คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
อภินย์ ปุษปาคม

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 496 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1091/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิสูจน์สัญชาติไทยสำหรับผู้เกิดในประเทศที่ถูกถอนสัญชาติ: สิทธิในการฟ้องร้อง
มาตรา 57 แห่งพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 เป็นบทบัญญัติเกี่ยวกับผู้ที่เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งประสงค์จะพิสูจน์ว่าเป็นบุคคลมีสัญชาติไทย และให้สิทธิบุคคลผู้นั้นยื่นคำร้องต่อศาลได้ แต่กรณีของผู้ร้องไม่เคยออกไปนอกราชอาณาจักรเลยแต่อ้างว่าถูกสั่งถอนสัญชาติไทย ตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 337 ผู้ร้องจะร้องขอต่อศาลตามบทกฎหมายดังกล่าวไม่ได้ หากปรากฏว่ามีผู้โต้แย้งเกี่ยวกับสัญชาติของผู้ร้อง ก็ชอบที่จะดำเนินคดีอย่างมีข้อพิพาทต่อผู้ที่โต้แย้งสิทธิของผู้ร้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1091/2529

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิการพิสูจน์สัญชาติไทยสำหรับผู้ไม่เคยเดินทางออกนอกประเทศ และข้อยกเว้นตามประกาศคณะปฏิวัติ
มาตรา57แห่งพระราชบัญญัติคนเข้าเมืองพ.ศ.2522เป็นบทบัญญัติเกี่ยวกับผู้ที่เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งประสงค์จะพิสูจน์ว่าเป็นบุคคลมีสัญชาติไทยและให้สิทธิบุคคลผู้นั้นยื่นคำร้องต่อศาลได้แต่กรณีของผู้ร้องไม่เคยออกไปนอกราชอาณาจักรเลยแต่อ้างว่าถูกสั่งถอนสัญชาติไทยตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่337ผู้ร้องจะร้องขอต่อศาลตามบทกฎหมายดังกล่าวไม่ได้หากปรากฏว่ามีผู้โต้แย้งเกี่ยวกับสัญชาติของผู้ร้องก็ชอบที่จะดำเนินคดีอย่างมีข้อพิพาทต่อผู้ที่โต้แย้งสิทธิของผู้ร้อง.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1076/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การสันนิษฐานเรื่องลิขสิทธิ์ตาม พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ ไม่ใช่ข้อสันนิษฐานเด็ดขาด โจทก์ต้องพิสูจน์ความเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์
พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ฯมาตรา28เพียงสันนิษฐานว่าโจทก์มีลิขสิทธิ์ในบทเพลงที่โจทก์ฟ้องเท่านั้นไม่ใช่ข้อสันนิษฐานเด็ดขาดคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ที่ว่าพยานหลักฐานโจทก์ฟังไม่ได้ว่าโจทก์ยังมีลิขสิทธิ์ในเพลงตามฟ้องจึงหาขัดต่อพ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ฯไม่.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1076/2529

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การสันนิษฐานเรื่องลิขสิทธิ์ตาม พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ ไม่ใช่ข้อสันนิษฐานเด็ดขาด ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยฟังไม่ได้ว่าโจทก์ยังมีลิขสิทธิ์ได้
พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ฯมาตรา28เพียงสันนิษฐานว่าโจทก์มีลิขสิทธิ์ในบทเพลงที่โจทก์ฟ้องเท่านั้นไม่ใช่ข้อสันนิษฐานเด็ดขาดคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ที่ว่าพยานหลักฐานโจทก์ฟังไม่ได้ว่าโจทก์ยังมีลิขสิทธิ์ในเพลงตามฟ้องจึงหาขัดต่อพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ฯไม่.(ที่มา-ส่งเสริมฯ)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1017/2529 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การปรับบทลงโทษในคดีวิวาททำร้ายร่างกายจนถึงแก่ความตาย ศาลอุทธรณ์มีอำนาจปรับบทได้แต่ต้องไม่หนักกว่าเดิม
ศาลล่างทั้งสองพิพากษาต้องกันให้ส่งจำเลยไปควบคุมไว้ยังสถานพินิจและคุ้มครองเด็กกลาง มีกำหนด 1 ปี แม้ศาลอุทธรณ์จะปรับบทลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 เพิ่มอีกบทหนึ่ง ก็เป็นการลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 1 ปี จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 จำเลยฎีกาว่า ข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในทางพิจารณาต่างกับฟ้องก็ดี จำเลยมิได้เข้าร่วมชุลมุนต่อสู้กับฝ่ายผู้ตายและผู้เสียหายก็ดี เป็นฎีกาโต้เถียงในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามฎีกา ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
กรณีวิวาทต่อสู้กันซึ่งกระทำต่อเนื่องกันไป และจำเลยร่วมกันกับพวกใช้อาวุธฝ่ายเดียวทำร้ายอีกฝ่ายจนได้รับบาดเจ็บและตาย การกระทำของจำเลยกับพวกจึงเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจำเลยกระทำความผิดเพียงร่วมกับพวกทำร้ายอีกฝ่ายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 บทเดียว ย่อมไม่ถูกต้อง เมื่อคดีมีการอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ก็ชอบที่จะหยิบยกบทมาตราที่ถูกต้องขึ้นปรับคดีได้ หากมิใช่เป็นการเพิ่มโทษจำเลยให้หนักขึ้น
เมื่อมีการตายและบาดเจ็บเกิดขึ้นในขณะวิวาทต่อสู้กันย่อมถือได้ว่าจำเลยกับพวกมีเจตนาเพียงทำร้ายฝ่ายผู้ตายจนเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 290 ประกอบด้วยมาตรา 83 อีกบทหนึ่ง ต่างหากจากมาตรา 295 เท่านั้น และต้องลงโทษจำเลยตามบทนี้ที่มีโทษหนักที่สุด แต่เมื่อโจทก์มิได้อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยหนักขึ้น จำเลยจึงควรรับโทษเพียงไม่เกินกว่าอัตราโทษที่กำหนดไว้ในประมวลกฎหมายอาญามาตรา 295 ดังที่ศาลชั้นต้นกำหนด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1017/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การปรับบทลงโทษในคดีวิวาท ทำร้าย และฆ่า มีเจตนาทำร้ายจนเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย
ศาลล่างทั้งสองพิพากษาต้องกันให้ส่งจำเลยไปควบคุมไว้ยังสถานพินิจและคุ้มครองเด็กกลางมีกำหนด1ปีแม้ศาลอุทธรณ์จะปรับบทลงโทษตามป.อ.มาตรา288เพิ่มอีกบทหนึ่งก็เป็นการลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน1ปีจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามป.วิ.อ.มาตรา219จำเลยฎีกาว่าข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในทางพิจารณาต่างกับฟ้องก็ดีจำเลยมิได้เข้าร่วมชุลมุนต่อสู้กับฝ่ายผู้ตายและผู้เสียหายก็ดีเป็นฎีกาโต้เถียงในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามฎีกาศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ กรณีวิวาทต่อสู้กันซึ่งกระทำต่อเนื่องกันไปและจำเลยร่วมกันกับพวกใช้อาวุธฝ่ายเดียวทำร้ายอีกฝ่ายจนได้รับบาดเจ็บและตายการกระทำของจำเลยกับพวกจึงเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจำเลยกระทำความผิดเพียงร่วมกับพวกทำร้ายอีกฝ่ายตามป.อ.มาตรา295บทเดียวย่อมไม่ถูกต้องเมื่อคดีมีการอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์ก็ชอบที่จะหยิบยกบทมาตราที่ถูกต้องขึ้นปรับคดีได้หากมิใช่เป็นการเพิ่มโทษจำเลยให้หนักขึ้น เมื่อมีการตายและบาดเจ็บเกิดขึ้นในขณะวิวาทต่อสู้กันย่อมถือได้ว่าจำเลยกับพวกมีเจตนาเพียงทำร้ายฝ่ายผู้ตายจนเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายอันเป็นความผิดตามป.อ.มาตรา290ประกอบด้วยมาตรา83อีกบทหนึ่งต่างหากจากมาตรา295เท่านั้นและต้องลงโทษจำเลยตามบทนี้ที่มีโทษหนักที่สุดแต่เมื่อโจทก์มิได้อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยหนักขึ้นจำเลยจึงควรรับโทษเพียงไม่เกินกว่าอัตราโทษที่กำหนดไว้ในป.อ.มาตรา295ดังที่ศาลชั้นต้นกำหนด.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1017/2529

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การวิวาททำร้ายร่างกายจนถึงแก่ความตาย: ศาลอุทธรณ์ปรับบทลงโทษหนักได้หากไม่เกินกว่าที่ศาลชั้นต้นกำหนด
ศาลล่างทั้งสองพิพากษาต้องกันให้ส่งจำเลยไปควบคุมไว้ยังสถานพินิจและคุ้มครองเด็กกลางมีกำหนด1ปีแม้ศาลอุทธรณ์จะปรับบทลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา288เพิ่มอีกบทหนึ่งก็เป็นการลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน1ปีจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา219จำเลยฎีกาว่าข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในทางพิจารณาต่างกับฟ้องก็ดีจำเลยมิได้เข้าร่วมชุลมุนต่อสู้กับฝ่ายผู้ตายและผู้เสียหายก็ดีเป็นฎีกาโต้เถียงในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามฎีกาศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้. กรณีวิวาทต่อสู้กันซึ่งกระทำต่อเนื่องกันไปและจำเลยร่วมกันกับพวกใช้อาวุธฝ่ายเดียวทำร้ายอีกฝ่ายจนได้รับบาดเจ็บและตายการกระทำของจำเลยกับพวกจึงเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจำเลยกระทำความผิดเพียงร่วมกับพวกทำร้ายอีกฝ่ายตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา295บทเดียวย่อมไม่ถูกต้องเมื่อคดีมีการอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์ก็ชอบที่จะหยิบยกบทมาตราที่ถูกต้องขึ้นปรับคดีได้หากมิใช่เป็นการเพิ่มโทษจำเลยให้หนักขึ้น. เมื่อมีการตายและบาดเจ็บเกิดขึ้นในขณะวิวาทต่อสู้กันย่อมถือได้ว่าจำเลยกับพวกมีเจตนาเพียงทำร้ายฝ่ายผู้ตายจนเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายอันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา290ประกอบด้วยมาตรา83อีกบทหนึ่งต่างหากจากมาตรา295เท่านั้นและต้องลงโทษจำเลยตามบทนี้ที่มีโทษหนักที่สุดแต่เมื่อโจทก์มิได้อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยหนักขึ้นจำเลยจึงควรรับโทษเพียงไม่เกินกว่าอัตราโทษที่กำหนดไว้ในประมวลกฎหมายอาญามาตรา295ดังที่ศาลชั้นต้นกำหนด.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1014/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยกที่ดินให้บุตรเขยโดยเสน่หา ประพฤติเนรคุณเรียกคืนได้ หากมีการหมิ่นประมาท
ที่ดินที่โจทก์ยกให้จำเลยโดยเสน่หาเป็นที่ดินมือเปล่าซึ่งโจทก์มีเพียงสิทธิครอบครองเมื่อโจทก์ยกให้จำเลยจึงเป็นการสละเจตนาครอบครองการครอบครองของโจทก์ผู้ให้สิ้นสุดลงจำเลยผู้รับให้ย่อมได้ไปซึ่งสิทธิครอบครองแต่โจทก์มีสิทธิเรียกที่ดินคืนได้เมื่อจำเลยประพฤติเนรคุณต่อโจทก์ตามที่กฎหมายกำหนดไว้ ข้อที่ว่าจำเลยไม่ช่วยเหลือเลี้ยงดูโจทก์นั้นเมื่อไม่ได้ความว่าโจทก์อยู่ในฐานะยากไร้เพียงแต่ยากจนลงเพราะชราทำมาหากินไม่ค่อยไหวเท่านั้นแม้จำเลยไม่ได้ส่งเสียเลี้ยงดูโจทก์ก็ยังถือไม่ได้ว่าประพฤติเนรคุณต่อโจทก์ จำเลยด่าโจทก์ว่า"อ้ายชาติหมาหัวหงอกเหมือนขนหมาแล้วหน้าด้านเหมือนถนนลาดยาง"ด่านางอุ่นภรรยาโจทก์ว่า"อีสัตว์อีเหี้ยอีแก่มึงไม่ต้องมาพูดกับกู"และยังกล่าวหาโจทก์ว่าจะเอาหลานสาวทำเป็นเมียคำด่าดังกล่าวเป็นคำหยาบแสดงถึงความดูหมิ่นเหยียดหยามถือว่าจำเลยหมิ่นประมาทโจทก์ผู้ให้อย่างร้ายแรงโจทก์เรียกถอนคืนการให้ได้. จำเลยกับบุตรสาวของโจทก์แต่งงานกันมาเป็นเวลานานแล้วโจทก์เพิ่งยกที่ดินให้จำเลยและภรรยาในภายหลังในขณะที่จำเลยและภรรยามีอาชีพและครอบครัวเป็นหลักฐานไม่อยู่ในสภาพที่โจทก์ผู้เป็นบิดามีหน้าที่ตามธรรมจรรยาที่จะต้องอุปการะเลี้ยงดูและที่ดินก็มีราคาสูงจึงมิใช่เป็นการให้เนื่องในการสมรสโดยหน้าที่ธรรมจรรยา จำเลยอ้างว่าได้จ่ายเงิน500บาทเป็นค่าที่ดินให้โจทก์แต่จำเลยมิได้ยกขึ้นเป็นประเด็นต่อสู้ไว้ในคำให้การจึงไม่เป็นเรื่องที่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลชั้นต้นศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1014/2529

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การให้โดยเสน่หาที่ดินมือเปล่า & สิทธิเรียกคืนเมื่อผู้รับประพฤติเนรคุณ & การหมิ่นประมาท
ที่ดินที่โจทก์ยกให้จำเลยโดยเสน่หาเป็นที่ดินมื่อเปล่าซึ่งโจทก์มีเพียงสิทธิครอบครองเมื่อโจทก์ยกให้จำเลยจึงเป็นการสละเจตนาครอบครองการครอบครองของโจทก์ผู้ให้สิ้นสุดลงจำเลยผู้รับให้ย่อมได้ไปซึ่งสิทธิครอบครองแต่โจทก์มีสิทธิเรียกที่ดินคืนได้เมื่อจำเลยประพฤติเนรคุณต่อโจทก์ตามที่กฎหมายกำหนดไว้. ข้อที่ว่าจำเลยไม่ช่วยเหลือเลี้ยงดูโจทก์นั้นเมื่อไม่ได้ความว่าโจทก์อยู่ในฐานะยากไร้เพียงแต่ยากจนลงเพราะชราทำมาหากินไม่ค่อยไหวเท่านั้นแม้จำเลยไม่ได้ส่งเสียเลี้ยงดูโจทก์ก็ยังถือไม่ได้ว่าประพฤติเนรคุณต่อโจทก์. จำเลยด่าโจทก์ว่า'อ้ายชาติหมาหัวหงอกเหมือนขนหมาแล้วหน้าด้านเหมือนถนนลาดยาง'ด่านางอุ่นภรรยาโจทก์ว่า'อีสัตว์อีเหี้ยอีแก่มึงไม่ต้องมาพูดกับกู'และยังกล่าวหาโจทก์ว่าจะเอาหลานสาวทำเป็นเมียคำด่าดังกล่าวเป็นคำหยาบแสดงถึงความดูหมิ่นเหยียดหยามถือว่าจำเลยหมิ่นประมาทโจทก์ผู้ให้อย่างร้ายแรงโจทก์เรียกถอนคืนการให้ได้. จำเลยกับบุตรสาวของโจทก์แต่งงานกันมาเป็นเวลานานแล้วโจทก์เพิ่งยกที่ดินให้จำเลยและภรรยาในภายหลังในขณะที่จำเลยและภรรยามีอาชีพและครอบครัวเป็นหลักฐานไม่อยู่ในสภาพที่โจทก์ผู้เป็นบิดามีหน้าที่ตามธรรมจรรยาที่จะต้องอุปการะเลี้ยงดูและที่ดินก็มีราคาสูงจึงมิใช่เป็นการให้เนื่องในการสมรสโดยหน้าที่ธรรมจรรยา จำเลยอ้างว่าได้จ่ายเงิน500บาทเป็นค่าที่ดินให้โจทก์แต่จำเลยมิได้ยกขึ้นเป็นประเด็นต่อสู้ไว้ในคำให้การจึงไม่เป็นเรื่องที่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลชั้นต้นศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย.(ที่มา-ส่งเสริมฯ)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1000/2529

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ตัวแทนมีหน้าที่ส่งมอบทะเบียนรถตามคำสั่งตัวการ แม้มีหนี้ค่าซ่อมรถแยกต่างหาก
บริษัทผู้ให้เช่าซื้อรถแทรกเตอร์ได้โอนทะเบียนรถมาให้โจทก์ผู้เช่าซื้อโดยส่งมายังจำเลยซึ่งเป็นตัวแทนจำเลยจึงมีหน้าที่ทำตามคำสั่งของบริษัทตัวการจะอ้างว่ามีสิทธิยึดหน่วงเพราะยังมีหนี้ค่าซ่อมรถค้างชำระไม่ได้เพราะเป็นหนี้เกี่ยวกับตัวรถไม่เกี่ยวกับทะเบียนรถ.
of 50