คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
อภินย์ ปุษปาคม

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 496 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4015/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การไม่มาศาลตามนัดและการยกฟ้องคดีอาญา: ศาลมิได้ข้ามขั้นตอน
ศาลสั่งนัดไต่สวนมูลฟ้องโดยให้โจทก์นำส่งหมายนัดภายใน 7วันทนายโจทก์ทราบนัดแล้ว ครั้นถึงวันนัดไต่สวนมูลฟ้อง โจทก์ไม่มาศาลโดยมิได้แจ้งเหตุขัดข้องหรือขอเลื่อนคดี ศาลจึงสั่งให้ยกฟ้องโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 166ต่อมาในวันเดียวกันนั้นเจ้าพนักงานศาลรายงานให้ศาลทราบว่า โจทก์มิได้ดำเนินการส่งหมายนัดให้จำเลยตามคำสั่งศาลขั้นตอนของการดำเนินกระบวนพิจารณาได้ล่วงเลยมาถึงวันนัดไต่สวนมูลฟ้องแล้ว จึงไม่มีกรณีที่ศาลจะต้องย้อนไปสั่งจำหน่ายคดีโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 132(1) ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 อีก กรณีมิได้เป็นการข้ามขั้นตอนและมิได้เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4014/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้อน: การฟ้องคดีเดียวกันก่อนคดีแรกสิ้นสุด ถือเป็นการฟ้องที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
โจทก์เคยฟ้องจำเลยเกี่ยวกับเช็คฉบับเดียวกันในมูลคดีและข้อหาเดียวกันกับที่ฟ้องคดีนี้ ก่อนฟ้องคดีนี้ 1 วัน เมื่อคดีแรกยังอยู่ในระหว่างพิจารณาศาลยังไม่ได้พิพากษา ฟ้องโจทก์คดีนี้จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 173 วรรคสอง (1) ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ไม่ต้องพิจารณาว่าต่อมาศาลชั้นต้นจะพิพากษาหรือสั่งในคดีแรกนั้นเป็นอย่างใด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4014/2529

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อห้ามฟ้องคดีซ้ำซ้อนขณะคดีเดิมยังพิจารณาค้าง
โจทก์เคยฟ้องจำเลยเกี่ยวกับเช็คฉบับเดียวกันในมูลคดีและข้อหาเดียวกันกับที่ฟ้องคดีนี้ก่อนฟ้องคดีนี้1วันเมื่อคดีแรกยังอยู่ในระหว่างพิจารณาศาลยังไม่ได้พิพากษาฟ้องโจทก์คดีนี้จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา173วรรคสอง(1)ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา15ไม่ต้องพิจารณาว่าต่อมาศาลชั้นต้นจะพิพากษาหรือสั่งในคดีแรกนั้นเป็นอย่างใด.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3748/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การประเมินภาษีอากรและการอุทธรณ์ หากไม่ใช้สิทธิอุทธรณ์ตามกฎหมายแล้ว ไม่มีสิทธิฟ้องคดีต่อศาลได้
เมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยได้ตรวจสอบราคาสินค้าของโจทก์แล้ว มีความเห็นให้เรียกอากรขาเข้ากรมศุลกากรและภาษีการค้า เพิ่มแล้ว จำเลยก็ได้มีแบบแจ้งการประเมินอากรขาเข้าและภาษีการค้ารวม 10 ฉบับ แต่ละฉบับได้แจ้งผลการประเมินตามรายการภาษีอากรที่สำแดง ภาษีอากรที่ประเมินเพิ่มแล้วมีรายการแยกรายละเอียดเป็นยอดเงินเพิ่มสำหรับอากรขาเข้าภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลไว้ กรณีเช่นนี้ย่อมถือได้ว่ามีการประเมินภาษีการค้าโดยเจ้าพนักงานประเมินตามประมวลรัษฎากรมาตรา18 ประกอบด้วยมาตรา 87(2) แล้วหากโจทก์เห็นว่า การประเมินไม่ถูกต้องอย่างไรก็ชอบที่จะใช้สิทธิอุทธรณ์ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลรัษฎากรมาตรา 30 เสียก่อนเมื่อโจทก์ไม่ได้อุทธรณ์ภายในระยะเวลาตามบทกฎหมายดังกล่าวโจทก์ก็ไม่มีสิทธิฟ้องคดีอันเป็นการใช้สิทธิอุทธรณ์ต่อศาลได้
กรณีที่ราคาอันแท้จริงของสินค้าในการซื้อขายหลายรายหรือในท้องตลาดหลายแห่งอาจไม่ตรงกัน กรณีเช่นนี้ตามมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2503 อธิบดีกรมศุลกากรย่อมมีอำนาจกำหนดราคาสินค้าในท้องตลาดเป็นรายเฉลี่ยและเมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วก็ให้ถือราคานั้นเป็นเกณฑ์ในการประเมินอากร ส่วนคดีนี้เป็นเรื่องที่จำเลยกำหนดราคาอันแท้จริงในท้องตลาดเฉพาะเครื่องสำอางโคซี่ที่โจทก์นำเข้าและสำแดงราคาคลาดเคลื่อนเท่านั้นการกระทำของจำเลยจึงไม่ขัดต่อพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากรพ.ศ. 2503 มาตรา 9 (หมายเหตุวรรคแรกวินิจฉัยโดยมติที่ประชุมใหญ่ครั้งที่7/2529)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3748/2529 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การประเมินภาษีอากรและการอุทธรณ์ หากไม่ใช้สิทธิอุทธรณ์ตามกฎหมายแล้ว ไม่มีสิทธิฟ้องคดีต่อศาลได้
เมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยได้ตรวจสอบราคาสินค้าของโจทก์แล้ว มีความเห็นให้เรียกอากรขาเข้ากรมศุลกากรและภาษีการค้าเพิ่มแล้ว จำเลยก็ได้มีแบบแจ้งการประเมินอากรขาเข้าและภาษีการค้ารวม 10 ฉบับ แต่ละฉบับได้แจ้งผลการประเมินตามรายการภาษีอากรที่สำแดง ภาษีอากรที่ประเมินเพิ่มแล้วมีรายการแยกรายละเอียดเป็นยอดเงินเพิ่มสำหรับอากรขาเข้า ภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลไว้ กรณีเช่นนี้ย่อมถือได้ว่ามีการประเมินภาษีการค้าโดยเจ้าพนักงานประเมินตามประมวลรัษฎากรมาตรา18 ประกอบด้วยมาตรา 87 (2) แล้วหากโจทก์เห็นว่า การประเมินไม่ถูกต้องอย่างไรก็ชอบที่จะใช้สิทธิอุทธรณ์ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลรัษฎากรมาตรา 30 เสียก่อน เมื่อโจทก์ไม่ได้อุทธรณ์ภายในระยะเวลาตามบทกฎหมายดังกล่าว โจทก์ก็ไม่มีสิทธิฟ้องคดีอันเป็นการใช้สิทธิอุทธรณ์ต่อศาลได้
กรณีที่ราคาอันแท้จริงของสินค้าในการซื้อขายหลายรายหรือในท้องตลาดหลายแห่งอาจไม่ตรงกัน กรณีเช่นนี้ตามมาตรา 9แห่งพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2503 อธิบดีกรมศุลกากรย่อมมีอำนาจกำหนดราคาสินค้าในท้องตลาดเป็นรายเฉลี่ยและเมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วก็ให้ถือราคานั้นเป็นเกณฑ์ในการประเมินอากร ส่วนคดีนี้เป็นเรื่องที่จำเลยกำหนดราคาอันแท้จริงในท้องตลาดเฉพาะเครื่องสำอางโคซี่ที่โจทก์นำเข้าและสำแดงราคาคลาดเคลื่อนเท่านั้น การกระทำของจำเลยจึงไม่ขัดต่อพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากรพ.ศ. 2503 มาตรา 9
(หมายเหตุ วรรคแรกวินิจฉัยโดยมติที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 7/2529)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3748/2529

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การประเมินภาษีอากร การอุทธรณ์ และอำนาจกำหนดราคาตลาดของกรมศุลกากร
เมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยได้ตรวจสอบราคาสินค้าของโจทก์แล้วมีความเห็นให้เรียกอากรขาเข้ากรมศุลกากรและภาษีการค้าเพิ่มแล้วจำเลยก็ได้มีแบบแจ้งการประเมินอากรขาเข้าและภาษีการค้ารวม10ฉบับแต่ละฉบับได้แจ้งผลการประเมินตามรายการภาษีอากรที่สำแดงภาษีอากรที่ประเมินเพิ่มแล้วมีรายการแยกรายละเอียดเป็นยอดเงินเพิ่มสำหรับอากรขาเข้าภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลไว้กรณีเช่นนี้ย่อมถือได้ว่ามีการประเมินภาษีการค้าโดยเจ้าพนักงานประเมินตามประมวลรัษฎากรมาตรา18ประกอบด้วยมาตรา87(2)แล้วหากโจทก์เห็นว่าการประเมินไม่ถูกต้องอย่างไรก็ชอบที่จะใช้สิทธิอุทธรณ์ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลรัษฎากรมาตรา30เสียก่อนเมื่อโจทก์ไม่ได้อุทธรณ์ภายในระยะเวลาตามบทกฎหมายดังกล่าวโจทก์ก็ไม่มีสิทธิฟ้องคดีอันเป็นการใช้สิทธิอุทธรณ์ต่อศาลได้ กรณีที่ราคาอันแท้จริงของสินค้าในการซื้อขายหลายรายหรือในท้องตลาดหลายแห่งอาจไม่ตรงกันกรณีเช่นนี้ตามมาตรา9แห่งพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากรพ.ศ.2503อธิบดีกรมศุลกากรย่อมมีอำนาจกำหนดราคาสินค้าในท้องตลาดเป็นรายเฉลี่ยและเมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วก็ให้ถือราคานั้นเป็นเกณฑ์ในการประเมินอากรส่วนคดีนี้เป็นเรื่องที่จำเลยกำหนดราคาอันแท้จริงในท้องตลาดเฉพาะเครื่องสำอางโคซี่ที่โจทก์นำเข้าและสำแดงราคาคลาดเคลื่อนเท่านั้นการกระทำของจำเลยจึงไม่ขัดต่อพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากรพ.ศ.2503มาตรา9 (หมายเหตุวรรคแรกวินิจฉัยโดยมติที่ประชุมใหญ่ครั้งที่7/2529)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3685/2529

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ พรากผู้เยาว์เพื่ออนาจาร: ความยินยอมของผู้เยาว์มีผลต่อการลงโทษ
ปัญหาที่ว่าโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานพรากผู้เยาว์โดยผู้เยาว์ไม่เต็มใจไปด้วยประมวลกฎหมายอาญามาตรา318ซึ่งเมื่อไม่เป็นความผิดตามมาตรา318นี้แล้วจะลงโทษจำเลยฐานพรากผู้เยาว์เพื่อการอนาจารโดยผู้เยาว์เต็มใจไปด้วยตามมาตรา319วรรคแรกได้หรือไม่เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยดังนี้แม้ศาลชั้นต้นจะสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยในข้อนี้แล้วก็ตามศาลฎีกาก็หยิบยกขึ้นวินิจฉัยให้ได้ โจทก์ฟ้องว่าจำเลยพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารโดยผู้เยาว์ไม่เต็มใจไปด้วยแต่เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารโดยผู้เยาว์เต็มใจไปด้วยซึ่งมีโทษเบากว่าก็ย่อมลงโทษจำเลยตามข้อเท็จจริงที่ได้ความได้ การที่ผู้เสียหายกับจำเลยไปดูภาพยนตร์ด้วยกันสองต่อสองและพากันมาบ้านจำเลยนอนอยู่ในห้องเดียวกันตลอดคืนจำเลยย่อมจะต้องกระทำอนาจารต่อผู้เสียหายและจำเลยมิได้ตั้งใจจะอยู่กินกับผู้เสียหายฉันสามีภรรยาจำเลยจึงมีความผิดฐานพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารโดยผู้เยาว์เต็มใจไปด้วย เหตุที่เกิดในคดีนี้ผู้เสียหายก็มีส่วนผิดด้วยเพราะมูลเหตุเป็นเรื่องที่ผู้เสียหายเป็นฝ่ายติดต่อกับจำเลยก่อนในฐานะเป็นแฟนเพลงและตามเนื้อความในจดหมายที่มีไปถึงจำเลยบางฉบับก็มีเนื้อความว่าจะไปบ้านจำเลยอยากเห็นขาอ่อนจำเลยเป็นการจูงใจจำเลยดังนี้จึงสมควรรอการลงโทษแก่จำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา56.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3685/2529 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดพรากผู้เยาว์เพื่ออนาจาร: โทษเบาลงเมื่อผู้เยาว์เต็มใจ และผู้เสียหายมีส่วนผิด
ปัญหาที่ว่าโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานพรากผู้เยาว์โดยผู้เยาว์ไม่เต็มใจไปด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 318 ซึ่งเมื่อไม่เป็นความผิดตามมาตรา 318 นี้แล้วจะลงโทษจำเลยฐานพรากผู้เยาว์เพื่อการอนาจารโดยผู้เยาว์เต็มใจไปด้วยตามมาตรา 319 วรรคแรกได้หรือไม่เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ดังนี้ แม้ศาลชั้นต้นจะสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยในข้อนี้แล้วก็ตาม ศาลฎีกาก็หยิบยกขึ้นวินิจฉัยให้ได้
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารโดยผู้เยาว์ไม่เต็มใจไปด้วย แต่เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารโดยผู้เยาว์เต็มใจไปด้วย ซึ่งมีโทษเบากว่าก็ย่อมลงโทษจำเลยตามข้อเท็จจริงที่ได้ความได้
การที่ผู้เสียหายกับจำเลยไปดูภาพยนตร์ด้วยกันสองต่อสอง และพากันมาบ้านจำเลย นอนอยู่ในห้องเดียวกันตลอดคืน จำเลยย่อมจะต้องกระทำอนาจารต่อผู้เสียหาย และจำเลยมิได้ตั้งใจจะอยู่กินกับผู้เสียหายฉันสามีภรรยา จำเลยจึงมีความผิดฐานพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารโดยผู้เยาว์เต็มใจไปด้วย
เหตุที่เกิดในคดีนี้ผู้เสียหายก็มีส่วนผิดด้วย เพราะมูลเหตุเป็นเรื่องที่ผู้เสียหายเป็นฝ่ายติดต่อกับจำเลยก่อนในฐานะเป็นแฟนเพลงและตามเนื้อความในจดหมายที่มีไปถึงจำเลยบางฉบับก็มีเนื้อความว่าจะไปบ้านจำเลยอยากเห็นขาอ่อนจำเลยเป็นการจูงใจจำเลยดังนี้จึงสมควรรอการลงโทษแก่จำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 56

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3685/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพรากผู้เยาว์เพื่ออนาจาร: โทษเบากว่าเมื่อผู้เยาว์เต็มใจ และการพิจารณาเหตุผลของผู้เสียหาย
ปัญหาที่ว่าโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานพรากผู้เยาว์โดยผู้เยาว์ไม่เต็มใจไปด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 318 ซึ่งเมื่อไม่เป็นความผิดตามมาตรา 318 นี้แล้วจะลงโทษจำเลยฐานพรากผู้เยาว์เพื่อการอนาจารโดยผู้เยาว์เต็มใจไปด้วยตามมาตรา319 วรรคแรกได้หรือไม่เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ดังนี้ แม้ศาลชั้นต้นจะสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยในข้อนี้แล้วก็ตามศาลฎีกาก็หยิบยกขึ้นวินิจฉัยให้ได้
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารโดยผู้เยาว์ไม่เต็มใจไปด้วย แต่เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารโดยผู้เยาว์เต็มใจไปด้วย ซึ่งมีโทษเบากว่าก็ย่อมลงโทษจำเลยตามข้อเท็จจริงที่ได้ความได้
การที่ผู้เสียหายกับจำเลยไปดูภาพยนตร์ด้วยกันสองต่อสองและพากันมาบ้านจำเลย นอนอยู่ในห้องเดียวกันตลอดคืน จำเลยย่อมจะต้องกระทำอนาจารต่อผู้เสียหาย และจำเลยมิได้ตั้งใจจะอยู่กินกับผู้เสียหายฉันสามีภรรยา จำเลยจึงมีความผิดฐานพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารโดยผู้เยาว์เต็มใจไปด้วย
เหตุที่เกิดในคดีนี้ผู้เสียหายก็มีส่วนผิดด้วย เพราะมูลเหตุเป็นเรื่องที่ผู้เสียหายเป็นฝ่ายติดต่อกับจำเลยก่อนในฐานะเป็นแฟนเพลงและตามเนื้อความในจดหมายที่มีไปถึงจำเลยบางฉบับก็มีเนื้อความว่าจะไปบ้านจำเลยอยากเห็นขาอ่อนจำเลยเป็นการจูงใจจำเลยดังนี้จึงสมควรรอการลงโทษแก่จำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 56

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3670/2529 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายเมื่อไม่ได้จดทะเบียนสมรส และอำนาจปกครองบุตร
บทบัญญัติมาตรา 1536 ซึ่งบัญญัติว่า เด็กเกิดแต่หญิงขณะเป็นภริยาชายหรือภายในสามร้อยสิบวันนับแต่วันที่การสมรสสิ้นสุดลง ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของชายผู้เป็นสามีหรือเคยเป็นสามี หมายถึงเด็กที่เกิดจากหญิงขณะที่เป็นภริยาชายโดยชายหญิงได้จดทะเบียนสมรสกันแล้ว จึงให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า เด็กนั้นเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของชายผู้เป็นสามีหรือเคยเป็นสามีในกรณีที่เด็กเกิดภายในสามร้อยสิบวันนับแต่การสมรสของชายหญิงที่จดทะเบียนสมรสได้สิ้นสุดลงตามกฎหมาย
of 50