คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
ชวลิต นราลัย

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 444 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 102/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การนำสืบพินัยกรรมเพิ่มเติมเพื่อพิสูจน์สิทธิในการจัดการมรดก แม้ยื่นคัดค้านไปแล้ว ศาลรับฟังได้หากมีเหตุผล
คดีร้องขอตั้งผู้จัดการมรดก ผู้ร้องอ้างว่าผู้ตายทำพินัยกรรมยกทรัพย์ให้ผู้ร้องและบิดาผู้ร้องโดยตัดผู้คัดค้านมิให้รับมรดก ผู้คัดค้านว่าเป็นพินัยกรรมปลอม ผู้คัดค้านสมควรเป็นผู้จัดการมรดก ดังนี้ การที่ผู้คัดค้านนำสืบถึงพินัยกรรมอีกฉบับหนึ่ง ซึ่งระบุยกทรัพย์ของผู้ตายส่วนหนึ่งให้ผู้คัดค้าน ก็เท่ากับเพื่อแสดงว่าผู้คัดค้านมิได้ถูกตัดมิให้รับมรดก และผู้คัดค้านมีสิทธิเป็นผู้จัดการมรดกได้ กรณีเป็นข้อพิพาทในประเด็นที่ว่า ผู้ร้องหรือผู้คัดค้านสมควรเป็นผู้จัดการมรดก แม้ผู้คัดค้านรู้ว่ามีพินัยกรรมฉบับนี้ภายหลังยื่นคำคัดค้าน แต่เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม จำเป็นจะต้องสืบพยานหลักฐานอันสำคัญซึ่งเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดี ศาลมีอำนาจรับฟังได้ จึงไม่เป็นการนำสืบนอกประเด็น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 95/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องที่ไม่ชอบด้วยวิธีพิจารณาตั้งแต่แรก แม้แก้ไขภายหลังก็ไม่สมบูรณ์
เมื่อโจทก์ที่ 2 ไม่ได้มอบอำนาจให้โจทก์ที่ 1 ฟ้องคดีแทนดังที่กล่าวในฟ้อง ฟ้องของโจทก์ที่ 2 จึงไม่ชอบด้วยวิธีพิจารณามาแต่แรก แม้ต่อมาโจทก์ที่ 2 จะได้ยื่นใบมอบอำนาจที่แท้จริงต่อศาล ก็หาทำให้ฟ้องที่เสียใช้ไม่ได้มาแต่ต้นกลับคืนดีขึ้นมาในภายหลังไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 95/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องของโจทก์ที่ 2 ที่ไม่ชอบด้วยวิธีพิจารณาตั้งแต่แรก แม้แก้ไขภายหลังก็ไม่อาจใช้ได้
เมื่อโจทก์ที่ 2 ไม่ได้มอบอำนาจให้โจทก์ที่ 1 ฟ้องคดีแทนดังที่กล่าวในฟ้อง ฟ้องของโจทก์ที่ 2 จึงไม่ชอบด้วยวิธีพิจารณามาแต่แรก แม้ต่อมาโจทก์ที่ 2 จะได้ยื่นใบมอบอำนาจที่แท้จริงต่อศาล ก็หาทำให้ฟ้องที่เสียใช้ไม่ได้มาแต่ต้นกลับคืนดีขึ้นมาในภายหลังไม่.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 45/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาเช่าซื้อผิดนัด การกำหนดค่าเสียหาย (เบี้ยปรับ) และการสืบพยานเพื่อพิสูจน์ความเสียหาย
ตามสัญญาเช่าซื้อระบุว่าหากผู้เช่าซื้อผิดสัญญา เงินที่ชำระแล้วทั้งหมดจะถูกริบและต้องส่งคืนทรัพย์ที่เช่าซื้อในสภาพเรียบร้อย หากไม่ส่งคืนจนต้องดำเนินการยืดทรัพย์ออกขายเงินขาดอยู่เท่าใด ผู้เช่าซื้อต้องชำระจนครบ ข้อสัญญานี้เป็นการกำหนดค่าเสียหายวิธีหนึ่ง มีลักษณะเป็นการกำหนดเบี้ยปรับ หากสูงเกินส่วนศาลจะลดลงเป็นจำนวนพอสมควรก็ได้ดังนั้นจึงต้องสืบพยานโจทก์จำเลยฟังข้อเท็จจริงเกี่ยวกับค่าเสียหายก่อน.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 45/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาเช่าซื้อผิดนัด ค่าเสียหายเบี้ยปรับ การลดเบี้ยปรับที่สูงเกินส่วน และการสืบพยานเพื่อพิสูจน์ความเสียหาย
ตามสัญญาเช่าซื้อระบุว่าหากผู้เช่าซื้อผิดสัญญา เงินที่ชำระแล้วทั้งหมดจะถูกริบและต้องส่งคืนทรัพย์ที่เช่าซื้อในสภาพเรียบร้อย หากไม่ส่งคืนจนต้องดำเนินการยืดทรัพย์ออกขาย เงินขาดอยู่เท่าใด ผู้เช่าซื้อต้องชำระจนครบ ข้อสัญญานี้เป็นการกำหนดค่าเสียหายวิธีหนึ่ง มีลักษณะเป็นการกำหนดเบี้ยปรับ หากสูงเกินส่วนศาลจะลดลงเป็นจำนวนพอสมควรก็ได้ ดังนั้นจึงต้องสืบพยานโจทก์จำเลยฟังข้อเท็จจริงเกี่ยวกับค่าเสียหายก่อน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 44/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยื่นคำร้องเพิกถอนการพิจารณาที่ผิดระเบียบต้องยื่นก่อนมีคำพิพากษา แม้จะยื่นภายใน 8 วันหลังทราบเหตุ
โจทก์กับจำเลยทั้งสามตกลงประนีประนอมยอมความกันและศาลชั้นต้นได้พิพากษาตามยอมแล้ว จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องอ้างว่า การพิจารณาของศาลชั้นต้นผิดระเบียบ เนื่องจากลายมือชื่อของจำเลยที่ 2 ในใบแต่งทนายเป็นลายมือชื่อปลอมจำเลยที่ 2 ไม่เคยได้รับหมายเรียกและสำเนาคำฟ้อง เหตุเหล่านี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น แม้จำเลยที่ 2 จะยื่นคำร้องภายในแปดวันนับแต่วันที่ทราบเหตุดังที่อ้างมาก็ตาม แต่ยื่นมาภายหลังจากที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้วจึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 44/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิกถอนการพิจารณาคดี: ต้องยื่นคำร้องก่อนมีคำพิพากษา แม้จะยื่นภายใน 8 วันหลังทราบเหตุ
โจทก์กับจำเลยทั้งสามตกลงประนีประนอมยอมความกันและศาลชั้นต้นได้พิพากษาตามยอมแล้ว จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องอ้างว่า การพิจารณาของศาลชั้นต้นผิดระเบียบ เนื่องจากลายมือชื่อของจำเลยที่ 2 ในใบแต่งทนายเป็นลายมือชื่อปลอมจำเลยที่ 2 ไม่เคยได้รับหมายเรียกและสำเนาคำฟ้อง เหตุเหล่านี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น แม้จำเลยที่ 2 จะยื่นคำร้องภายในแปดวันนับแต่วันที่ทราบเหตุดังที่อ้างมาก็ตาม แต่ยื่นมาภายหลังจากที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้วจึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4807/2529 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลอุทธรณ์ในการพิพากษาจำเลยที่ไม่เคยอุทธรณ์ ต้องพิจารณาเหตุที่เกี่ยวข้องกับคดีทั้งหมด มิใช่เหตุส่วนตัว
เหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดีนั้น ต้องเป็นเหตุที่เกี่ยวข้องกับคดีนั้นทั้งเรื่อง มิใช่เหตุส่วนตัวของจำเลยคนใดคนหนึ่ง ดังนั้นการที่จะวินิจฉัยว่าจำเลยคนใดมีเจตนาบุกรุกหรือไม่ จะต้องพิเคราะห์ถึงการกระทำของจำเลยแต่ละคนการที่จำเลยที่ 1 เปิดประตูเข้าไปในบ้านของผู้เสียหายด้วยตนเอง ต่อมาจึงเรียกจำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้ตามขึ้นไปในภายหลังนั้นจะเห็นได้ว่าการกระทำของจำเลยแต่ละคนหาเกี่ยวข้องกันทั้งเรื่องไม่ กรณีเป็นเหตุส่วนตัวของจำเลยแต่ละคนโดยแท้มิใช่เหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดี ศาลอุทธรณ์จึงไม่มีอำนาจก้าวล่วงเข้าไปวินิจฉัยถึงการกระทำของจำเลยที่ 1 ว่าขาดเจตนาทุจริตและที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาตลอดไปถึงจำเลยที่ 1 ด้วยนั้นไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4807/2529

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลอุทธรณ์ในการพิพากษาจำเลยที่ไม่อุทธรณ์ ต้องพิจารณาเหตุที่เกี่ยวข้องกับคดีทั้งเรื่อง ไม่ใช่เหตุส่วนตัว
เหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดีนั้นต้องเป็นเหตุที่เกี่ยวข้องกับคดีนั้นทั้งเรื่องมิใช่เหตุส่วนตัวของจำเลยคนใดคนหนึ่งดังนั้นการที่จะวินิจฉัยว่าจำเลยคนใดมีเจตนาบุกรุกหรือไม่จะต้องพิเคราะห์ถึงการกระทำของจำเลยแต่ละคนการที่จำเลยที่1เปิดประตูเข้าไปในบ้านของผู้เสียหายด้วยตนเองต่อมาจึงเรียกจำเลยที่2และที่3ให้ตามขึ้นไปในภายหลังนั้นจะเห็นได้ว่าการกระทำของจำเลยแต่ละคนหาเกี่ยวข้องกันทั้งเรื่องไม่กรณีเป็นเหตุส่วนตัวของจำเลยแต่ละคนโดยแท้มิใช่เหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดีศาลอุทธรณ์จึงไม่มีอำนาจก้าวล่วงเข้าไปวินิจฉัยถึงการกระทำของจำเลยที่1ว่าขาดเจตนาทุจริตและที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาตลอดไปถึงจำเลยที่1ด้วยนั้นไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4807/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ขอบเขตอำนาจศาลอุทธรณ์ในการพิพากษาถึงจำเลยที่มิได้อุทธรณ์ ต้องพิจารณาเหตุที่เกี่ยวข้องกับคดีทั้งหมด ไม่ใช่เหตุส่วนตัว
เหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดีนั้น ต้องเป็นเหตุที่เกี่ยวข้องกับคดีนั้นทั้งเรื่อง มิใช่เหตุส่วนตัวของจำเลยคนใดคนหนึ่ง ดังนั้นการที่จะวินิจฉัยว่าจำเลยคนใดมีเจตนาบุกรุกหรือไม่ จะต้องพิเคราะห์ถึงการกระทำของจำเลยแต่ละคนการที่จำเลยที่ 1 เปิดประตูเข้าไปในบ้านของผู้เสียหายด้วยตนเอง ต่อมาจึงเรียกจำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้ตามขึ้นไปในภายหลังนั้นจะเห็นได้ว่าการกระทำของจำเลยแต่ละคนหาเกี่ยวข้องกันทั้งเรื่องไม่กรณีเป็นเหตุส่วนตัวของจำเลยแต่ละคนโดยแท้มิใช่เหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดีศาลอุทธรณ์จึงไม่มีอำนาจก้าวล่วงเข้าไปวินิจฉัยถึงการกระทำของจำเลยที่ 1 ว่าขาดเจตนาทุจริตและที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาตลอดไปถึงจำเลยที่ 1 ด้วยนั้นไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา
of 45