ในข้อหาออกเช็คไม่มีเงินนั้น เป็นการขู่ว่าจะใช้สิทธิที่โจทก์มีอยู่ตามปกตินิยมเท่านั้น ซึ่งตามมาตรา 127 หาได้จัดว่าเป็นการข่มขู่ไม่ และตามหนังสือรับสภาพหนี้ที่จำเลยที่ 3 ทำให้โจทก์นั้น ก็มีลักษณะเป็นการยอมความกันในความผิดอันยอมความกันได้ จึงไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ไม่ตกเป็นโมฆะ
เมื่อมีการรับสภาพหนี้แล้ว อายุความย่อมสะดุดหยุดลง และเริ่มนับอายุความขึ้นใหม่แต่วัน ทำสัญญารับสภาพหนี้ตามมาตรา 172,181
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2448/2518
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หนังสือรับสภาพหนี้ผูกพันจำเลย แม้ไม่ได้มอบอำนาจ เหตุมีพฤติการณ์เชิดให้เป็นตัวแทน และอายุความสะดุดหยุดลง
ห้างหุ้นส่วนจำกัดจำเลยที่ 1 มีจำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการจำเลยที่ 3 เป็นหุ้นส่วนจำพวกจำกัดความรับผิด จำเลยที่ 1 เป็นหนี้ค่าซื้อสินค้าเชื่อจากโจทก์อยู่ จำเลยที่ 3 ได้คิดบัญชีกับโจทก์แล้วได้ทำหนังสือรับสภาพหนี้ให้โจทก์ไว้โดยจำเลยที่ 1 ที่ 2 ไม่ได้มอบอำนาจให้ทำแทน แต่มีพฤติการณ์ที่ฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 เชิดใช้จำเลยที่ 3ออกแสดงเป็นตัวแทนของจำเลยที่ 1 ตลอดมา จำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดตามหนังสือรับสภาพหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 821และจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการก็ต้องรับผิดร่วมด้วย ส่วนจำเลยที่ 3แม้จะเป็นหุ้นส่วนจำพวกจำกัดความรับผิด แต่ก็ได้สอดเข้าไปเกี่ยวข้องจัดการในกิจการของจำเลยที่ 1 จึงต้องร่วมรับผิดตามหนังสือรับสภาพหนี้นั้นด้วย ตามมาตรา 1088
จำเลยที่ 1 ชำระหนี้ค่าซื้อสินค้าเชื่อให้โจทก์ด้วยเช็คซึ่งจำเลยที่ 3เป็นผู้สั่งจ่าย แต่เช็คขึ้นเงินไม่ได้ ต่อมาจำเลยที่ 3 ได้มาคิดบัญชีกับเจ้าหน้าที่ของโจทก์ การที่เจ้าหน้าที่ของโจทก์แจ้งว่า หากจำเลยที่ 3 ไม่ตกลงทำหนังสือรับสภาพหนี้ให้โดยดีจะให้ตำรวจดำเนินคดีกับจำเลยที่ 3 ในข้อหาออกเช็คไม่มีเงินนั้น เป็นการขู่ว่าจะใช้สิทธิที่โจทก์มีอยู่ตามปกตินิยมเท่านั้น ซึ่งตามมาตรา 127 หาได้จัดว่าเป็นการข่มขู่ไม่ และตามหนังสือรับสภาพหนี้ที่จำเลยที่ 3 ทำให้โจทก์นั้น ก็มีลักษณะเป็นการยอมความกันในความผิดอันยอมความได้ จึงไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ไม่ตกเป็นโมฆะ
เมื่อมีการรับสภาพหนี้แล้ว อายุความย่อมสะดุดหยุดลง และเริ่มนับอายุความขึ้นใหม่แต่วัน ทำสัญญารับสภาพหนี้ตามมาตรา 172,181
จำเลยที่ 1 ชำระหนี้ค่าซื้อสินค้าเชื่อให้โจทก์ด้วยเช็คซึ่งจำเลยที่ 3เป็นผู้สั่งจ่าย แต่เช็คขึ้นเงินไม่ได้ ต่อมาจำเลยที่ 3 ได้มาคิดบัญชีกับเจ้าหน้าที่ของโจทก์ การที่เจ้าหน้าที่ของโจทก์แจ้งว่า หากจำเลยที่ 3 ไม่ตกลงทำหนังสือรับสภาพหนี้ให้โดยดีจะให้ตำรวจดำเนินคดีกับจำเลยที่ 3 ในข้อหาออกเช็คไม่มีเงินนั้น เป็นการขู่ว่าจะใช้สิทธิที่โจทก์มีอยู่ตามปกตินิยมเท่านั้น ซึ่งตามมาตรา 127 หาได้จัดว่าเป็นการข่มขู่ไม่ และตามหนังสือรับสภาพหนี้ที่จำเลยที่ 3 ทำให้โจทก์นั้น ก็มีลักษณะเป็นการยอมความกันในความผิดอันยอมความได้ จึงไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ไม่ตกเป็นโมฆะ
เมื่อมีการรับสภาพหนี้แล้ว อายุความย่อมสะดุดหยุดลง และเริ่มนับอายุความขึ้นใหม่แต่วัน ทำสัญญารับสภาพหนี้ตามมาตรา 172,181
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2321/2518
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาค้ำประกันที่ถูกข่มขู่ & ดอกเบี้ยเกินอัตรา สัญญาไม่สมบูรณ์ ศาลคิดดอกเบี้ยตามกฎหมาย
ทำสัญญากู้ใหม่รวมดอกเบี้ยที่ค้างมาก่อนรวมเข้าด้วยเป็นดอกเบี้ยเกินอัตรา สัญญากู้นี้เป็นโมฆะเฉพาะดอกเบี้ยศาลให้เสียดอกเบี้ยร้อยละ 7 ครึ่ง ต่อปีในต้นเงินตั้งแต่วันฟ้อง
ขู่ให้ทำสัญญาค้ำประกันโดยกล่าวว่า ถ้าไม่ทำจะฟ้องริบทรัพย์สมบัติให้หมด เป็นการบอกว่าจะใช้สิทธิตามกฎหมาย ไม่ทำให้สัญญา ไม่สมบูรณ์
คำให้การว่าจำเลยลงชื่อในสัญญากู้โดยไม่ทราบจำนวนเงินที่โจทก์กรอกลงเกินจำนวน 5,000 บาท ที่ค้างจริง เป็นการต่อสู้ว่าการกู้และค้ำประกันไม่สมบูรณ์ แม้ในสัญญากู้ระบุว่ารับเงินไป 13,500 บาทจำเลยก็นำสืบหักล้างเอกสารได้
ขู่ให้ทำสัญญาค้ำประกันโดยกล่าวว่า ถ้าไม่ทำจะฟ้องริบทรัพย์สมบัติให้หมด เป็นการบอกว่าจะใช้สิทธิตามกฎหมาย ไม่ทำให้สัญญา ไม่สมบูรณ์
คำให้การว่าจำเลยลงชื่อในสัญญากู้โดยไม่ทราบจำนวนเงินที่โจทก์กรอกลงเกินจำนวน 5,000 บาท ที่ค้างจริง เป็นการต่อสู้ว่าการกู้และค้ำประกันไม่สมบูรณ์ แม้ในสัญญากู้ระบุว่ารับเงินไป 13,500 บาทจำเลยก็นำสืบหักล้างเอกสารได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2968/2516 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประนีประนอมยอมความสมบูรณ์ แม้มีเจรจาต่อรองโดยอ้างอิงถึงคดีอาญาที่ฟ้องร้อง
โจทก์ตกลงซื้อที่ดินจากจำเลยที่ 1 โดยชำระเงินกับออกเช็คสั่งจ่ายเงินชำระราคาค่าที่ดินให้แก่จำเลยที่ 1 และได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายกันไว้ ต่อมาปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ไม่มีที่ดินที่จะขายให้โจทก์ โจทก์จึงฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีอาญาฐานฉ้อโกงแล้วโจทก์และจำเลยทั้งสองได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความไว้ต่อกัน ในการทำสัญญาดังกล่าวแม้จะฟังตามที่จำเลยนำสืบว่าจำเลยทั้งสองลงชื่อไปเพราะโจทก์พูดว่า "ต้องคืนเงิน (ที่จำเลยรับไป) ถ้าไม่คืนจะเอาเข้าตะราง" ก็ดี หรือทนายโจทก์พูดว่า "ขอให้คืนมัดจำและเช็คให้เสีย ถ้าไม่คืนเงินจะให้เอาเข้าตะราง" ก็ดี เป็นเรื่องที่โจทก์ขู่ว่า ถ้าจำเลยไม่คืนเงินและเช็คที่รับไปแล้ว โจทก์จะฟ้องเอาผิดกับจำเลยทางอาญาฐานฉ้อโกง อันเป็นการใช้สิทธิทางศาลโดยสุจริตเพราะตนมีสิทธิในมูลกรณีนั้น ดังนี้ ถือได้ว่าเป็นการขู่ว่าจะใช้สิทธิตามปกตินิยมหาจัดว่าเป็นการข่มขู่ไม่ และไม่ใช่เรื่องหลอกลวงสัญญาประนีประนอมยอมความจึงสมบูรณ์ใช้บังคับได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2968/2516
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประนีประนอมสมบูรณ์ แม้มีขู่ว่าจะฟ้องอาญา หากไม่คืนเงิน ไม่ถือเป็นการข่มขู่หลอกลวง
โจทก์ตกลงซื้อที่ดินจากจำเลยที่ 1 โดยชำระเงินกับออกเช็คสั่งจ่ายเงินชำระราคาค่าที่ดินให้แก่จำเลยที่ 1 และได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายกันไว้ ต่อมาปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ไม่มีที่ดินที่จะขายให้โจทก์ โจทก์จึงฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีอาญาฐานฉ้อโกงแล้วโจทก์และจำเลยทั้งสองได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความไว้ต่อกัน ในการทำสัญญาดังกล่าวแม้จะฟังตามที่จำเลยนำสืบว่าจำเลยทั้งสองลงชื่อไปเพราะโจทก์พูดว่า 'ต้องคืนเงิน (ที่จำเลยรับไป)ถ้าไม่คืนจะเอาเข้าตะราง' ก็ดี หรือทนายโจทก์พูดว่า 'ขอให้คืนมัดจำและเช็คให้เสีย ถ้าไม่คืนเงินจะให้เอาเข้าตะราง' ก็ดี เป็นเรื่องที่โจทก์ขู่ว่า ถ้าจำเลยไม่คืนเงินและเช็คที่รับไปแล้ว โจทก์จะฟ้องเอาผิดกับจำเลยทางอาญาฐานฉ้อโกง อันเป็นการใช้สิทธิทางศาลโดยสุจริตเพราะตนมีสิทธิในมูลกรณีนั้น ดังนี้ ถือได้ว่าเป็นการขู่ว่าจะใช้สิทธิตามปกตินิยมหาจัดว่าเป็นการข่มขู่ไม่ และไม่ใช่เรื่องหลอกลวงสัญญาประนีประนอมยอมความจึงสมบูรณ์ใช้บังคับได้