พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,197 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4497-4500/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานฟ้องเท็จหลายกรรม: ความเสียหายเกิดขึ้นทันทีที่ฟ้อง ไม่รอผลคดีถึงที่สุด
แม้การกระทำอันเป็นมูลให้จำเลยฟ้องโจทก์จะเป็นเรื่องเดียวกัน แต่จำเลยได้ฟ้องเท็จโจทก์หลายคดี โดยแบ่งการกระทำเป็นหลายครั้งหลายกรรมแสดงว่าจำเลยมิได้มีเจตนาอัน เดียวกัน การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดหลายกรรม
เมื่อจำเลยเอาความเท็จมาฟ้องคดีโจทก์ทำให้โจทก์เสียหาย โจทก์ย่อมเป็นผู้เสียหายและความผิดของจำเลยย่อมเกิดขึ้นทันทีที่จำเลยฟ้องคดี หาใช่ความผิดของจำเลยเกิดขึ้นและโจทก์เป็นผู้เสียหายเมื่อคดีที่จำเลยฟ้องโจทก์ถึงที่สุดแล้วไม่
เมื่อจำเลยเอาความเท็จมาฟ้องคดีโจทก์ทำให้โจทก์เสียหาย โจทก์ย่อมเป็นผู้เสียหายและความผิดของจำเลยย่อมเกิดขึ้นทันทีที่จำเลยฟ้องคดี หาใช่ความผิดของจำเลยเกิดขึ้นและโจทก์เป็นผู้เสียหายเมื่อคดีที่จำเลยฟ้องโจทก์ถึงที่สุดแล้วไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4495/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนำสืบนอกฟ้องและนอกประเด็นสำคัญทำให้ศาลไม่สามารถพิพากษาตามที่โจทก์ขอได้
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยประกอบการค้าก๊าซและน้ำมันปิโตรเลียมแข่งขันกับโจทก์โดยใช้ชื่อบริษัท ย. สั่งก๊าซจากต่างประเทศเข้ามาขาย ทำให้โจทก์เสียหายจำเลยให้การว่าไม่เคยใช้ชื่อบริษัท ย. สั่งก๊าซจากต่างประเทศเข้ามาขายโจทก์ไม่เสียหาย ไม่มีการชี้สองสถาน ประเด็นข้อพิพาทจึงมีว่าจำเลยสั่งก๊าซจากต่างประเทศเข้ามาขายเป็นเหตุให้โจทก์เสียหายหรือไม่ เมื่อโจทก์นำสืบว่าบริษัท ย. สั่งซื้อน้ำมันเตา น้ำมันขี้โล้ และน้ำมันก๊าดซึ่งไม่ใช่ก๊าซตามฟ้องจากผู้ขายในประเทศเองแล้วนำไปขาย จึงเป็นการนำสืบนอกฟ้องนอกประเด็นในเรื่องประเภทของเชื่อเพลิงและในเรื่องสถานที่ซื้อ ศาลไม่อาจพิพากษาให้จำเลยรับผิดต่อโจทก์ตามที่โจทก์นำสืบได้เป็นการต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 วรรคแรก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4451/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผู้ถือหุ้นรู้เห็นยินยอมทำบัญชีเท็จ ไม่เป็นผู้เสียหาย และไม่ขาดประโยชน์อันควร จึงไม่ผิดตาม พ.ร.บ. ห้างหุ้นส่วนฯ
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์โดยวินิจฉัยทำนองเดียวกันว่า โจทก์รู้เห็นยินยอมให้บริษัทที่โจทก์เป็นผู้ถือหุ้นและจำเลยเป็นกรรมการทำบัญชี 2 ชุดเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ยอมเสียภาษีอันเป็นการกระทำผิดกฎหมายโจทก์ย่อมไม่ใช่ผู้เสียหายที่จะฟ้องคดีนี้ได้ และเหตุที่ไม่ได้แบ่งเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นเนื่องจากต้องนำเงินไปใช้ขยายกิจการของบริษัทผู้ถือหุ้นซึ่งรวมทั้งโจทก์มิได้ขาดประโยชน์อันควรได้แต่อย่างใด การกระทำของจำเลยทั้งสองไม่เป็นความผิดตามฟ้องเช่นนี้ ถือว่าศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยอาศัยข้อเท็จจริงโจทก์จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 220
จำเลยซึ่งเป็นกรรมการบริษัททำบัญชีเท็จว่าบริษัทขาดทุนเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ชำระภาษีอันเป็นการกระทำผิดกฎหมายโดยโจทก์ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรู้เห็นยินยอม การทำบัญชีดังกล่าวจึงไม่เป็นการหลอกลวงให้โจทก์ขาดประโยชน์อันควรได้ ไม่เป็นความผิดต่อพระราชบัญญัติกำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียนฯ มาตรา 42
จำเลยซึ่งเป็นกรรมการบริษัททำบัญชีเท็จว่าบริษัทขาดทุนเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ชำระภาษีอันเป็นการกระทำผิดกฎหมายโดยโจทก์ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรู้เห็นยินยอม การทำบัญชีดังกล่าวจึงไม่เป็นการหลอกลวงให้โจทก์ขาดประโยชน์อันควรได้ ไม่เป็นความผิดต่อพระราชบัญญัติกำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียนฯ มาตรา 42
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4451/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผู้ถือหุ้นรู้เห็นยินยอมการทำบัญชีเท็จ ไม่เป็นผู้เสียหาย และไม่มีความผิดตาม พ.ร.บ. ห้างหุ้นส่วนฯ
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์โดยวินิจฉัยทำนองเดียวกันว่า โจทก์รู้เห็นยินยอมให้บริษัทที่โจทก์เป็นผู้ถือหุ้นและจำเลยเป็นกรรมการทำบัญชี 2 ชุดเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ยอมเสียภาษีอันเป็นการกระทำผิดกฎหมายโจทก์ย่อมไม่ใช่ผู้เสียหายที่จะฟ้องคดีนี้ได้ และเหตุที่ไม่ได้แบ่งเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นเนื่องจากต้องนำเงินไปใช้ขยายกิจการของบริษัท ผู้ถือหุ้นซึ่งรวมทั้งโจทก์มิได้ขาดประโยชน์อันควรได้แต่อย่างใด การกระทำของจำเลยทั้งสองไม่เป็นความผิดตามฟ้อง เช่นนี้ ถือว่าศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยอาศัยข้อเท็จจริงโจทก์จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220
จำเลยซึ่งเป็นกรรมการบริษัททำบัญชีเท็จว่าบริษัทขาดทุนเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ชำระภาษีอันเป็นการกระทำผิดกฎหมายโดยโจทก์ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรู้เห็นยินยอม การทำบัญชีดังกล่าวจึงไม่เป็นการหลอกลวงให้โจทก์ขาดประโยชน์อันควรได้ ไม่เป็นความผิดต่อพระราชบัญญัติกำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียนฯ มาตรา 42
จำเลยซึ่งเป็นกรรมการบริษัททำบัญชีเท็จว่าบริษัทขาดทุนเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ชำระภาษีอันเป็นการกระทำผิดกฎหมายโดยโจทก์ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรู้เห็นยินยอม การทำบัญชีดังกล่าวจึงไม่เป็นการหลอกลวงให้โจทก์ขาดประโยชน์อันควรได้ ไม่เป็นความผิดต่อพระราชบัญญัติกำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียนฯ มาตรา 42
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4431/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การซื้อบ้านจากการขายทอดตลาดโดยไม่สุจริต ไม่ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย เจ้าของเดิมยังมีสิทธิ
ผู้ร้องซื้อบ้านพิพาทจากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาล ในคดีที่ห้างหุ้นส่วนจำกัด ช.ฟ้องจำเลยที่ 1 โดยผู้ร้องทราบว่าบ้านพิพาทเป็นของจำเลยที่ 2 มิใช่ของจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ได้จดทะเบียนจำนองไว้กับโจทก์ จึงถือได้ว่าผู้ร้องซื้อบ้านพิพาทไว้โดยไม่สุจริต สิทธิของผู้ร้องในการซื้อบ้านพิพาทจากการขายทอดตลาดย่อมไม่ได้รับความคุ้มครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1330 บ้านพิพาทจึงเป็นของจำเลยที่ 2 และผู้ร้องไม่มีสิทธิร้องขัดทรัพย์ในคดีที่โจทก์นำยึดบ้านพิพาทบังคับชำระหนี้จากจำเลยที่ 2
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4431/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การซื้อบ้านจากการขายทอดตลาดโดยไม่สุจริต ไม่ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย เจ้าของเดิมยังมีสิทธิ
ผู้ร้องซื้อบ้านพิพาทจากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาล ในคดีที่ห้างหุ้นส่วนจำกัด ช.ฟ้องจำเลยที่ 1 โดยผู้ร้องทราบว่าบ้านพิพาทเป็นของจำเลยที่ 2 มิใช่ของจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ได้จดทะเบียนจำนองไว้กับโจทก์ จึงถือได้ว่าผู้ร้องซื้อบ้านพิพาทไว้โดยไม่สุจริต สิทธิของผู้ร้องในการซื้อบ้านพิพาทจากการขายทอดตลาดย่อมไม่ได้รับความคุ้มครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1330 บ้านพิพาทจึงเป็นของจำเลยที่ 2 และผู้ร้องไม่มีสิทธิร้องขัดทรัพย์ในคดีที่โจทก์นำยึดบ้านพิพาทบังคับชำระหนี้จากจำเลยที่ 2
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4308-4309/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ร่วมกันวางแผนและลงมือฆ่าเหยื่อและภริยา รวมถึงวางเพลิงทำลายทรัพย์สิน
จำเลยกับพวกโกรธผู้ตาย จึงเตรียมอาวุธไปที่บ้านผู้ตายเมื่อพบภริยาผู้ตายก็ยิงภริยาผู้ตายตาย แล้วตามผู้ตายไปจนพบกำลังรุนกุ้งในทะเลมิได้พูดจาไต่ถามอะไรก็ใช้อาวุธปืนยิงทันทีจนผู้ตายถึงแก่ความตายและยังจุดไฟเผาเรือเสียด้วยการที่จำเลยกับพวกฆ่าผู้ตายถือเป็นการฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน แต่ที่จำเลยกับพวกฆ่าภริยาผู้ตายด้วยอาจเป็นเพราะไม่พบผู้ตายจึงฆ่าเสียก่อน เป็นการฆ่าในทันทีทันใด ไม่ถือว่าเป็นการฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน
จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 มิได้ร่วมยิงผู้ตาย แต่การเตรียมอาวุธไปด้วยและร่วมปรึกษาหารือกันมาก่อน เมื่อจำเลยที่ 4 ยิงภริยาผู้ตายแล้วจำเลยที่ 2 ก็ยังขับเรือตามหาผู้ตายต่อไปอีกจำเลยที่ 1 และที่ 3 ก็มิได้ทักท้วงห้ามปราม ถือว่าจำเลยทั้งสามร่วมกับจำเลยที่ 4 ฆ่าผู้ตายและภริยาผู้ตาย
จำเลยทั้งสี่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288,83 กระทงหนึ่งให้จำคุกคนละ 20 ปี มาตรา 289(4),83 กระทงหนึ่งให้ประหารชีวิตและมาตรา 217,83 อีกกระทงหนึ่งให้จำคุกคนละ 4 ปีเมื่อลงโทษประหารชีวิตจำเลยทั้งสี่แล้วจึงไม่นำโทษจำคุกมารวมคงให้ประหารชีวิตจำเลยทั้งสี่สถานเดียว
จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 มิได้ร่วมยิงผู้ตาย แต่การเตรียมอาวุธไปด้วยและร่วมปรึกษาหารือกันมาก่อน เมื่อจำเลยที่ 4 ยิงภริยาผู้ตายแล้วจำเลยที่ 2 ก็ยังขับเรือตามหาผู้ตายต่อไปอีกจำเลยที่ 1 และที่ 3 ก็มิได้ทักท้วงห้ามปราม ถือว่าจำเลยทั้งสามร่วมกับจำเลยที่ 4 ฆ่าผู้ตายและภริยาผู้ตาย
จำเลยทั้งสี่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288,83 กระทงหนึ่งให้จำคุกคนละ 20 ปี มาตรา 289(4),83 กระทงหนึ่งให้ประหารชีวิตและมาตรา 217,83 อีกกระทงหนึ่งให้จำคุกคนละ 4 ปีเมื่อลงโทษประหารชีวิตจำเลยทั้งสี่แล้วจึงไม่นำโทษจำคุกมารวมคงให้ประหารชีวิตจำเลยทั้งสี่สถานเดียว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4308-4309/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อนและร่วมกันฆ่า: การลงโทษประหารชีวิตและบทบาทของผู้ร่วมกระทำ
จำเลยกับพวกโกรธผู้ตาย จึงเตรียมอาวุธไปที่บ้านผู้ตายเมื่อพบภริยาผู้ตายก็ยิงภริยาผู้ตายตาย แล้วตามผู้ตายไปจนพบกำลังรุนกุ้งในทะเลมิได้พูดจาไต่ถามอะไรก็ใช้อาวุธปืนยิงทันทีจนผู้ตายถึงแก่ความตายและยังจุดไฟเผาเรือเสียด้วยการที่จำเลยกับพวกฆ่าผู้ตายถือเป็นการฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน แต่ที่จำเลยกับพวกฆ่าภริยาผู้ตายด้วยอาจเป็นเพราะไม่พบผู้ตายจึงฆ่าเสียก่อน เป็นการฆ่าในทันทีทันใด ไม่ถือว่าเป็นการฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน
จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 มิได้ร่วมยิงผู้ตาย แต่การเตรียมอาวุธไปด้วยและร่วมปรึกษาหารือกันมาก่อน เมื่อจำเลยที่ 4 ยิงภริยาผู้ตายแล้วจำเลยที่ 2 ก็ยังขับเรือตามหาผู้ตายต่อไปอีกจำเลยที่ 1 และที่ 3 ก็มิได้ทักท้วงห้ามปราม ถือว่าจำเลยทั้งสามร่วมกับจำเลยที่ 4 ฆ่าผู้ตายและภริยาผู้ตาย
จำเลยทั้งสี่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 83 กระทงหนึ่งให้จำคุกคนละ 20 ปี มาตรา 289 (4), 83 กระทงหนึ่งให้ประหารชีวิตและมาตรา 217, 83 อีกกระทงหนึ่งให้จำคุกคนละ 4 ปีเมื่อลงโทษประหารชีวิตจำเลยทั้งสี่แล้วจึงไม่นำโทษจำคุกมารวมคงให้ประหารชีวิตจำเลยทั้งสี่สถานเดียว
จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 มิได้ร่วมยิงผู้ตาย แต่การเตรียมอาวุธไปด้วยและร่วมปรึกษาหารือกันมาก่อน เมื่อจำเลยที่ 4 ยิงภริยาผู้ตายแล้วจำเลยที่ 2 ก็ยังขับเรือตามหาผู้ตายต่อไปอีกจำเลยที่ 1 และที่ 3 ก็มิได้ทักท้วงห้ามปราม ถือว่าจำเลยทั้งสามร่วมกับจำเลยที่ 4 ฆ่าผู้ตายและภริยาผู้ตาย
จำเลยทั้งสี่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 83 กระทงหนึ่งให้จำคุกคนละ 20 ปี มาตรา 289 (4), 83 กระทงหนึ่งให้ประหารชีวิตและมาตรา 217, 83 อีกกระทงหนึ่งให้จำคุกคนละ 4 ปีเมื่อลงโทษประหารชีวิตจำเลยทั้งสี่แล้วจึงไม่นำโทษจำคุกมารวมคงให้ประหารชีวิตจำเลยทั้งสี่สถานเดียว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4293/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความประมาทเลินเล่อของเจ้าหน้าที่ในการถอนเงินและจ่ายเงินสด ทำให้เกิดการทุจริตและโจทก์ได้รับความเสียหาย
จำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นศึกษาธิการจังหวัดและผู้ช่วยศึกษาธิการจังหวัดตามลำดับ ได้ลงชื่อในใบถอน เงินฝากของสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดที่ฝากประจำไว้กับธนาคารจำเลยที่ 4เพื่อโอนเข้าบัญชีกระแสรายวันของสำนักงานศึกษาธิการจังหวัด ซึ่งมีอยู่แล้วที่ธนาคารจำเลยที่ 4 ทั้งนี้เพื่อปฏิบัติตามระเบียบของกระทรวงศึกษาธิการโจทก์ที่ 1 ว่าด้วยการจัดการกองทุนสงเคราะห์ ฯลฯโดยจำเลยที่ 2 ที่ 3 มอบฉันทะให้จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นข้าราชการครูช่วย ปฏิบัติงานสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดเป็นผู้รับเงินแทน แต่ใบถอน เงินดังกล่าวมิได้ระบุว่า เป็นการถอน เงินเพื่อโอนไปฝากในบัญชีกระแสรายวัน จึงเป็นใบถอน เงินเพื่อรับเงินสดไปจากธนาคาร แม้จำเลยที่ 2 จะได้ทำหนังสือแจ้งธนาคารจำเลยที่ 4 ขอถอน เงินกองทุนสงเคราะห์ฯ ในบัญชีเงินฝากประจำโอนเข้าบัญชีกระแสรายวันมอบให้จำเลยที่ 1 ไปก็ตาม แต่จำเลยที่ 1 มิได้ยื่นหนังสือดังกล่าวต่อธนาคาร เมื่อจำเลยที่ 1 ได้รับเงินแล้วก็หลบหนีไปการกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง เพราะเป็นช่องทางให้จำเลยที่ 1 ทุจริตเอาเงินที่ถอน ไปใช้เป็นประโยชน์ส่วนตัวได้โดยง่าย เนื่องจากธนาคารจำเลยที่ 4 ต้องจ่ายเป็นเงินสดให้จำเลยที่ 1 นอกจากนี้การมอบฉันทะให้จำเลยที่ 1 ไปถอน เงินเป็นจำนวนมากถึงหกแสน บาทเศษ จำเลยที่ 2 ที่ 3 กลับมอบฉันทะให้จำเลยที่ 1 เป็นผู้รับเงินแต่ผู้เดียว จึงเป็นความประมาทเลินเล่อยิ่งขึ้น แม้ตามระเบียบจำเลยที่ 2 ที่ 3 มีหน้าที่ไปถอน เงินด้วยตนเอง เพราะมีอำนาจหน้าที่ลงนามเป็นผู้ถอน เงิน จำเลยที่ 2 ที่ 3 ก็อาจมอบฉันทะให้ผู้อื่นทำการแทนได้แต่จะต้องควบคุมดูแล และใช้วิธีการที่รัดกุม รอบคอบ เพื่อป้องกันมิให้เกิดการทุจริตขึ้นได้ เมื่อจำเลยที่ 2 ที่ 3 กระทำโดยประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง เปิดช่องให้จำเลยที่ 1 ถอน เงินแล้วเอาเงินสดหลบหนีไปโดยทุจริต จำเลยที่ 2ที่ 3 จึงกระทำละเมิดต่อโจทก์ ทำให้โจทก์เสียหาย ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ด้วย สำหรับธนาคารจำเลยที่ 4 กับจำเลยที่ 5 ซึ่งเป็นผู้จัดการประจำสำนักงานสาขาของจำเลยที่ 4 และจำเลยที่ 6 สมุห์บัญชีนั้นปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ได้นำใบถอน เงินซึ่งจำเลยที่ 2 ที่ 3 มอบฉันทะโดยถูกต้องแล้วมายื่นต่อธนาคารเพื่อขอรับเงินสด โดยมิได้ยื่นหนังสือของจำเลยที่ 2 ที่ให้นำเงินเข้าฝากในบัญชีกระแสรายวันการที่จำเลยที่ 4 โดยจำเลยที่ 6 จ่ายเงินสดให้จำเลยที่ 1 ไป จึงเป็นการกระทำตามหน้าที่ มิได้ประมาทเลินเล่อ.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4293/2530 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ละเมิดจากความประมาทเลินเล่อในการถอนเงิน-จ่ายเช็ค ธนาคารไม่มีความผิด
จำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นศึกษาธิการจังหวัดและผู้ช่วยศึกษาธิการจังหวัดตามลำดับ ได้ลงชื่อในใบถอนเงินฝากของสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดที่ฝากประจำไว้กับธนาคารจำเลยที่ 4 เพื่อโอนเข้าบัญชีกระแสรายวันของสำนักงานศึกษาธิการจังหวัด ซึ่งมีอยู่แล้วที่ธนาคารจำเลยที่ 4 ทั้งนี้เพื่อปฏิบัติตามระเบียบของกระทรวงศึกษาธิการโจทก์ที่ 1 ว่าด้วยการจัดการกองทุนสงเคราะห์ ฯลฯ โดยจำเลยที่ 2 ที่ 3 มอบฉันทะให้จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นข้าราชการครูช่วยปฏิบัติงานสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดเป็นผู้รับเงินแทนแต่ใบถอนเงินดังกล่าวมิได้ระบุว่า เป็นการถอนเงินเพื่อโอนไปฝากในบัญชีกระแสรายวัน จึงเป็นใบถอนเงินเพื่อรับเงินสดไปจากธนาคาร แม้จำเลยที่ 2 จะได้ทำหนังสือแจ้งธนาคารจำเลยที่ 4 ขอถอนเงินกองทุนสงเคราะห์ฯ ในบัญชีเงินฝากประจำโอนเข้าบัญชีกระแสรายวันมอบให้จำเลยที่ 1 ไปก็ตาม แต่จำเลยที่ 1 มิได้ยื่นหนังสือดังกล่าวต่อธนาคาร เมื่อจำเลยที่ 1 ได้รับเงินแล้วก็หลบหนีไป การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง เพราะเป็นช่องทางให้จำเลยที่ 1 ทุจริตเอาเงินที่ถอนไปใช้เป็นประโยชน์ส่วนตัวได้โดยง่าย เนื่องจากธนาคารจำเลยที่ 4 ต้องจ่ายเป็นเงินสดให้จำเลยที่ 1 นอกจากนี้การมอบฉันทะให้จำเลยที่ 1 ไปถอนเงินเป็นจำนวนมากถึงหกแสนบาทเศษ จำเลยที่ 2 ที่ 3 กลับมอบฉันทะให้จำเลยที่ 1 เป็นผู้รับเงินแต่ผู้เดียว จึงเป็นความประมาทเลินเล่อยิ่งขึ้น แม้ตามระเบียบจำเลยที่ 2 ที่ 3 มีหน้าที่ไปถอนเงินด้วยตนเอง เพราะมีอำนาจหน้าที่ลงนามเป็นผู้ถอนเงิน จำเลยที่ 2 ที่ 3 ก็อาจมอบฉันทะให้ผู้อื่นทำการแทนได้ แต่จะต้องควบคุมดูแล และใช้วิธีการที่รัดกุม รอบคอบ เพื่อป้องกันมิให้เกิดการทุจริตขึ้นได้ เมื่อจำเลยที่ 2 ที่ 3 กระทำโดยประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง เปิดช่องให้จำเลยที่ 1 ถอนเงินแล้วเอาเงินสดหลบหนีไปโดยทุจริต จำเลยที่ 2 ที่ 3 จึงกระทำละเมิดต่อโจทก์ทำให้โจทก์เสียหาย ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ด้วย
สำหรับธนาคารจำเลยที่ 4 กับจำเลยที่ 5 ซึ่งเป็นผู้จัดการประจำสำนักงานสาขาของจำเลยที่ 4 และจำเลยที่ 6 สมุห์บัญชีนั้น ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ได้นำใบถอนเงินซึ่งจำเลยที่ 2 ที่ 3 มอบฉันทะโดยถูกต้องแล้วมายื่นต่อธนาคารเพื่อขอรับเงินสด โดยมิได้ยื่นหนังสือของจำเลยที่ 2 ที่ให้นำเงินเข้าฝากในบัญชีกระแสรายวัน การที่จำเลยที่ 4 โดยจำเลยที่ 6 จ่ายเงินสดให้จำเลยที่ 1 ไป จึงเป็นการกระทำตามหน้าที่ มิได้ประมาทเลินเล่อ.
สำหรับธนาคารจำเลยที่ 4 กับจำเลยที่ 5 ซึ่งเป็นผู้จัดการประจำสำนักงานสาขาของจำเลยที่ 4 และจำเลยที่ 6 สมุห์บัญชีนั้น ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ได้นำใบถอนเงินซึ่งจำเลยที่ 2 ที่ 3 มอบฉันทะโดยถูกต้องแล้วมายื่นต่อธนาคารเพื่อขอรับเงินสด โดยมิได้ยื่นหนังสือของจำเลยที่ 2 ที่ให้นำเงินเข้าฝากในบัญชีกระแสรายวัน การที่จำเลยที่ 4 โดยจำเลยที่ 6 จ่ายเงินสดให้จำเลยที่ 1 ไป จึงเป็นการกระทำตามหน้าที่ มิได้ประมาทเลินเล่อ.