พบผลลัพธ์ทั้งหมด 444 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2041/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบุกรุกไม่จำเป็นต้องเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ ผู้ครอบครองมีสิทธิห้าม การเข้าไปเพื่อเจรจาไม่ถือเป็นความผิด
ผู้เสียหายในความผิดฐานบุกรุกไม่จำต้องเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์จ.อยู่ในบ้านซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินของจำเลยย่อมมีส่วนครอบครองบ้านดังกล่าวจึงเป็นผู้เสียหายและมีสิทธิห้ามจำเลยเข้าไปหรืออยู่ในบ้านนั้นได้จำเลยกับผู้เสียหายมีเรื่องผิดใจกันผู้ใหญ่บ้านเรียกจำเลยเข้าไปในบริเวณบ้านของผู้เสียหายเพื่อเจรจาไกล่เกลี่ยการที่จำเลยเข้าไปในบริเวณบ้านของผู้เสียหายจึงเป็นการเข้าไปโดยมีเหตุอันสมควรเมื่อการเจรจาไกล่เกลี่ยตกลงกันไม่ได้และเกิดโต้เถียงกันผู้เสียหายให้จำเลยออกไปจำเลยยังไม่ยอมออกแต่กลับจะทำร้ายผู้เสียหายเช่นนี้การที่จำเลยยังอยู่ที่บริเวณใต้ถุนบ้านของผู้เสียหายภายหลังที่ผู้เสียหายให้จำเลยออกไปเป็นระยะเวลาต่อเนื่องกับการที่จำเลยโต้เถียงและจะทำร้ายผู้เสียหายเมื่อมีผู้อื่นมากันและรั้งจำเลยให้ออกไปจำเลยก็ยอมออกไปการกระทำของจำเลยยังไม่เป็นความผิดฐานบุกรุกตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา364,365
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1956/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยักยอกเงินค่าเหรียญ: จำเลยครอบครองเงินของผู้เสียหายแล้วเบียดบังยักยอกไปเป็นประโยชน์ตนเอง
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยรับมอบเหรียญหลวงปู่แหวนจำนวน20องค์ราคาองค์ละ10บาทรวมราคา200บาทจากผู้เสียหายเพื่อเอาไปจำหน่ายให้กับประชาชนโดยทั่วไปแล้วจะต้องนำเงินที่จำหน่ายเหรียญดังกล่าวมอบให้ผู้เสียหายในวันเดียวกันต่อมาวันเดียวกันนี้จำเลยซึ่งได้ครอบครองเงินค่าจำหน่ายเหรียญดังกล่าวจำนวน200บาทได้เบียดบังยักยอกเอาเงินดังกล่าวของผู้เสียหายไปเป็นประโยชน์ของจำเลยโดยทุจริตดังนี้เป็นการยืนยันข้อเท็จจริงว่าจำเลยครอบครองเงินค่าจำหน่ายเหรียญของผู้เสียหายมีหน้าที่ต้องนำเงินดังกล่าวมาคืนให้ผู้เสียหายแต่แล้วได้เบียดบังยักยอกไปอันครบองค์ความผิดฐานยักยอกแล้วและจำเลยรับสารภาพข้อเท็จจริงจึงต้องฟังเป็นที่ยุติตามคำฟ้องและคำให้การว่าเงินค่าจำหน่ายเหรียญเป็นของผู้เสียหายเมื่อจำเลยเบียดบังไปโดยทุจริตจำเลยจึงมีความผิดฐานยักยอก.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1956/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ยักยอกทรัพย์: การครอบครองเงินแทนผู้อื่นแล้วเบียดบังยักยอกเข้าตัวเองถือเป็นความผิดอาญา
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยรับมอบเหรียญหลวงปู่แหวนจำนวน 20 องค์ ราคาองค์ละ 10 บาท รวมราคา 200 บาทจากผู้เสียหาย เพื่อเอาไปจำหน่ายให้กับประชาชนโดยทั่วไป แล้วจะต้องนำเงินที่จำหน่ายเหรียญดังกล่าวมอบให้ผู้เสียหายในวันเดียวกัน ต่อมาวันเดียวกันนี้จำเลยซึ่งได้ครอบครองเงินค่าจำหน่ายเหรียญดังกล่าวจำนวน 200 บาท ได้เบียดบังยักยอกเอาเงินดังกล่าวของผู้เสียหายไปเป็นประโยชน์ของจำเลยโดยทุจริต ดังนี้เป็นการยืนยันข้อเท็จจริงว่า จำเลยครอบครองเงินค่าจำหน่ายเหรียญของผู้เสียหาย มีหน้าที่ต้องนำเงินดังกล่าวมาคืนให้ผู้เสียหาย แต่แล้วได้เบียดบังยักยอกไป อันครบองค์ความผิดฐานยักยอกแล้ว และจำเลยรับสารภาพ ข้อเท็จจริงจึงต้องฟังเป็นที่ยุติตามคำฟ้องและคำให้การว่า เงินค่าจำหน่ายเหรียญเป็นของผู้เสียหาย เมื่อจำเลยเบียดบังไปโดยทุจริต จำเลยจึงมีความผิดฐานยักยอก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1732/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การได้รับช่วงสิทธิฟ้องของบริษัทประกันภัย และการไม่ต้องห้ามฎีกาเมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ
โจทก์ที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากมูลละเมิดแยกกันมาเป็นส่วนสัดในสำนวนเดียวกัน โดยโจทก์ที่ 1 ฟ้องเรียกค่าซ่อมรถยนต์มามีทุนทรัพย์ไม่เกินห้าหมื่นบาท ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ที่ 1 ที่ 2 ชนะคดี ยกฟ้องโจทก์ที่ 3 และศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นให้เพียงโจทก์ที่ 2 ชนะคดี โดยยกฟ้องโจทก์ที่ 1 เสียด้วย ดังนี้ ถือว่าศาลอุทธรณ์พิพากษากลับสำหรับคดีเฉพาะโจทก์ที่ 1 โจทก์ที่ 1 จึงไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ผู้รับประกันภัยซึ่งได้ชำระค่าซ่อมรถยนต์คันที่รับประกันภัยไว้แก่ผู้รับซ่อมไป เป็นการปฏิบัติหน้าที่ตามสัญญาประกันภัยเพื่อประโยชน์ของเจ้าของรถยนต์ผู้เอาประกันภัย จึงได้รับช่วงสิทธิมาฟ้องเรียกค่าซ่อมรถได้
ผู้รับประกันภัยซึ่งได้ชำระค่าซ่อมรถยนต์คันที่รับประกันภัยไว้แก่ผู้รับซ่อมไป เป็นการปฏิบัติหน้าที่ตามสัญญาประกันภัยเพื่อประโยชน์ของเจ้าของรถยนต์ผู้เอาประกันภัย จึงได้รับช่วงสิทธิมาฟ้องเรียกค่าซ่อมรถได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1675/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องอาญา: การนับระยะเวลาเริ่มเมื่อใด และผลของการอุทธรณ์ปัญหาข้อเท็จจริงที่ต้องห้าม
ปัญหาที่ว่าอายุความเริ่มนับเมื่อใด เป็นปัญหาข้อกฎหมาย แต่ปัญหาที่ว่าโจทก์ทราบมูลเหตุแห่งคดีนี้และรู้ตัวผู้กระทำความผิดตั้งแต่เมื่อใด เป็นปัญหาข้อเท็จจริง
เมื่อคดีต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง การที่ศาลชั้นต้นรับอุทธรณ์และศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยให้ ย่อมไม่ชอบด้วยวิธีพิจารณา ดังนั้น ย่อมไม่มีข้อเท็จจริงที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์โดยชอบ โจทก์จะฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงหาได้ไม่ แม้จะมีผู้พิพากษาที่ลงชื่อในศาลอุทธรณ์อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้ก็ตาม
เมื่อคดีขาดอายุความ สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(6) โจทก์ไม่มีอำนาจนำคดีมาฟ้อง
เมื่อคดีต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง การที่ศาลชั้นต้นรับอุทธรณ์และศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยให้ ย่อมไม่ชอบด้วยวิธีพิจารณา ดังนั้น ย่อมไม่มีข้อเท็จจริงที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์โดยชอบ โจทก์จะฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงหาได้ไม่ แม้จะมีผู้พิพากษาที่ลงชื่อในศาลอุทธรณ์อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้ก็ตาม
เมื่อคดีขาดอายุความ สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(6) โจทก์ไม่มีอำนาจนำคดีมาฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1673/2529 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เบิกความเท็จเพื่อยืดอายุความคดีอาญา: ผลกระทบต่อการฟ้องร้อง
โจทก์ถูกฟ้องด้วยข้อหายักยอก ซึ่งเป็นความผิดอันยอมความกันได้ถ้าผู้เสียหายมิได้ร้องทุกข์ภายในสามเดือนนับแต่วันที่รู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิดเป็นอันขาดอายุความ สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไป คำเบิกความเท็จของจำเลยซึ่งสนับสนุนข้ออ้างว่าสิทธิที่จะฟ้องร้องโจทก์ยังมิได้ระงับไปด้วยคดีขาดอายุความจึงเป็นข้อสำคัญในคดี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1673/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำเบิกความเท็จเพื่อยืดอายุความคดีอาญา: ผลกระทบต่อการฟ้องร้อง
โจทก์ถูกฟ้องด้วยข้อหายักยอกซึ่งเป็นความผิดอันยอมความกันได้ถ้าผู้เสียหายมิได้ร้องทุกข์ภายในสามเดือนนับแต่วันที่รู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิดเป็นอันขาดอายุความสิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไปคำเบิกความเท็จของจำเลยซึ่งสนับสนุนข้ออ้างว่าสิทธิที่จะฟ้องร้องโจทก์ยังมิได้ระงับไปด้วยคดีขาดอายุความจึงเป็นข้อสำคัญในคดี.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1473/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
นิติกรรมอำพราง สัญญาซื้อขายสิทธิสมาชิกตลาดหลักทรัพย์ สัญญากู้เงิน การชำระหนี้
จำเลยที่1ทำสัญญาซื้อขายสิทธิการเป็นสมาชิกตลาดหลักทรัพย์ให้บริษัทช. ในราคา15ล้านบาทแต่ระบุไว้ในสัญญาเพียง1ล้านบาทส่วนอีก14ล้านบาทได้ทำเอกสารขึ้นสองฉบับคือสัญญากู้จ.1ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่1และบันทึกข้อตกลงในการฝากและคืนเอกสารสัญญากู้ที่ฝากไว้กับธนาคารเงิน14ล้านบาทนั้นโจทก์ได้มาจากบ. ออกเช็คเข้าบัญชีของโจทก์แล้วโจทก์ออกเช็คสั่งจ่ายเงิน14ล้านบาทให้จำเลยที่1ข้อตกลงในการฝากและคืนเอกสารสัญญากู้มีว่าถ้าบริษัทช. เป็นสมาชิกของตลาดหลักทรัพย์โดยสมบูรณ์เรียบร้อยแล้วให้จำเลยที่1เป็นผู้มีสิทธิรับเอกสารคืนซึ่งมีผลเท่ากับไม่ต้องชำระหนี้เงินกู้ตามข้อบังคับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเรื่องข้อกำหนดเกี่ยวกับสมาชิกนั้นคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์เป็นผู้พิจารณาใบสมัครเข้าเป็นสมาชิกซึ่งมีจำนวนไม่เกิน30รายสมาชิกอาจโอนการเป็นสมาชิกให้บริษัทหลักทรัพย์อื่นได้ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่คณะกรรมการกำหนดการโอนสิทธิการเป็นสมาชิกตลาดหลักทรัพย์จึงหาได้กระทำตามความสมัครใจของผู้โอนและผู้รับโอนเท่านั้นไม่ความสำคัญอยู่ที่การพิจารณาของคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์จะกำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการอนุญาตให้โอนกันด้วยขณะทำสัญญาซื้อขายจำเลยที่1และบริษัทช. จึงไม่มีทางรู้ว่าผลการพิจารณาของคณะกรรมการจะออกมาในรูปใด ไม่มีเหตุที่บริษัทช. ผู้ซื้อจะชำระเงินค่าซื้อสิทธิให้แก่จำเลยที่1ถึง14ล้านบาทเมื่อการโอนสิทธิแก่กันยังไม่เป็นที่แน่นอนพฤติการณ์ดังกล่าวเห็นได้ว่าการที่จำเลยที่1ทำสัญญากู้เงินจากโจทก์ก็เพื่อจะให้จำเลยที่1ได้เงินไปใช้ก่อนสัญญากู้ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่1จึงเกิดขึ้นด้วยความสมัครใจของทั้งสองฝ่ายหาได้มีเจตนาลวงหรืออำพรางนิติกรรมอื่นไม่ส่วนการตกลงเรื่องโอนสิทธิการเป็นสมาชิกตลาดหลักทรัพย์นั้นชั้นแรกคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์มีมติให้บริษัทช. เข้าเป็นสมาชิกของตลาดหลักทรัพย์โดยการรับโอนสิทธิจากจำเลยที่1แต่บริษัทช.จะต้องเพิ่มทุนจดทะเบียนจาก5ล้านบาทเป็นอย่างน้อย20ล้านบาทภายใน6เดือนบริษัทช. ไม่อาจเพิ่มทุนได้เพราะที่ประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้นไม่อนุมัติให้เพิ่มทุนจดทะเบียนการโอนสิทธิการเป็นสมาชิกตลาดหลักทรัพย์ระหว่างบริษัทช. กับจำเลยที่1จึงยังไม่สมบูรณ์เรียบร้อยตามสัญญาจำเลยที่1ยังคงเป็นสมาชิกตลาดหลักทรัพย์อยู่เงื่อนไขที่ให้บริษัทช. เพิ่มทุนนั้นเป็นเรื่องนอกเหนืออำนาจของบริษัทช. เพราะการเพิ่มทุนต้องมีมติพิเศษของที่ประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้นจึงถือไม่ได้ว่าเป็นความผิดของบริษัทช. หรือบริษัทช. ขัดขวางมิให้สัญญาซื้อขายเป็นผลสำเร็จโจทก์ย่อมมีสิทธิเป็นผู้รับสัญญากู้คืนและฟ้องจำเลยตามสัญญากู้และค้ำประกันได้ซึ่งโจทก์จะได้เงินมาจากใครนั้นไม่ใช่ข้อสำคัญเมื่อจำเลยที่1รับเงินไปจากโจทก์ก็ต้องคืนให้โจทก์พร้อมดอกเบี้ยตามที่กำหนดไว้ในสัญญา.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1356/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การไม่ส่งสำเนาอุทธรณ์ตามกำหนดเวลา ถือเป็นการทิ้งฟ้อง
ผู้อุทธรณ์ที่ไม่ส่งสำเนาอุทธรณ์ให้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งภายในกำหนดเวลาที่ศาลสั่งถือว่าทิ้งฟ้อง.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1245/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สำคัญผิดในนิติกรรม: ตัวบุคคลเป็นสาระสำคัญหรือไม่ พิจารณาจากเจตนาและความจำเป็นในการไถ่คืน
การแสดงเจตนาถ้าสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรมย่อมเป็นโมฆะและตัวบุคคลซึ่งเป็นคู่กรณีแห่งนิติกรรมก็อาจเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรมได้ถ้าการทำนิติกรรมนั้นถือเอาตัวบุคคลเป็นสาระสำคัญแต่ในบางกรณีตัวบุคคลซึ่งเป็นคู่กรณีไม่ถือว่าเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรมเนื่องจากจุดประสงค์เพราะต้องการเพียงเงินจำนวนหนึ่งเท่านั้น โจทก์บรรยายฟ้องว่าโจทก์เดือดร้อนเรื่องเงินและรู้จักกับนางอ.มารดาจำเลยซึ่งมีอาชีพรับซื้อฝากที่ดินเป็นธุรกิจโจทก์ตกลงขายฝากที่ดินไว้แก่นางอ.เพราะไม่รู้จักจำเลยมาก่อนแต่นางอ.กับจำเลยได้สมคบกันฉ้อฉลทำหนังสือมอบอำนาจมรรับซื้อฝากใส่ชื่อจำเลยไว้โดยเจตนาที่จะไม่ให้มีการไถ่คืนในภายหลังเพราะจำเลยไม่ได้อยู่ในประเทศไทยนิติกรรมการขายฝากจึงตกเป็นโมฆะนั้นคำฟ้องของโจทก์ไม่ได้กล่าวอ้างให้เห็นเลยว่าเหตุใดจึงเจาะจงที่จะขายฝากไว้แก่นางอ.อันพอจะทำให้เห็นได้ว่าโจทก์มีเจตนาที่จะถือเอาตัวบุคคลที่จะรับซื้อฝากเป็นสาระสำคัญคงเห็นได้แต่เพียงว่าโจทก์ต้องการเงินจำนวนหนึ่งเท่านั้นการที่นางอ.หรือจำเลยจะเป็นผู้รับซื้อฝากก็ไม่มีผลต่างกันเพราะโจทก์ได้รับค่าขายฝากไปครบถ้วนแล้วเหตุตามคำฟ้องดังกล่าวจึงไม่ทำให้นิติกรรมขายฝากเป็นโมฆะคดีพอวินิจฉัยได้หาจำต้องฟังพยานโจทก์จำเลยอีกต่อไปไม่.