พบผลลัพธ์ทั้งหมด 496 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2385/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาปลูกสร้างอาคารพาณิชย์: สิทธิในการเลิกสัญญาและค่าเสียหายจากการผิดสัญญา
โจทก์จำเลยได้ทำสัญญาปลูกสร้างอาคารพาณิชย์ในที่ดินโฉนดของจำเลยตามสัญญาข้อ13ระบุไว้ว่าผู้ก่อสร้างจะต้องสร้างตึกแถวได้ไม่ต่ำกว่า90-110ห้องตามสัญญาข้อ15ระบุว่าผู้ให้ก่อสร้างรับว่าจะอำนวยความสะดวกต่างๆรวมทั้งการให้ความร่วมมือในการติดต่อกับทางราชการเพื่อให้การก่อสร้างและการเซ้งห้องเป็นไปโดยสะดวกและรวดเร็วและตามสัญญาข้อ17ระบุว่าหากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ปฏิบัติตามสัญญายอมให้อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องร้องได้ทันทีดังนั้นเมื่อโจทก์ผู้ก่อสร้างทำผังให้ปลูกตึกแถวในที่ดินโฉนดของจำเลยผู้ให้ก่อสร้างได้91ห้องก็ถือได้ว่าถูกต้องตามสัญญาการที่จำเลยไม่ยอมลงชื่อในแบบพิมพ์คำขออนุญาตก่อสร้างตึกแถวของทางราชการให้โจทก์โจทก์ไม่อาจสร้างตึกแถวได้พฤติการณ์ดังกล่าวถือว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาโจทก์ย่อมมีสิทธิเลิกสัญญาได้. เมื่อโจทก์ใช้สิทธิเลิกสัญญากับจำเลยแล้วคู่สัญญาย่อมกลับคืนสู่ฐานะตามที่เป็นอยู่เดิมและโจทก์ย่อมมีสิทธิที่จะเรียกร้องค่าเสียหายจากจำเลยได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา391ค่าเสียหายเรื่องขาดผลกำไรเป็นเรื่องอนาคตยังไม่แน่นอนศาลเห็นว่าโจทก์ไม่ควรได้รับค่าเสียหายส่วนนี้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2385/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาปลูกสร้างอาคารพาณิชย์: การผิดสัญญา การเลิกสัญญา และค่าเสียหาย
โจทก์ จำเลยได้ทำสัญญาปลูกสร้างอาคารพาณิชย์ในที่ดินโฉนดของจำเลย ตามสัญญาข้อ 13 ระบุไว้ว่า ผู้ก่อสร้างจะต้องสร้างตึกแถวได้ไม่ต่ำกว่า 90 - 110 ห้อง ตามสัญญาข้อ 15 ระบุว่าผู้ให้ก่อสร้างรับว่าจะอำนวยความสะดวกต่างๆ รวมทั้งการให้ความร่วมมือในการติดต่อกับทางราชการเพื่อให้การก่อสร้างและการเซ้งห้องเป็นไปโดยสะดวกและรวดเร็ว และตามสัญญาข้อ 17 ระบุว่า หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ปฏิบัติตามสัญญายอมให้อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องร้องได้ทันที ดังนั้น เมื่อโจทก์ผู้ก่อสร้างทำผังให้ปลูกตึกแถวในที่ดินโฉนดของจำเลยผู้ให้ก่อสร้างได้ 91 ห้องก็ถือได้ว่าถูกต้องตามสัญญา การที่จำเลยไม่ยอมลงชื่อในแบบพิมพ์คำขออนุญาตก่อสร้างตึกแถวของทางราชการให้โจทก์ โจทก์ไม่อาจสร้างตึกแถวได้ พฤติการณ์ดังกล่าวถือว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญา โจทก์ย่อมมีสิทธิเลิกสัญญาได้
เมื่อโจทก์ใช้สิทธิเลิกสัญญากับจำเลยแล้ว คู่สัญญาย่อมกลับคืนสู่ฐานะตามที่เป็นอยู่เดิม และโจทก์ย่อมมีสิทธิที่จะเรียกร้องค่าเสียหายจากจำเลยได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 391 ค่าเสียหายเรื่องขาดผลกำไรเป็นเรื่องอนาคตยังไม่แน่นอน ศาลเห็นว่าโจทก์ไม่ควรได้รับค่าเสียหายส่วนนี้
เมื่อโจทก์ใช้สิทธิเลิกสัญญากับจำเลยแล้ว คู่สัญญาย่อมกลับคืนสู่ฐานะตามที่เป็นอยู่เดิม และโจทก์ย่อมมีสิทธิที่จะเรียกร้องค่าเสียหายจากจำเลยได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 391 ค่าเสียหายเรื่องขาดผลกำไรเป็นเรื่องอนาคตยังไม่แน่นอน ศาลเห็นว่าโจทก์ไม่ควรได้รับค่าเสียหายส่วนนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2351/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองปรปักษ์ การฟ้องขับไล่ และการแสดงเจตนาครอบครองที่ดิน
โจทก์บรรยายฟ้องว่าเดิมที่พิพาทเป็นของป.บิดาโจทก์ซึ่งให้จำเลยเข้าอยู่อาศัยต่อมาป.ถึงแก่กรรมที่พิพาทตกเป็นของโจทก์โจทก์ได้อนุญาตให้จำเลยอาศัยอยู่ต่อมาต่อมาโจทก์จะขายที่พิพาทจึงไม่อนุญาตให้จำเลยอาศัยอยู่ต่อไปจำเลยไม่ยอมออกฟ้องโจทก์จึงแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาไม่เคลือบคลุม. คดีเดิมโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยให้ออกจากที่พิพาทและที่ดินอีกแปลงหนึ่งศาลสั่งให้โจทก์แยกฟ้องสำหรับที่พิพาทเป็นคดีใหม่โจทก์จึงได้ฟ้องเป็นคดีใหม่ตามคำสั่งศาลจึงไม่เป็นฟ้องซ้อน. จำเลยเช่าที่พิพาทจากโจทก์จึงเป็นเพียงผู้ยึดถือครอบครองที่พิพาทแทนโจทก์หามีสิทธิครอบครองในที่พิพาทไม่ที่จำเลยไปยื่นคำร้องขอรังวัดออกโฉนดที่พิพาทโจทก์ได้โต้แย้งคัดค้านจำเลยก็ถอนคำร้องโดยไม่ได้ความว่าเพื่อให้โจทก์ไปฟ้องร้องต่อไปทั้งได้ความอีกว่าจำเลยได้ไปขอโทษโจทก์เกี่ยวกับเรื่องที่จำเลยไปขอรังวัดออกโฉนดจึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยได้แสดงเจตนาต่อโจทก์ที่จะครอบครองที่พิพาทเพื่อตนเองต่อไปโจทก์จึงไม่ต้องฟ้องเอาคืนซึ่งสิทธิการครอบครองภายในกำหนด1ปี.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2351/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองปรปักษ์และสิทธิของผู้เช่า: ศาลยืนตามคำพิพากษาเดิม
โจทก์บรรยายฟ้องว่า เดิมที่พิพาทเป็นของ ป. บิดาโจทก์ ซึ่งให้จำเลยเข้าอยู่อาศัย ต่อมา ป. ถึงแก่กรรม ที่พิพาทตกเป็นของโจทก์ โจทก์ได้อนุญาตให้จำเลยอาศัยอยู่ต่อมา ต่อมาโจทก์จะขายที่พิพาทจึงไม่อนุญาตให้จำเลยอาศัยอยู่ต่อไปจำเลยไม่ยอมออก ฟ้องโจทก์จึงแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหา ไม่เคลือบคลุม
คดีเดิมโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยให้ออกจากที่พิพาทและที่ดินอีกแปลงหนึ่งศาลสั่งให้โจทก์แยกฟ้องสำหรับที่พิพาทเป็นคดีใหม่ โจทก์จึงได้ฟ้องเป็นคดีใหม่ตามคำสั่งศาล จึงไม่เป็นฟ้องซ้อน
จำเลยเช่าที่พิพาทจากโจทก์ จึงเป็นเพียงผู้ยึดถือครอบครองที่พิพาทแทนโจทก์ หามีสิทธิครอบครองในที่พิพาทไม่ ที่จำเลยไปยื่นคำร้องขอรังวัดออกโฉนดที่พิพาท โจทก์ได้โต้แย้งคัดค้าน จำเลยก็ถอนคำร้อง โดยไม่ได้ความว่าเพื่อให้โจทก์ไปฟ้องร้องต่อไป ทั้งได้ความอีกว่าจำเลยได้ไปขอโทษโจทก์เกี่ยวกับเรื่องที่จำเลยไปขอรังวัดออกโฉนด จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยได้แสดงเจตนาต่อโจทก์ที่จะครอบครองที่พิพาทเพื่อตนเองต่อไป โจทก์จึงไม่ต้องฟ้องเอาคืนซึ่งสิทธิการครอบครองภายในกำหนด 1 ปี
คดีเดิมโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยให้ออกจากที่พิพาทและที่ดินอีกแปลงหนึ่งศาลสั่งให้โจทก์แยกฟ้องสำหรับที่พิพาทเป็นคดีใหม่ โจทก์จึงได้ฟ้องเป็นคดีใหม่ตามคำสั่งศาล จึงไม่เป็นฟ้องซ้อน
จำเลยเช่าที่พิพาทจากโจทก์ จึงเป็นเพียงผู้ยึดถือครอบครองที่พิพาทแทนโจทก์ หามีสิทธิครอบครองในที่พิพาทไม่ ที่จำเลยไปยื่นคำร้องขอรังวัดออกโฉนดที่พิพาท โจทก์ได้โต้แย้งคัดค้าน จำเลยก็ถอนคำร้อง โดยไม่ได้ความว่าเพื่อให้โจทก์ไปฟ้องร้องต่อไป ทั้งได้ความอีกว่าจำเลยได้ไปขอโทษโจทก์เกี่ยวกับเรื่องที่จำเลยไปขอรังวัดออกโฉนด จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยได้แสดงเจตนาต่อโจทก์ที่จะครอบครองที่พิพาทเพื่อตนเองต่อไป โจทก์จึงไม่ต้องฟ้องเอาคืนซึ่งสิทธิการครอบครองภายในกำหนด 1 ปี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2336/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาฆ่าจากการแทงบริเวณสำคัญของร่างกาย แม้ผู้เสียหายไม่ถึงแก่ชีวิต ถือเป็นความผิดฐานพยายามฆ่า
จำเลยใช้เหล็กตะไบเลือกแทงผู้เสียหายที่บริเวณช่องท้องข้างซ้ายและที่ช่องอกซ้ายในขณะที่ผู้เสียหายไม่มีอาวุธและไม่ได้ทำร้ายจำเลยแต่อย่างใดย่อมเล็งเห็นผลได้ว่าผู้เสียหายอาจถึงแก่ความตายได้.และได้ความจากแพทย์ว่าถ้าปล่อยทิ้งไว้ไม่ทำการผ่าตัดอาจทำให้ถึงตายได้และบาดแผลของผู้เสียหายนี้ไม่สามารถรักษาโดยการฉีดยาหรือใช้ยารับประทานจะต้องรักษาโดยการผ่าตัดทันทีเช่นนี้ถือได้ว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหายจำเลยจึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา288,80.(ที่มา-ส่งเสริมฯ)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2336/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาฆ่าจากการแทงตามร่างกาย: การพิจารณาความผิดฐานพยายามฆ่าและการลงโทษที่เหมาะสม
จำเลยใช้เหล็กตะไบเลือกแทงผู้เสียหายที่บริเวณช่องท้องข้างซ้ายและที่ช่องอกซ้ายในขณะที่ผู้เสียหายไม่มีอาวุธและไม่ได้ทำร้ายจำเลยแต่อย่างใดย่อมเล็งเห็นผลได้ว่าผู้เสียหายอาจถึงแก่ความตายได้และได้ความจากแพทย์ว่าถ้าปล่อยทิ้งไว้ไม่ทำการผ่าตัดอาจทำให้ถึงตายได้และบาดแผลของผู้เสียหายนี้ไม่สามารถรักษาโดยการฉีดยาหรือใช้ยารับประทานจะต้องรักษาโดยการผ่าตัดทันทีเช่นนี้ถือได้ว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหายจำเลยจึงมีความผิดตามป.อ.มาตรา288,80.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2124/2529 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประนีประนอมยอมความมีเงื่อนไข ไม่ถือเป็นการยอมความในคดีอาญา
คู่ความทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันในคดีแพ่งเกี่ยวกับเช็คที่ฟ้องจำเลยในคดีอาญาว่า จำเลยยอมผ่อนชำระเงินตามเช็คพิพาทให้แก่โจทก์เดือนละ 5,000 บาท หากจำเลยชำระเงินดังกล่าวให้แก่โจทก์ครบถ้วนแล้ว โจทก์ก็จะถอนฟ้องคดีอาญา แต่จำเลยไม่ชำระเงินให้แก่โจทก์ ดังนี้ ในสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวไม่มีข้อความใดที่แสดงว่าโจทก์ตกลงสละสิทธิในการดำเนินคดีอาญากับจำเลยในทันที แต่กลับมีเงื่อนไขที่จำเลยจะต้องผ่อนชำระเงินตามเช็คพิพาทให้แก่โจทก์จนครบถ้วนเสียก่อน เมื่อจำเลยไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขดังกล่าว โจทก์จึงไม่มีความผูกพันที่จะต้องถอนฟ้องคดีอาญาตามที่ตกลง กรณีหามีผลเป็นการยอมความในคดีอาญาแต่อย่างใดไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2124/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประนีประนอมยอมความที่มีเงื่อนไข ไม่ถือเป็นการยอมความในคดีอาญา
โจทก์จำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันในคดีแพ่งว่าหากจำเลยชำระเงินตามเช็คพิพาทให้แก่โจทก์ครบถ้วนแล้วโจทก์ก็จะถอนฟ้องคดีอาญาที่โจทก์ฟ้องจำเลยเกี่ยวกับเช็คพิพาทนั้นสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวไม่มีข้อความใดที่แสดงว่าโจทก์ตกลงสละสิทธิดำเนินคดีอาญากับจำเลยในทันทีแต่กลับมีเงื่อนไขที่จำเลยจะต้องปฏิบัติต่อโจทก์เสียก่อนโจทก์จึงจะถอนฟ้องคดีอาญาเมื่อจำเลยมิได้ชำระเงินให้แก่โจทก์ตามสัญญาสิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ยังไม่ระงับไป.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2124/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประนีประนอมยอมความคดีแพ่ง ไม่ตัดสิทธิฟ้องคดีอาญา หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไข
คู่ความทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันในคดีแพ่งเกี่ยวกับเช็คที่ฟ้องจำเลยในคดีอาญาว่าจำเลยยอมผ่อนชำระเงินตามเช็คพิพาทให้แก่โจทก์เดือนละ5,000บาทหากจำเลยชำระเงินดังกล่าวให้แก่โจทก์ครบถ้วนแล้วโจทก์ก็จะถอนฟ้องคดีอาญาแต่จำเลยไม่ชำระเงินให้แก่โจทก์ดังนี้ในสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวไม่มีข้อความใดที่แสดงว่าโจทก์ตกลงสละสิทธิในการดำเนินคดีอาญากับจำเลยในทันทีแต่กลับมีเงื่อนไขที่จำเลยจะต้องผ่อนชำระเงินตามเช็คพิพาทให้แก่โจทก์จนครบถ้วนเสียก่อนเมื่อจำเลยไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขดังกล่าวโจทก์จึงไม่มีความผูกพันที่จะต้องถอนฟ้องคดีอาญาตามที่ตกลงกรณีหามีผลเป็นการยอมความในคดีอาญาแต่อย่างใดไม่.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2109/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การดำเนินการตามมาตรา 166 วรรคสอง เพื่อขอให้ไต่สวนมูลฟ้องใหม่ ต้องยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นก่อนอุทธรณ์
เมื่อโจทก์ประสงค์ให้ศาลชั้นต้นยกคดีของโจทก์ซึ่งถูกยกฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 166 วรรคหนึ่ง ขึ้นไต่สวนมูลฟ้องใหม่ โจทก์จำต้องปฏิบัติตามมาตรา 166 วรรคสองเสียก่อน โดยทำเป็นคำร้องยื่นต่อศาลชั้นต้น เพื่อศาลจะได้ไต่สวนคำร้องให้ปรากฏข้อเท็จจริงในสำนวนว่ามีเหตุสมควรที่โจทก์มาศาลไม่ได้ตามกำหนดนัดดังที่กล่าวอ้างหรือไม่ แล้วจึงจะพิจารณาสั่งได้โดยถูกต้อง การที่โจทก์กลับยื่นอุทธรณ์ขอให้ศาลอุทธรณ์สั่งให้ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องโดยไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าข้อกล่าวอ้างของโจทก์ดังกล่าวเป็นความจริงเพียงใดหรือไม่ ศาลอุทธรณ์ย่อมไม่อาจวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ได้เพราะไม่มีข้อเท็จจริงที่จะวินิจฉัยให้ ฉะนั้น ที่ศาลอุทธรณ์ยกอุทธรณ์ของโจทก์โดยวินิจฉัยว่า อุทธรณ์ของโจทก์เป็นการปฏิบัติข้ามขั้นตอนที่กฎหมายกำหนดไว้ จึงชอบแล้ว