คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
สมศักดิ์ เกิดลาภผล

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,197 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5509/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การมีอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาตและการพกพาอาวุธในที่สาธารณะ ศาลจำกัดบทลงโทษเฉพาะข้อหาพกพา
จำเลยกับพวกร่วมกันมีอาวุธปืนและพาอาวุธปืนดังกล่าวไปใช้ยิงผู้ตาย และผู้เสียหายในทางสาธารณะแม้โจทก์ไม่ได้อาวุธปืนดังกล่าวมาเป็นของกลาง แต่ตามคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยรับว่าไม่เคยได้รับอนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืนมาก่อน ซึ่งมีพนักงานสอบสวนเบิกความยืนยันและจำเลยก็ มิได้ถามค้านหรือนำสืบหักล้างแต่อย่างใด ย่อมฟังได้ว่า จำเลยมี อาวุธปืนไว้ในครอบครองและพาอาวุธปืนดังกล่าวติดตัวไปในทางสาธารณะ โดยไม่ได้รับอนุญาต แต่ข้อเท็จจริงยังไม่อาจฟังได้ด้วยว่าอาวุธปืนที่จำเลย มีโดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นอาวุธปืนที่ยังไม่ได้จดทะเบียนและ ไม่มีเครื่องหมายทะเบียนของเจ้าพนักงานประทับตามที่โจทก์ฟ้อง จึงลงโทษ จำเลยฐานมีอาวุธปืนที่ไม่ได้จดทะเบียนไว้ในครอบครองไม่ได้ คงลงโทษได้ แต่เฉพาะข้อหาพาอาวุธปืนติดตัวไปในทางสาธารณะ โดยไม่ได้รับอนุญาตเท่านั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5509/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การมีอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาตและการพกพาในที่สาธารณะ แม้ไม่มีหลักฐานอาวุธปืนไม่ได้จดทะเบียน แต่ก็มีความผิด
จำเลยกับพวกร่วมกันมีอาวุธปืนและพาอาวุธปืนดังกล่าวไปใช้ยิงผู้ตาย และผู้เสียหายในทางสาธารณะ แม้โจทก์ไม่ได้อาวุธปืนดังกล่าวมาเป็นของกลาง แต่ตามคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยรับว่าไม่เคยได้รับอนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืนมาก่อน ซึ่งมีพนักงานสอบสวนเบิกความยืนยันและจำเลยก็ มิได้ถามค้านหรือนำสืบหักล้างแต่อย่างใด ย่อมฟังได้ว่า จำเลยมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองและพาอาวุธปืนดังกล่าวติดตัวไปในทางสาธารณะ โดยไม่ได้รับอนุญาต แต่ข้อเท็จจริงยังไม่อาจฟังได้ด้วยว่าอาวุธปืนที่จำเลย มีโดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นอาวุธปืนที่ยังไม่ได้จดทะเบียนและ ไม่มีเครื่องหมายทะเบียนของเจ้าพนักงานประทับตามที่โจทก์ฟ้อง จึงลงโทษ จำเลยฐานมีอาวุธปืนที่ไม่ได้จดทะเบียนไว้ในครอบครองไม่ได้ คงลงโทษได้ แต่เฉพาะข้อหาพาอาวุธปืนติดตัวไปในทางสาธารณะ โดยไม่ได้รับอนุญาตเท่านั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5389/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ธนาคารไม่ต้องรับผิดชำระหนี้แทนเจ้าของบัญชี แม้จะบันทึกข้อความยินยอมผ่านเช็ค หากไม่มีสัญญาชำระหนี้ที่ชัดเจน
จำเลยที่ 1 ออกเช็คสั่งจ่ายเงินให้แก่โจทก์ แล้วมีหนังสือถึงจำเลยที่ 5 ผู้จัดการธนาคารจำเลยที่ 4 ความว่า ถ้า ธนาคารจำเลยที่ 4ได้รับเงินค่างวดงานจากบุคคลภายนอกผู้มีชื่อ ที่จ่ายเข้าบัญชีจำเลยที่ 1 เมื่อไร ขอให้ผ่านเช็คซึ่งจำเลยที่ 1 สั่งจ่ายให้โจทก์ จำเลยที่ 5 บันทึกข้อความลงในหนังสือของจำเลยที่ 1 ว่าธนาคารไม่ขัดข้องในการผ่านเช็คดังกล่าวเมื่อได้รับเงินค่าก่อสร้างงวดที่ 1 เรียบร้อยแล้ว ข้อเท็จจริงเพียงเท่านี้ไม่พอฟังว่าธนาคารจำเลยที่ 4 ตกลงทำสัญญาชำระหนี้ให้แก่โจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 374 เมื่อปรากฏว่าไม่มีเงินในบัญชีจำเลยที่ 1 พอที่จะชำระเงินตามเช็คธนาคารจำเลยที่ 4 จึงไม่ผูกพันที่จะชำระเงินให้โจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5020/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท: เบิกความเท็จและนำสืบพยานหลักฐานเท็จ
จำเลยกระทำความผิดฐานเบิกความเท็จตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 177พร้อมกันไปกับการกระทำผิดฐานนำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานเท็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 180 การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5020/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดกรรมเดียวฯ เบิกความเท็จและนำสืบพยานหลักฐานเท็จ ศาลฎีกายืนตามศาลอุทธรณ์
จำเลยกระทำความผิดฐานเบิกความเท็จตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 177 พร้อมกันไปกับการกระทำผิดฐานนำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานเท็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 180 การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4824/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การปลอมเอกสารและการเบิกความเท็จในคดีแพ่ง ศาลฎีกาชี้เฉพาะความผิดฐานเบิกความเท็จ
จำเลยกรอกข้อความในหนังสือมอบอำนาจที่โจทก์ลงชื่อมอบให้จำเลยซื้อที่ดินของ ด. แทนโดยฝ่าฝืนคำสั่งของโจทก์และลงวันที่ย้อนหลัง แล้วนำไปใช้อ้างเป็นพยานหลักฐานและนำสืบในคดีแพ่งที่โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการโอนที่ดินพิพาทระหว่าง จำเลยกับ ว. เพื่อให้ศาลหลงเชื่อว่าโจทก์มอบอำนาจให้จำเลยจัดการเกี่ยวกับที่ดินแปลงอื่นมิใช่มอบให้จัดการซื้อที่ดินของ ด. ดังนี้ เป็นการปลอมหนังสือมอบอำนาจขึ้นเพื่อนำไปใช้เป็นพยานหลักฐานต่อศาลในคดีแพ่ง โดยเจตนาให้ศาลหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง หากจำเลยจะมีความผิดเนื่องจากการกระทำดังกล่าวของจำเลย จำเลยก็จะมีความผิดเฉพาะฐานนำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 180 อันเป็นเจตนาที่แท้จริงของจำเลยเท่านั้น จำเลยหามีความผิดตามมาตรา 264 และ 268 ไม่เพราะไม่ปรากฏว่าข้อความที่จำเลยปลอมขึ้นในหนังสือมอบอำนาจได้ก่อหรืออาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์แต่ประการใด
ประเด็นสำคัญในคดีแพ่งมีว่า โจทก์สั่งจ่ายเช็คให้จำเลยไปวางมัดจำและชำระราคาที่ดินบางส่วนในการทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินของ ด. แทนโจทก์แต่จำเลยรับโอนที่ดินนั้นใส่ชื่อตนเองจริงหรือไม่ ไม่มีประเด็นเกี่ยวกับหนังสือมอบอำนาจ จำเลยจะไม่ส่งอ้างหนังสือมอบอำนาจนี้ก็ได้ เพราะเป็นการมอบอำนาจให้จัดการเกี่ยวกับที่ดินต่างแปลงกัน การที่จำเลยนำสืบถึงเอกสารหนังสือมอบอำนาจนี้จึงไม่เป็นการนำสืบพยานหลักฐานในข้อสำคัญในคดี จำเลยไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 180
จำเลยรู้อยู่แล้วว่าโจทก์สั่งจ่ายเช็คให้จำเลยนำไปว่างมัดจำและชำระค่าที่ดินของ ด. มิใช่จ่ายเช็คชำระหนี้ให้จำเลยการที่จำเลยเบิกความว่าโจทก์สั่งจ่ายเช็คดังกล่าวชำระหนี้ให้จำเลย จึงเป็นการเบิกความอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีแพ่ง อันเป็นประเด็นข้อสำคัญในคดีจำเลยจึงมีความผิดฐานเบิกความเท็จ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4775/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การวินิจฉัยคดีซ้ำซ้อนและการไต่สวนมูลฟ้อง: ศาลอุทธรณ์ยกอุทธรณ์กรณีคดีมีข้อเท็จจริงซ้ำกับคดีก่อน
โจทก์อ้างส่งสำเนาคำพิพากษาฎีกาในคดีก่อนต่อศาลและยังแถลงรับอีกว่าคำพิพากษาดังกล่าวนั้นถูกต้อง การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยถึงเรื่องที่โจทก์เคยฟ้องจำเลยมาแล้วจึงมิใช่ข้อเท็จจริงนอกสำนวน ทั้งการที่ศาลชั้นต้นสอบถามข้อเท็จจริงซึ่งโจทก์แถลงรับดังกล่าว ถือได้ว่าเป็นการไต่สวนมูลฟ้องแล้ว
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า คดีนี้และคดีก่อนมีข้อเท็จจริงเดียวกันสิทธินำคดีอาญามาฟ้องระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 39(4) พิพากษายกฟ้อง เมื่ออุทธรณ์ของโจทก์มิได้อ้างอิงว่าฟ้องโจทก์คดีนี้กับคดีก่อนเป็นคนละประเด็นกันอย่างไรบ้าง จึงเป็นอุทธรณ์ที่มิได้กล่าวโดยชัดแจ้ง ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 195ศาลอุทธรณ์ชอบที่จะยกอุทธรณ์ของโจทก์.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4775/2530 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คดีซ้ำซ้อน: การวินิจฉัยคดีโดยอาศัยข้อเท็จจริงที่โจทก์แถลงรับและคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีก่อน ไม่ถือเป็นข้อเท็จจริงนอกสำนวน
โจทก์อ้างส่งสำเนาคำพิพากษาฎีกาในคดีก่อนต่อศาลและยังแถลงรับอีกว่าคำพิพากษาดังกล่าวนั้นถูกต้อง การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยถึงเรื่องที่โจทก์เคยฟ้องจำเลยมาแล้วจึงมิใช่ข้อเท็จจริงนอกสำนวน ทั้งการที่ศาลชั้นต้นสอบถามข้อเท็จจริงซึ่งโจทก์แถลงรับดังกล่าว ถือได้ว่าเป็นการไต่สวนมูลฟ้องแล้ว
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า คดีนี้และคดีก่อนมีข้อเท็จจริงเดียวกันสิทธินำคดีอาญามาฟ้องระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (4) พิพากษายกฟ้อง เมื่ออุทธรณ์ของโจทก์มิได้อ้างอิงว่าฟ้องโจทก์คดีนี้กับคดีก่อนเป็นคนละประเด็นกันอย่างไรบ้าง จึงเป็นอุทธรณ์ที่มิได้กล่าวโดยชัดแจ้ง ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 ศาลอุทธรณ์ชอบที่จะยกอุทธรณ์ของโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4775/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การวินิจฉัยคดีซ้ำซ้อนและการไต่สวนมูลฟ้องโดยอาศัยข้อเท็จจริงที่โจทก์แถลงรับ
โจทก์อ้างส่งสำเนาคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีก่อนต่อศาล และยังแถลงรับอีกว่าคำพิพากษาดังกล่าวนั้นถูกต้อง การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยถึงเรื่องที่โจทก์เคยฟ้องจำเลยมาแล้ว จึงมิใช่ข้อเท็จจริงนอกสำนวน ทั้งการที่ศาลชั้นต้นสอบถามข้อเท็จจริงซึ่งโจทก์แถลงรับดังกล่าว ถือได้ว่าเป็นการไต่สวนมูลฟ้องแล้ว ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า คดีนี้และคดีก่อนมีข้อเท็จจริงเดียวกันสิทธินำคดีอาญามาฟ้องระงับไปตาม ป.วิ.อ. มาตรา 39(4) พิพากษายกฟ้องเมื่ออุทธรณ์ของโจทก์มิได้อ้างอิงว่าฟ้องโจทก์คดีนี้กับคดีก่อนเป็นคนละประเด็นกันอย่างไรบ้าง จึงเป็นอุทธรณ์ที่มิได้กล่าวโดยชัดแจ้งไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 195 ศาลอุทธรณ์ชอบที่จะยกอุทธรณ์ของโจทก์.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4696/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เบิกความเท็จในคดีแพ่งเพื่อสนับสนุนสิทธิครอบครองที่ดิน จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177
จำเลยที่ 1 ฟ้องโจทก์เป็นคดีแพ่งเรื่องขับไล่ และเรียกค่าเสียหายซึ่งมีประเด็นข้อพิพาทว่าโจทก์หรือจำเลยมีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท ในคดีดังกล่าวจำเลยที่ 1 เบิกความเป็นพยานว่าจำเลยที่ 1 ซื้อที่ดินพิพาทจาก ล. สามี พ. ซึ่งเป็นมารดาโจทก์โดยไม่ได้ทำสัญญาซื้อขายกัน จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ต่างก็เบิกความเป็นพยานว่าเห็น ล. ขายที่ดินพิพาทให้จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นความเท็จและเป็นข้อสำคัญในคดีจำเลยจึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177.
of 120