พบผลลัพธ์ทั้งหมด 496 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 279/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิครอบครองสาธารณสมบัติของแผ่นดิน: ผู้ยึดถือไม่มีสิทธิในที่ดิน และไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่
ที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินนั้น ผู้ใดหามีสิทธิครอบครองและมีกรรมสิทธิ์ไม่ โจทก์ผู้ยึดถือครอบครองอยู่จึงไม่มีสิทธิให้เช่า การที่โจทก์ให้ผู้อื่นเช่า จึงเป็นการมอบการยึดถือครอบครองให้แก่ผู้อื่น และผู้ยึดถือครอบครองที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินจะหวงกันผู้อื่นได้ก็แต่ขณะที่ยึดถือครอบครองอยู่เมื่อโจทก์มิใช่ผู้ยึดถือครอบครองเสียแล้ว จึงไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่ผู้ครอบครอง.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 279/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน: การครอบครองไม่ก่อให้เกิดสิทธิ ผู้มิได้ครอบครองไม่มีอำนาจฟ้อง
ที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ผู้ใดหามีสิทธิครอบครองและมีกรรมสิทธิ์ไม่ การยึดถือครอบครองสาธารณสมบัติของแผ่นดินไม่ก่อให้เกิดสิทธิใด ๆ แก่ผู้ยึดถือครอบครอง ผู้ยึดถือครอบครองหวงกันผู้อื่นได้ก็แต่ขณะที่ยึดถือครอบครองอยู่ เมื่อโจทก์มิใช่ผู้ยึดถือครอบครองแล้ว จึงไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่ผู้ครอบครองได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 279/2530 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิการครอบครองสาธารณสมบัติของแผ่นดิน: ผู้ยึดถือไม่มีสิทธิในที่ดินและฟ้องขับไล่ไม่ได้
ที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินนั้น ผู้ใดหามีสิทธิครอบครองและมีกรรมสิทธิ์ไม่ โจทก์ผู้ยึดถือครอบครองอยู่จึงไม่มีสิทธิให้เช่า การที่โจทก์ให้ผู้อื่นเช่า จึงเป็นการมอบการยึดถือครอบครองให้แก่ผู้อื่น และผู้ยึดถือครอบครองที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินจะหวงกันผู้อื่นได้ก็แต่ขณะที่ยึดถือครอบครองอยู่ เมื่อโจทก์มิใช่ผู้ยึดถือครอบครองเสียแล้ว จึงไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่ผู้ครอบครอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 262/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาจำเลยอุทธรณ์ไม่ทันข้อเท็จจริงยุติตามศาลชั้นต้น ความผิดอนาจารเด็กหญิง
จำเลยมิได้อุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้น ข้อเท็จจริงจึงยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่า จำเลยได้กระทำผิดตามฟ้อง จำเลยจะโต้เถียงขึ้นมาในชั้นฎีกาอีกไม่ได้ จำเลยกระทำอนาจารเด็กหญิงอายุ 8 ปี โดยการกอดจูบและใช้นิ้วแหย่เข้าไปในอวัยวะเพศหลายครั้ง โดยผู้เสียหายอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ ซึ่งเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 279 วรรคสองมีอัตราโทษจำคุกขั้นสูงถึง 15 ปี ศาลอุทธรณ์กำหนดโทษจำคุกจำเลย8 เดือน เป็นการเหมาะสมแล้ว.(ที่มา-เนติ)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 238/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมและการเบิกความเท็จในคดีแรงงาน ศาลต้องไต่สวนมูลฟ้องหากข้อเท็จจริงสำคัญเปลี่ยนแปลง
จำเลยฟ้องต่อศาลแรงงานกลางว่า โจทก์เลิกจ้างจำเลยโดยไม่เป็นธรรม แล้วเบิกความว่าจำเลยไม่ได้ใช้ ส.และพ.พนักงานรักษาความปลอดภัยลูกจ้างของโจทก์ซึ่งอยู่ใต้บังคับบัญชาของจำเลยไปธุระส่วนตัวในเวลาทำงาน เพียงแต่เป็นผู้ฝากงานให้ส.และพ.ทำนอกเวลาทำงานปกติของโจทก์ เอกสารหมาย ล.9 เป็นหนังสือที่จำเลยขอบคุณ พ.ที่ไปช่วยงานโดยจำเลยไม่ทราบเรื่อง ซึ่งในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่าการเลิกจ้างเป็นธรรมหรือไม่นั้น ต้องอาศัยข้อเท็จจริงที่ว่า ส.และพ.ได้ละทิ้งหน้าที่เพราะจำเลยใช้ให้ไปทำงานส่วนตัวให้จำเลยหรือไม่โดยตรง ตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏนั้นอาจจะเป็นกรณีที่ถือได้ว่าจำเลยทุจริตต่อหน้าที่ จงใจให้โจทก์เสียหายอันโจทก์ถือเป็นเหตุเลิกจ้างจำเลย ซึ่งถ้าเป็นดังนี้ย่อมถือไม่ได้ว่าการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมข้อความที่จำเลยเบิกความดังกล่าวจึงเป็นข้อสำคัญในคดี.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 238/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเบิกความเท็จในคดีแรงงานส่งผลต่อการวินิจฉัยความชอบธรรมของการเลิกจ้าง
โจทก์ฟ้องว่า เดิม จำเลยเป็นลูกจ้างโจทก์ในตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายบุคคลธุรการ ต่อมาโจทก์เลิกจ้างเพราะจำเลยใช้พนักงานรักษาความปลอดภัยละทิ้งหน้าที่ไปทำงานส่วนตัวให้จำเลยจำเลยจึงฟ้องโจทก์ต่อศาลแรงงานว่าโจทก์เลิกจ้างจำเลยโดยไม่เป็นธรรมในการพิจารณาคดีดังกล่าว จำเลยเบิกความอันเป็นเท็จว่า ส. ได้รับแต่ง ตั้งเป็นหัวหน้ารักษาความปลอดภัย อยากได้รายได้พิเศษ จำเลยจึงฝาก ส. ทำงานที่ร้านอาหารโดยให้ไปทำในช่วงที่มิใช่เวลาทำงานของโจทก์ ฝากงานให้แล้ว ส. มาทำงานสายจำเลยได้ว่ากล่าวตักเตือนและเบิกความอันเป็นเท็จว่าจำเลยไม่เคยใช้ พ. ไปทำธุระส่วนตัวร้านอาหารที่จำเลยฝากงานให้ไปทำอยู่ที่ห้าง อ. เอกสาร ล.6 จำเลยเขียนฝากงานให้ ส. ทำที่โรงแรมจำเลยก็เบิกความเท็จว่าจำเลยเขียนฝากงานให้ทำที่ห้าง อ. เอกสาร ล.9 เป็นหนังสือที่จำเลยขอบใจ พ. เกี่ยวกับเรื่องงานที่จำเลยได้มอบหมายให้ไปทำและให้เก็บเป็นความลับ จำเลยก็เบิกความเท็จว่าเป็นหนังสือที่จำเลยขอบใจ พ.ที่ไปช่วยงานร้านอาหารโดยส. ขอร้องและจำเลยไม่รู้เรื่องข้อความที่โจทก์อ้างว่าจำเลยเบิกความนี้เป็นข้อสำคัญในคดี จะอ้างว่าแม้จำเลยจะเบิกความเป็นเท็จก็ไม่ทำให้ผลแห่งคดีเปลี่ยนแปลงไปย่อมไม่ถูกต้อง ที่ศาลสั่งงดไต่สวนมูลฟ้องแล้วพิพากษายกฟ้องจึงเป็นการไม่ชอบ.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 238/2530 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกจ้างไม่เป็นธรรม: การใช้ลูกจ้างไปทำงานส่วนตัวของผู้บริหาร และการเบิกความเท็จมีผลต่อเหตุเลิกจ้าง
จำเลยฟ้องต่อศาลแรงงานกลางว่า โจทก์เลิกจ้างจำเลยโดยไม่เป็นธรรม แล้วเบิกความว่าจำเลยไม่ได้ใช้ ส.และ พ.พนักงานรักษาความปลอดภัยลูกจ้างของโจทก์ซึ่งอยู่ใต้บังคับบัญชาของจำเลยไปธุระส่วนตัวในเวลาทำงาน เพียงแต่เป็นผู้ฝากงานให้ ส.และ พ.ทำนอกเวลาทำงานปกติของโจทก์ เอกสารหมาย ล.9 เป็นหนังสือที่จำเลยขอบคุณ พ.ที่ไปช่วยงานโดยจำเลยไม่ทราบเรื่อง ซึ่งในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่าการเลิกจ้างเป็นธรรมหรือไม่นั้น ต้องอาศัยข้อเท็จจริงที่ว่า ส.และ พ.ได้ละทิ้งหน้าที่เพราะจำเลยใช้ให้ไปทำงานส่วนตัวให้จำเลยหรือไม่โดยตรง ตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏนั้นอาจจะเป็นกรณีที่ถือได้ว่าจำเลยทุจริตต่อหน้าที่ จงใจให้โจทก์เสียหายอันโจทก์ถือเป็นเหตุเลิกจ้างจำเลย ซึ่งถ้าเป็นดังนี้ย่อมถือไม่ได้ว่าการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมข้อความที่จำเลยเบิกความดังกล่าวจึงเป็นข้อสำคัญในคดี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 234/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การใช้รถจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะในการกระทำความผิดฐานปล้นทรัพย์และการหลบหนี
ผู้เสียหายขับรถจักรยานยนต์สวนทางกับจำเลย แล้วผู้เสียหายถูกพวกของจำเลย 2 คนใช้อาวุธปืนจี้บังคับเอาทรัพย์ ขณะที่มีการค้นตัวผู้เสียหายจำเลยขับรถจักรยานยนต์ย้อนกลับมาจอดห่างผู้เสียหายประมาณ 1 วา แต่มิได้ลงจากรถ เมื่อพวกของจำเลยได้ทรัพย์จากผู้เสียหายแล้ว จำเลยก็ขับรถจักรยานยนต์ออกไปและพวกของจำเลยก็ขับรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายซ้อนท้ายตามไปพฤติการณ์ดังกล่าวยังถือไม่ได้ว่าจำเลยใช้รถจักรยานยนต์เพื่อกระทำความผิดแต่การที่จำเลยขับรถจักรยานยนต์ออกไปจากที่เกิดเหตุพร้อมกับพวก เป็นเหตุให้ผู้เสียหายซึ่งออกติดตามพวกของจำเลยไป ไม่สามารถติดตามได้ทัน ถือได้ว่าจำเลยได้ใช้รถจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะหลบหนีไปเพื่อให้พ้นจากการจับกุมเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 ตรี แล้ว
การที่โจทก์ฎีกาขอให้ระวางโทษจำเลยอีกกึ่งหนึ่งนั้น ถือได้ว่าโจทก์ขอให้ลงโทษตามมาตรา 340 ตรี แล้ว โดยระวางโทษหนักกว่าที่บัญญัติไว้ในมาตรา 340 กึ่งหนึ่ง
รถจักรยานยนต์ของกลางเป็นเพียงยานพาหนะที่จำเลยขับมายังที่เกิดเหตุและขับออกไปจากที่เกิดเหตุ แม้จะเป็นความผิดตามมาตรา 340 ตรี แต่การจะริบได้หรือไม่นั้น จะต้องเป็นทรัพย์ซึ่งได้ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิดมาตรา 33(1)เมื่อของกลางมิใช่ทรัพย์ซึ่งได้ใช้ในการกระทำผิดจึงริบไม่ได้
โจทก์มีผู้เสียหายเป็นประจักษ์พยานรู้เห็นในที่เกิดเหตุเพียงคนเดียว พยานอื่นเป็นเพียงพยานแวดล้อม กรณีถือได้ว่าคำให้การรับสารภาพชั้นสอบสวนของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ชอบที่ศาลจะลดโทษให้.
การที่โจทก์ฎีกาขอให้ระวางโทษจำเลยอีกกึ่งหนึ่งนั้น ถือได้ว่าโจทก์ขอให้ลงโทษตามมาตรา 340 ตรี แล้ว โดยระวางโทษหนักกว่าที่บัญญัติไว้ในมาตรา 340 กึ่งหนึ่ง
รถจักรยานยนต์ของกลางเป็นเพียงยานพาหนะที่จำเลยขับมายังที่เกิดเหตุและขับออกไปจากที่เกิดเหตุ แม้จะเป็นความผิดตามมาตรา 340 ตรี แต่การจะริบได้หรือไม่นั้น จะต้องเป็นทรัพย์ซึ่งได้ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิดมาตรา 33(1)เมื่อของกลางมิใช่ทรัพย์ซึ่งได้ใช้ในการกระทำผิดจึงริบไม่ได้
โจทก์มีผู้เสียหายเป็นประจักษ์พยานรู้เห็นในที่เกิดเหตุเพียงคนเดียว พยานอื่นเป็นเพียงพยานแวดล้อม กรณีถือได้ว่าคำให้การรับสารภาพชั้นสอบสวนของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ชอบที่ศาลจะลดโทษให้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 234/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การใช้รถจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะหลบหนีหลังปล้นทรัพย์ และการริบของกลาง
ผู้เสียหายขับรถจักรยานยนต์สวนทางกับจำเลย แล้วผู้เสียหายถูกพวกของจำเลย 2 คนใช้อาวุธปืนจี้บังคับเอาทรัพย์ ขณะที่มีการค้นตัวผู้เสียหายจำเลยขับรถจักรยานยนต์ย้อนกลับมาจอดห่างผู้เสียหายประมาณ 1 วา แต่มิได้ลงจากรถ เมื่อพวกของจำเลยได้ทรัพย์จากผู้เสียหายแล้ว จำเลยก็ขับรถจักรยานยนต์ออกไปและพวกของจำเลยก็ขับรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายซ้อนท้ายตามไปพฤติการณ์ดังกล่าวยังถือไม่ได้ว่าจำเลยใช้รถจักรยานยนต์เพื่อกระทำความผิดแต่การที่จำเลยขับรถจักรยานยนต์ออกไปจากที่เกิดเหตุพร้อมกับพวก เป็นเหตุให้ผู้เสียหายซึ่งออกติดตามพวกของจำเลยไป ไม่สามารถติดตามได้ทัน ถือได้ว่าจำเลยได้ใช้รถจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะหลบหนีไปเพื่อให้พ้นจากการจับกุม เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 ตรี แล้ว
การที่โจทก์ฎีกาขอให้ระวางโทษจำเลยอีกกึ่งหนึ่งนั้น ถือได้ว่าโจทก์ขอให้ลงโทษตามมาตรา 340 ตรี แล้ว โดยระวางโทษหนักกว่าที่บัญญัติไว้ในมาตรา 340 กึ่งหนึ่ง
รถจักรยานยนต์ของกลางเป็นเพียงยานพาหนะที่จำเลยขับมายังที่เกิดเหตุและขับออกไปจากที่เกิดเหตุ แม้จะเป็นความผิดตามมาตรา 340 ตรี แต่การจะริบได้หรือไม่นั้น จะต้องเป็นทรัพย์ซึ่งได้ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิดมาตรา 33 (1) เมื่อของกลางมิใช่ทรัพย์ซึ่งได้ใช้ในการกระทำผิดจึงริบไม่ได้
โจทก์มีผู้เสียหายเป็นประจักษ์พยานรู้เห็นในที่เกิดเหตุเพียงคนเดียว พยานอื่นเป็นเพียงพยานแวดล้อม กรณีถือได้ว่าคำให้การรับสารภาพชั้นสอบสวนของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ชอบที่ศาลจะลดโทษให้
การที่โจทก์ฎีกาขอให้ระวางโทษจำเลยอีกกึ่งหนึ่งนั้น ถือได้ว่าโจทก์ขอให้ลงโทษตามมาตรา 340 ตรี แล้ว โดยระวางโทษหนักกว่าที่บัญญัติไว้ในมาตรา 340 กึ่งหนึ่ง
รถจักรยานยนต์ของกลางเป็นเพียงยานพาหนะที่จำเลยขับมายังที่เกิดเหตุและขับออกไปจากที่เกิดเหตุ แม้จะเป็นความผิดตามมาตรา 340 ตรี แต่การจะริบได้หรือไม่นั้น จะต้องเป็นทรัพย์ซึ่งได้ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิดมาตรา 33 (1) เมื่อของกลางมิใช่ทรัพย์ซึ่งได้ใช้ในการกระทำผิดจึงริบไม่ได้
โจทก์มีผู้เสียหายเป็นประจักษ์พยานรู้เห็นในที่เกิดเหตุเพียงคนเดียว พยานอื่นเป็นเพียงพยานแวดล้อม กรณีถือได้ว่าคำให้การรับสารภาพชั้นสอบสวนของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ชอบที่ศาลจะลดโทษให้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 226/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การไม่โต้แย้งคำสั่งศาลระหว่างพิจารณา ทำให้เสียสิทธิอุทธรณ์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 226
ศาลชั้นต้นสั่งงดชี้สองสถานและงดพิจารณาเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม2527 และนัดฟังคำพิพากษาวันที่ 11 เดือนเดียวกัน อันเป็นเวลาหลังจากที่ศาลสั่งถึง 5 วัน จำเลยมีโอกาสเพียงพอที่จะโต้แย้งคัดค้านคำสั่งนี้ได้ แต่ไม่ทำ เป็นการไม่ปฏิบัติตามที่กฎหมายบัญญัติไว้จึงไม่มีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งนั้นตาม ป.วิ.พ. มาตรา 226.