พบผลลัพธ์ทั้งหมด 496 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2046/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
จำเลยเปิดประตูร้านออกไปเผชิญหน้ากับผู้ตายซึ่งมีเรื่องทะเลาะกันมาก่อน ยิงผู้ตายถึงแก่ความตาย ไม่ถือเป็นการป้องกันตัว
ย. ผู้ตายมีเรื่องทะเลาะวิวาทกับจำเลยในตอนบ่ายของวันเกิดเหตุ. ครั้นตอนกลางคืน ย. กับพวกมาเรียกจำเลยที่หน้าร้านจำเลยซึ่งปิดแล้วให้ออกไปปรับความเข้าใจกัน.จำเลยย่อมทราบดีว่า ย. มาเพื่อก่อเรื่องชวนวิวาท. การที่จำเลยเปิดประตูและนำเอาอาวุธปืนออกไปพบกับ ย. กับพวกแล้วเกิดปากเสียงทะเลาะกัน และจำเลยใช้อาวุธปืนที่ตระเตรียมมายิง ย.กับว. ถึงแก่ความตายเช่นนี้. แสดงว่าจำเลยกับพวกผู้ตายสมัครใจเข้าวิวาทและต่อสู้กัน. แม้จำเลยจะถูกพวกของผู้ตายยิงและทำร้ายได้รับบาดเจ็บ. จำเลยก็จะอ้างว่าการกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันตัวโดยชอบด้วยกฎหมายมิได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2010/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานพาไปเพื่ออนาจาร, หน่วงเหนี่ยวกักขัง, และการปรับบทลงโทษตามกฎหมายที่ใช้หลังการกระทำผิด
จำเลยฎีกาประสงค์จะให้ศาลฎีการับฟังข้อเท็จจริงว่าเหตุเกิดตามวันเวลาที่ผู้เสียหายเบิกความซึ่งแตกต่างไปจากที่ศาลอุทธรณ์รับฟังมาดังนี้ เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงเมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นเฉพาะในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 284, 309, 310 ว่าเป็นความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทอันเป็นการแก้ไขเล็กน้อยเมื่อศาลอุทธรณ์ลงโทษจำคุกจำเลยในความผิดฐานนี้ไม่เกิน 5 ปีจึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218
จำเลยกับพวกร่วมกันใช้อาวุธปืนขู่เข็ญและใช้กำลังฉุดผู้เสียหายจากในซอย ให้ขึ้นรถยนต์แล้วพาไปถึงโรงแรมแต่ผู้เสียหายหนีออกมาได้ การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียววาระเดียวโดยมีเจตนาเพียงอย่างเดียวคือการพาผู้เสียหายไปเพื่อการอนาจารเท่านั้นแต่โดยลักษณะของการกระทำคือ การบังคับพาเอาตัวผู้เสียหายจากที่แห่งหนึ่งไปยังที่อีกแห่งหนึ่งเช่นนี้ ย่อมเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309 และ 310 อยู่ในตัวการกระทำความผิดของจำเลยในส่วนนี้จึงเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบทต้องใช้กฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดลงโทษแก่จำเลย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 284 ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 เนื่องจากการพิมพ์ผิดพลาดไปศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขเสียให้ถูกต้อง
ศาลชั้นต้นปรับบทลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2525 มาตรา 4มาด้วยตามคำขอของโจทก์นั้นปรากฏว่าจำเลยกระทำความผิดก่อนที่กฎหมายฉบับนี้จะออกมามีผลบังคับใช้โดย เพิ่มอัตราโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 284 ให้สูงขึ้นกฎหมายฉบับนี้จึงเป็นกฎหมายที่ใช้ในภายหลังการกระทำความผิด และมิได้เป็นคุณแก่ผู้กระทำความผิดจะนำมาปรับบทลงโทษจำเลยด้วยหาได้ไม่เมื่อศาลอุทธรณ์มิได้แก้ไขคำพิพากษาศาลชั้นต้นในเรื่องนี้ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง
จำเลยกับพวกร่วมกันใช้อาวุธปืนขู่เข็ญและใช้กำลังฉุดผู้เสียหายจากในซอย ให้ขึ้นรถยนต์แล้วพาไปถึงโรงแรมแต่ผู้เสียหายหนีออกมาได้ การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียววาระเดียวโดยมีเจตนาเพียงอย่างเดียวคือการพาผู้เสียหายไปเพื่อการอนาจารเท่านั้นแต่โดยลักษณะของการกระทำคือ การบังคับพาเอาตัวผู้เสียหายจากที่แห่งหนึ่งไปยังที่อีกแห่งหนึ่งเช่นนี้ ย่อมเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309 และ 310 อยู่ในตัวการกระทำความผิดของจำเลยในส่วนนี้จึงเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบทต้องใช้กฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดลงโทษแก่จำเลย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 284 ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 เนื่องจากการพิมพ์ผิดพลาดไปศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขเสียให้ถูกต้อง
ศาลชั้นต้นปรับบทลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2525 มาตรา 4มาด้วยตามคำขอของโจทก์นั้นปรากฏว่าจำเลยกระทำความผิดก่อนที่กฎหมายฉบับนี้จะออกมามีผลบังคับใช้โดย เพิ่มอัตราโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 284 ให้สูงขึ้นกฎหมายฉบับนี้จึงเป็นกฎหมายที่ใช้ในภายหลังการกระทำความผิด และมิได้เป็นคุณแก่ผู้กระทำความผิดจะนำมาปรับบทลงโทษจำเลยด้วยหาได้ไม่เมื่อศาลอุทธรณ์มิได้แก้ไขคำพิพากษาศาลชั้นต้นในเรื่องนี้ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2010/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานพาหญิงไปเพื่ออนาจาร, ทำให้เสรีภาพถูกจำกัด, และการใช้กฎหมายโทษหนักที่สุด
จำเลยฎีกาประสงค์จะให้ศาลฎีการับฟังข้อเท็จจริงว่าเหตุเกิดตามวันเวลาที่ผู้เสียหายเบิกความซึ่งแตกต่างไปจากที่ศาลอุทธรณ์รับฟังมาดังนี้ เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงเมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นเฉพาะในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 284,309,310 ว่าเป็นความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทอันเป็นการแก้ไขเล็กน้อยเมื่อ ศาลอุทธรณ์ลงโทษจำคุกจำเลยในความผิดฐานนี้ไม่เกิน 5 ปีจึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 จำเลยกับพวกร่วมกันใช้อาวุธปืนขู่เข็ญและใช้กำลังฉุดผู้เสียหายจากในซอย ให้ขึ้นรถยนต์แล้วพาไปถึงโรงแรมแต่ผู้เสียหายหนีออกมาได้ การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียววาระเดียวโดยมีเจตนาเพียงอย่างเดียวคือการพาผู้เสียหายไปเพื่อการอนาจารเท่านั้น แต่โดยลักษณะของการกระทำคือ การบังคับพาเอาตัวผู้เสียหายจากที่แห่งหนึ่งไปยังที่อีกแห่งหนึ่งเช่นนี้ ย่อมเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309 และ 310 อยู่ในตัวการกระทำความผิดของจำเลยในส่วนนี้จึงเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบทต้องใช้กฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดลงโทษแก่จำเลย ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 90 โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 284ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288เนื่องจากการพิมพ์ผิดพลาดไป ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขเสียให้ถูกต้อง ศาลชั้นต้นปรับบทลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 5) พ.ศ.2525 มาตรา4 มาด้วยตามคำขอของโจทก์นั้นปรากฏว่าจำเลยกระทำความผิดก่อนที่กฎหมายฉบับนี้จะออกมามีผลบังคับใช้โดย เพิ่มอัตราโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 284 ให้สูงขึ้นกฎหมายฉบับนี้จึงเป็นกฎหมายที่ใช้ในภายหลังการกระทำความผิด และมิได้เป็นคุณแก่ผู้กระทำความผิดจะนำมาปรับบทลงโทษจำเลยด้วยหาได้ไม่เมื่อศาลอุทธรณ์มิได้แก้ไขคำพิพากษาศาลชั้นต้นในเรื่องนี้ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไข ให้ถูกต้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1908/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาขู่เข็ญเพื่อปล้นทรัพย์: การพิจารณาจากพฤติการณ์และเจตนาของผู้กระทำ
จำเลยกับพวกอีก 3 คนเข้าไปลักทรัพย์ในบ้านผู้เสียหาย ซึ่งมี ส. กับสามีนอนอยู่ในมุ้งบนบ้าน.ส. ตื่นและได้ยินเสียงคนร้ายพูดกันว่า ถ้าเจ้าของบ้านตื่นจะฆ่าให้ ตาย ส.จึงแกล้งนอนหลับส่วนสามีของส. ยังนอนหลับ อยู่จำเลยนั่งคุมส.กับสามีของส.อยู่ข้างมุ้งพวกของจำเลย ค้นหาทรัพย์ในบ้าน เมื่อได้ทรัพย์แล้วพา กันหลบหนีไป การที่จำเลยกับพวก พูดกันเองว่าถ้า เจ้าของบ้านตื่นจะฆ่าให้ตายโดยไม่ปรากฏว่าจำเลยกับพวก รู้ว่า ส. ตื่นและได้ยินข้อความที่จำเลยกับพวกพูดกัน เช่นนี้ ถือไม่ได้ว่าจำเลยกับพวกมีเจตนาขู่เข็ญว่าจะ ใช้กำลังประทุษร้าย ส. การกระทำของจำเลยกับพวกไม่เป็น ความผิดฐานปล้นทรัพย์ คงเป็นเพียงความผิดฐานลักทรัพย์ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(1),(7),(8)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1908/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาขู่เข็ญเพื่อปล้นทรัพย์: การรับฟังพยานหลักฐานที่พิสูจน์เจตนาของผู้กระทำผิด
จำเลยกับพวกอีก 3 คนเข้าไปลักทรัพย์ในบ้านผู้เสียหาย ซึ่งมี ส. กับสามีนอนอยู่ในมุ้งบนบ้าน. ส. ตื่นและได้ยินเสียงคนร้ายพูดกันว่า ถ้าเจ้าของบ้านตื่นจะฆ่าให้ ตาย ส. จึงแกล้งนอนหลับ ส่วนสามีของ ส. ยังนอนหลับ อยู่จำเลยนั่งคุม ส. กับสามีของ ส. อยู่ข้างมุ้ง พวกของจำเลย ค้นหาทรัพย์ในบ้าน เมื่อได้ทรัพย์แล้วพา กันหลบหนีไป การที่จำเลยกับพวก พูดกันเองว่าถ้า เจ้าของบ้านตื่นจะฆ่าให้ตาย โดยไม่ปรากฏว่าจำเลยกับพวก รู้ว่า ส. ตื่นและได้ยินข้อความที่จำเลยกับพวกพูดกัน เช่นนี้ ถือไม่ได้ว่าจำเลยกับพวกมีเจตนาขู่เข็ญว่าจะ ใช้กำลังประทุษร้าย ส. การกระทำของจำเลยกับพวกไม่เป็น ความผิดฐานปล้นทรัพย์ คงเป็นเพียงความผิดฐานลักทรัพย์ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(1), (7), (8)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1886/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลักทรัพย์: การครอบครองเปลี่ยนเป็นของคนร้าย ทำให้จำเลยไม่มีความผิดฐานลักทรัพย์จากผู้เสียหาย
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานร่วมกับพวกปล้นทรัพย์หรือรับของโจรศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ทั้งสองข้อหานี้ แต่ลงโทษจำเลย ฐานลักทรัพย์โจทก์มิได้อุทธรณ์ความผิดในข้อหาปล้นทรัพย์และรับของโจร จึงถึงที่สุดแล้วตามคำพิพากษาของ ศาลชั้นต้น จำเลยไปพบทรัพย์ของผู้เสียหายที่ถูกคนร้ายปล้นเอาไปทิ้งไว้ริมทางรถไฟ จำเลยนำไปซุกซ่อนไว้ในป่าละเมาะเมื่อผู้เสียหายมิได้ติดตามเอาทรัพย์ ที่ถูกคนร้ายปล้นเอาไปคืนจากคนร้าย ถือได้ว่าการครอบครองทรัพย์ ของผู้เสียหายได้ สิ้นสุดลงตั้งแต่คนร้ายได้แย่งการครอบครองไป การครอบครอง ทรัพย์จึงเป็นของคนร้ายจำเลยเอาทรัพย์ดังกล่าว ไป จึง มิใช่เป็นการแย่งการครอบครองไปจากผู้เสียหาย จำเลย ไม่มีความผิดฐานลักทรัพย์ของผู้เสียหายส่วนจำเลยจะมี ความผิด ฐานลักทรัพย์ของคนร้ายที่ปล้นเอาไปจากผู้เสียหายตาม ข้อเท็จจริง ที่ปรากฏในทางพิจารณาหรือไม่นั้น ไม่ใช่เป็น เรื่องที่โจทก์ประสงค์ให้ลงโทษ ศาลจึงลงโทษจำเลยไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1886/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลักทรัพย์: การครอบครองทรัพย์สินเปลี่ยนมือจากผู้เสียหายไปสู่คนร้าย ทำให้จำเลยไม่มีความผิดฐานลักทรัพย์จากผู้เสียหาย
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานร่วมกับพวกปล้นทรัพย์หรือรับของโจร ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ทั้งสองข้อหานี้ แต่ลงโทษจำเลย ฐานลักทรัพย์ โจทก์มิได้อุทธรณ์ความผิดในข้อหาปล้นทรัพย์และรับของโจร จึงถึงที่สุดแล้วตามคำพิพากษาของ ศาลชั้นต้น
จำเลยไปพบทรัพย์ของผู้เสียหายที่ถูกคนร้ายปล้นเอาไปทิ้งไว้ริมทางรถไฟ จำเลยนำไปซุกซ่อนไว้ในป่าละเมาะ เมื่อผู้เสียหายมิได้ติดตามเอาทรัพย์ ที่ถูกคนร้ายปล้นเอาไปคืนจากคนร้าย ถือได้ว่าการครอบครองทรัพย์ ของผู้เสียหายได้ สิ้นสุดลงตั้งแต่คนร้ายได้แย่งการครอบครองไป การครอบครอง ทรัพย์จึงเป็นของคนร้ายจำเลยเอาทรัพย์ดังกล่าว ไป จึง มิใช่เป็นการแย่งการครอบครองไปจากผู้เสียหาย จำเลย ไม่มีความผิดฐานลักทรัพย์ของผู้เสียหาย ส่วนจำเลยจะมี ความผิด ฐานลักทรัพย์ของคนร้ายที่ปล้นเอาไปจากผู้เสียหายตาม ข้อเท็จจริง ที่ปรากฏในทางพิจารณาหรือไม่นั้น ไม่ใช่เป็น เรื่องที่โจทก์ประสงค์ให้ลงโทษ ศาลจึงลงโทษจำเลยไม่ได้
จำเลยไปพบทรัพย์ของผู้เสียหายที่ถูกคนร้ายปล้นเอาไปทิ้งไว้ริมทางรถไฟ จำเลยนำไปซุกซ่อนไว้ในป่าละเมาะ เมื่อผู้เสียหายมิได้ติดตามเอาทรัพย์ ที่ถูกคนร้ายปล้นเอาไปคืนจากคนร้าย ถือได้ว่าการครอบครองทรัพย์ ของผู้เสียหายได้ สิ้นสุดลงตั้งแต่คนร้ายได้แย่งการครอบครองไป การครอบครอง ทรัพย์จึงเป็นของคนร้ายจำเลยเอาทรัพย์ดังกล่าว ไป จึง มิใช่เป็นการแย่งการครอบครองไปจากผู้เสียหาย จำเลย ไม่มีความผิดฐานลักทรัพย์ของผู้เสียหาย ส่วนจำเลยจะมี ความผิด ฐานลักทรัพย์ของคนร้ายที่ปล้นเอาไปจากผู้เสียหายตาม ข้อเท็จจริง ที่ปรากฏในทางพิจารณาหรือไม่นั้น ไม่ใช่เป็น เรื่องที่โจทก์ประสงค์ให้ลงโทษ ศาลจึงลงโทษจำเลยไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1881/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท กรณีครอบครองและพยายามส่งออกเฮโรอีน การแยกพิจารณาเป็นกรรมใหม่ไม่ถูกต้อง
จำเลยมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และพยายามส่งออก นอก ราชอาณาจักรเพื่อจำหน่ายซึ่งเฮโรอีนจำนวนเดียวกันโดยเอาเฮโรอีน ของกลางบรรจุในกระป๋องสเปรย์ 2 กระป๋องใส่ไว้ใน กระเป๋าเดินทาง และในกระเป๋าเครื่องสำอางค์และถูกเจ้าพนักงาน จับได้ที่สนามบิน ในขณะที่จำเลยเตรียมตัวจะขึ้นเครื่องบิน ไปต่างประเทศการกระทำของจำเลย จึงเป็นความผิดกรรมเดียว ผิดต่อกฎหมายหลายบท นอกจากเฮโรอีนจำนวนข้างต้น เจ้าพนักงานยังพบเฮโรอีนอีกจำนวนหนึ่ง ในกระป๋องสเปรย์ซึ่งบรรจุอยู่ในกระเป๋าสีเหลืองซึ่ง จำเลยฝากไว้กับ เจ้าหน้าที่โรงแรมก่อนที่จำเลยจะเดินทางมา ยังสนามบินซึ่งเฮโรอีนจำนวนนี้ ก็เป็นจำนวนเดียวกับที่ จำเลยมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและถูกจับได้ ที่สนามบิน ตามที่โจทก์ฟ้องนั่นเอง เป็นแต่เพียงจำเลยแยกเอาบางส่วนติดตัวไปส่วนที่เหลือฝากไว้ที่โรงแรมมิได้นำติดตัวไปเท่านั้น จึงไม่ทำให้การกระทำของจำเลยเป็นความผิดอีก กรรมหนึ่งต่างหาก คงเป็นความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมาย หลายบท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1881/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท กรณีครอบครองและพยายามส่งออกยาเสพติด การลงโทษและขอบเขตความผิด
จำเลยมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และพยายามส่งออก นอก ราชอาณาจักรเพื่อจำหน่ายซึ่งเฮโรอีนจำนวนเดียวกัน โดยเอาเฮโรอีน ของกลางบรรจุในกระป๋องสเปรย์ 2 กระป๋องใส่ไว้ใน กระเป๋าเดินทาง และในกระเป๋าเครื่องสำอางค์และถูกเจ้าพนักงาน จับได้ที่สนามบิน ในขณะที่จำเลยเตรียมตัวจะขึ้นเครื่องบิน ไปต่างประเทศ การกระทำของจำเลย จึงเป็นความผิดกรรมเดียว ผิดต่อกฎหมายหลายบท
นอกจากเฮโรอีนจำนวนข้างต้น เจ้าพนักงานยังพบเฮโรอีนอีกจำนวนหนึ่ง ในกระป๋องสเปรย์ซึ่งบรรจุอยู่ในกระเป๋าสีเหลืองซึ่ง จำเลยฝากไว้กับ เจ้าหน้าที่โรงแรมก่อนที่จำเลยจะเดินทางมา ยังสนามบิน ซึ่งเฮโรอีนจำนวนนี้ ก็เป็นจำนวนเดียวกับที่ จำเลยมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและถูกจับได้ ที่สนามบิน ตามที่โจทก์ฟ้องนั่นเอง เป็นแต่เพียงจำเลยแยกเอาบางส่วนติดตัวไปส่วนที่เหลือฝากไว้ที่โรงแรมมิได้นำติดตัวไปเท่านั้น จึงไม่ทำให้การกระทำของจำเลยเป็นความผิดอีก กรรมหนึ่งต่างหาก คงเป็นความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมาย หลายบท
นอกจากเฮโรอีนจำนวนข้างต้น เจ้าพนักงานยังพบเฮโรอีนอีกจำนวนหนึ่ง ในกระป๋องสเปรย์ซึ่งบรรจุอยู่ในกระเป๋าสีเหลืองซึ่ง จำเลยฝากไว้กับ เจ้าหน้าที่โรงแรมก่อนที่จำเลยจะเดินทางมา ยังสนามบิน ซึ่งเฮโรอีนจำนวนนี้ ก็เป็นจำนวนเดียวกับที่ จำเลยมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและถูกจับได้ ที่สนามบิน ตามที่โจทก์ฟ้องนั่นเอง เป็นแต่เพียงจำเลยแยกเอาบางส่วนติดตัวไปส่วนที่เหลือฝากไว้ที่โรงแรมมิได้นำติดตัวไปเท่านั้น จึงไม่ทำให้การกระทำของจำเลยเป็นความผิดอีก กรรมหนึ่งต่างหาก คงเป็นความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมาย หลายบท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1833/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจร้องขอให้ศาลสั่งรับเด็กเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของผู้ตาย แม้ผู้แทนโดยชอบธรรมไม่สามารถทำหน้าที่ได้
ส.มารดาเด็กหญิงว.ซึ่งเป็นผู้ปกครองของเด็กหญิงว. ยังไม่บรรลุนิติภาวะเป็นกรณีที่ผู้แทนโดยชอบธรรมของเด็กไม่สามารถทำหน้าที่ได้ผู้ร้องซึ่งเป็นยายของเด็กหญิงว. จึงมีอำนาจร้องขอให้ศาลมีคำสั่งว่าเด็กหญิง ว.เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของช. ผู้วายชนม์ได้