พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,197 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4293/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความประมาทเลินเล่อของเจ้าหน้าที่ในการถอนเงินและจ่ายเงินสด ทำให้เกิดการทุจริตและโจทก์ได้รับความเสียหาย
จำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นศึกษาธิการจังหวัดและผู้ช่วยศึกษาธิการจังหวัดตามลำดับ ได้ลงชื่อในใบถอน เงินฝากของสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดที่ฝากประจำไว้กับธนาคารจำเลยที่ 4เพื่อโอนเข้าบัญชีกระแสรายวันของสำนักงานศึกษาธิการจังหวัด ซึ่งมีอยู่แล้วที่ธนาคารจำเลยที่ 4 ทั้งนี้เพื่อปฏิบัติตามระเบียบของกระทรวงศึกษาธิการโจทก์ที่ 1 ว่าด้วยการจัดการกองทุนสงเคราะห์ ฯลฯโดยจำเลยที่ 2 ที่ 3 มอบฉันทะให้จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นข้าราชการครูช่วย ปฏิบัติงานสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดเป็นผู้รับเงินแทน แต่ใบถอน เงินดังกล่าวมิได้ระบุว่า เป็นการถอน เงินเพื่อโอนไปฝากในบัญชีกระแสรายวัน จึงเป็นใบถอน เงินเพื่อรับเงินสดไปจากธนาคาร แม้จำเลยที่ 2 จะได้ทำหนังสือแจ้งธนาคารจำเลยที่ 4 ขอถอน เงินกองทุนสงเคราะห์ฯ ในบัญชีเงินฝากประจำโอนเข้าบัญชีกระแสรายวันมอบให้จำเลยที่ 1 ไปก็ตาม แต่จำเลยที่ 1 มิได้ยื่นหนังสือดังกล่าวต่อธนาคาร เมื่อจำเลยที่ 1 ได้รับเงินแล้วก็หลบหนีไปการกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง เพราะเป็นช่องทางให้จำเลยที่ 1 ทุจริตเอาเงินที่ถอน ไปใช้เป็นประโยชน์ส่วนตัวได้โดยง่าย เนื่องจากธนาคารจำเลยที่ 4 ต้องจ่ายเป็นเงินสดให้จำเลยที่ 1 นอกจากนี้การมอบฉันทะให้จำเลยที่ 1 ไปถอน เงินเป็นจำนวนมากถึงหกแสน บาทเศษ จำเลยที่ 2 ที่ 3 กลับมอบฉันทะให้จำเลยที่ 1 เป็นผู้รับเงินแต่ผู้เดียว จึงเป็นความประมาทเลินเล่อยิ่งขึ้น แม้ตามระเบียบจำเลยที่ 2 ที่ 3 มีหน้าที่ไปถอน เงินด้วยตนเอง เพราะมีอำนาจหน้าที่ลงนามเป็นผู้ถอน เงิน จำเลยที่ 2 ที่ 3 ก็อาจมอบฉันทะให้ผู้อื่นทำการแทนได้แต่จะต้องควบคุมดูแล และใช้วิธีการที่รัดกุม รอบคอบ เพื่อป้องกันมิให้เกิดการทุจริตขึ้นได้ เมื่อจำเลยที่ 2 ที่ 3 กระทำโดยประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง เปิดช่องให้จำเลยที่ 1 ถอน เงินแล้วเอาเงินสดหลบหนีไปโดยทุจริต จำเลยที่ 2ที่ 3 จึงกระทำละเมิดต่อโจทก์ ทำให้โจทก์เสียหาย ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ด้วย สำหรับธนาคารจำเลยที่ 4 กับจำเลยที่ 5 ซึ่งเป็นผู้จัดการประจำสำนักงานสาขาของจำเลยที่ 4 และจำเลยที่ 6 สมุห์บัญชีนั้นปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ได้นำใบถอน เงินซึ่งจำเลยที่ 2 ที่ 3 มอบฉันทะโดยถูกต้องแล้วมายื่นต่อธนาคารเพื่อขอรับเงินสด โดยมิได้ยื่นหนังสือของจำเลยที่ 2 ที่ให้นำเงินเข้าฝากในบัญชีกระแสรายวันการที่จำเลยที่ 4 โดยจำเลยที่ 6 จ่ายเงินสดให้จำเลยที่ 1 ไป จึงเป็นการกระทำตามหน้าที่ มิได้ประมาทเลินเล่อ.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4238/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การริบของกลางในคดีวิทยุคมนาคมผิดกฎหมาย: ศาลยืนตามอุทธรณ์ให้ริบทรัพย์ที่เกี่ยวข้อง
เมื่อศาลพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานมีเครื่องวิทยุคมนาคมและส่วนใด ๆ แห่งเครื่องวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับอนุญาต บรรดาเครื่องวิทยุคมนาคมหรือส่วนใด ๆ แห่งเครื่องวิทยุคมนาคมที่จำเลยมีไว้โดยยังมิได้รับอนุญาตจึงเป็นทรัพย์ที่มีไว้เป็นความผิดและต้องริบตามมาตรา 22 แห่งพระราชบัญญัติวิทยุคมนาคมพ.ศ. 2498
ฎีกาของจำเลยว่าทรัพย์สองรายการตามบัญชีทรัพย์ของโจทก์ไม่ได้เกี่ยวข้องหรือใช้ประกอบเครื่องวิทยุคมนาคมในการสื่อสารจึงไม่ใช่ส่วนใด ๆ แห่งเครื่องวิทยุคมนาคมนั้นเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ฎีกาของจำเลยว่าทรัพย์สองรายการตามบัญชีทรัพย์ของโจทก์ไม่ได้เกี่ยวข้องหรือใช้ประกอบเครื่องวิทยุคมนาคมในการสื่อสารจึงไม่ใช่ส่วนใด ๆ แห่งเครื่องวิทยุคมนาคมนั้นเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4238/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การริบเครื่องวิทยุคมนาคมและส่วนประกอบที่ใช้โดยไม่ได้รับอนุญาตตาม พ.ร.บ.วิทยุคมนาคม
เมื่อศาลพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานมีเครื่องวิทยุคมนาคมและส่วนใด ๆ แห่งเครื่องวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับอนุญาต บรรดาเครื่องวิทยุคมนาคมหรือส่วนใด ๆ แห่งเครื่องวิทยุคมนาคมที่จำเลยมีไว้โดยยังมิได้รับอนุญาตจึงเป็นทรัพย์ที่มีไว้เป็นความผิดและต้องริบตามมาตรา 22 แห่งพระราชบัญญัติวิทยุคมนาคม พ.ศ. 2498
ฎีกาของจำเลยว่าทรัพย์สองรายการตามบัญชีทรัพย์ของโจทก์ไม่ได้เกี่ยวข้องหรือใช้ประกอบเครื่องวิทยุคมนาคมในการสื่อสารจึงไม่ใช่ส่วนใด ๆ แห่งเครื่องวิทยุคมนาคมนั้นเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ฎีกาของจำเลยว่าทรัพย์สองรายการตามบัญชีทรัพย์ของโจทก์ไม่ได้เกี่ยวข้องหรือใช้ประกอบเครื่องวิทยุคมนาคมในการสื่อสารจึงไม่ใช่ส่วนใด ๆ แห่งเครื่องวิทยุคมนาคมนั้นเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4232/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อุทธรณ์ต้องห้ามในความผิดฐานบุกรุกและทำให้เสียทรัพย์ ศาลฎีกายืนตามศาลล่าง
ข้อหากระทงความผิดฐานบุกรุกตาม ป.อ. มาตรา 365 ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโดยอาศัยข้อเท็จจริง คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงไม่ได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 220 แม้ฎีกาของโจทก์ร่วมจะเป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย แต่ศาลฎีกาต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมาแล้วว่า การกระทำของจำเลยยังไม่มีเจตนากระทำความผิด เช่นนี้ ฎีกาข้อกฎหมายของโจทก์ร่วมไม่ว่าจะมีข้อโต้แย้งประการใด ก็ไม่อาจทำให้ศาลฎีกาลงโทษจำเลยได้ โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานทำให้เสียทรัพย์และฐานบุกรุกแยกกระทงกันมา การพิจารณาสิทธิในการอุทธรณ์ต้องแยกพิจารณาเป็นรายกระทงความผิด ความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ มีโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกพัน บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโดยอาศัยข้อเท็จจริง โจทก์ร่วมจึงอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงไม่ได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 193 ทวิ.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4157/2530 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ระยะเวลาการยื่นฎีกา: การอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ถึงจำเลยโดยตรงเป็นจุดเริ่มต้นนับระยะเวลา
ศาลจังหวัดนนทบุรีอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้จำเลยฟังเมื่อวันที่ 8 กันยายน 2527 แม้ต่อมาศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้โจทก์และทนายจำเลยฟังอีกครั้งเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2527 ดังนี้ ก็ต้องถือว่าศาลได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้จำเลยฟังตั้งแต่วันที่ 8 กันยายน 2527 ไม่ใช่วันที่อ่านให้ทนายจำเลยฟังเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2527 จำเลยจึงต้องยื่นฎีกาภายในวันที่ 8 ตุลาคม 2527 การที่ทนายจำเลยยื่นฎีกาวันที่ 30 ตุลาคม 2527 จึงเป็นเวลาเกินหนึ่งเดือนนับแต่วันที่ศาลได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้จำเลยฟัง ล่วงเลยระยะเวลาที่จำเลยมีอำนาจฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์แล้ว ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4157/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนับระยะเวลาฎีกา: วันที่อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้จำเลยฟังเป็นสำคัญ
ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้จำเลยฟังเมื่อวันที่ 8กันยายน 2527 ต่อมาอ่านให้โจทก์และทนายจำเลยฟังอีกครั้งเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2527 ดังนี้ ต้องถือว่าศาลได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้จำเลยฟังตั้งแต่วันที่ 8 กันยายน 2527 ไม่ใช่วันที่30 กันยายน 2527 จำเลยจึงต้องยื่นฎีกาภายในวันที่ 8 ตุลาคม 2527.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4157/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ระยะเวลาการยื่นฎีกา: เริ่มนับจากวันที่ศาลอ่านคำพิพากษาให้จำเลยฟังโดยตรง
ศาลจังหวัดนนทบุรีอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้จำเลยฟังเมื่อวันที่ 8 กันยายน 2527 แม้ต่อมาศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้โจทก์และทนายจำเลยฟังอีกครั้งเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2527ดังนี้ ก็ต้องถือว่าศาลได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้จำเลยฟังตั้งแต่วันที่ 8 กันยายน 2527 ไม่ใช่วันที่อ่านให้ทนายจำเลยฟังเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2527 จำเลยจึงต้องยื่นฎีกาภายในวันที่ 8 ตุลาคม 2527 การที่ทนายจำเลยยื่นฎีกาวันที่ 30 ตุลาคม2527 จึงเป็นเวลาเกินหนึ่งเดือนนับแต่วันที่ศาลได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้จำเลยฟัง ล่วงเลยระยะเวลาที่จำเลยมีอำนาจฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์แล้ว ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4140/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานทำร้ายร่างกายและฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา แม้ไม่มีเจตนาตั้งแต่ต้น ศาลลงโทษตามบทหนัก
จำเลยทั้งสี่กับนายแม้วร่วมกับพวกพากันไปทำร้ายผู้อื่น เมื่อไปถึงที่เกิดเหตุมีการต่อสู้ชกต่อยกันแต่ฝ่ายจำเลยสู้ไม่ได้ ขณะที่ฝ่ายจำเลยกำลังหลบหนีออกไปจากที่เกิดเหตุ นายแม้วใช้อาวุธปืนยิงอีกฝ่ายซึ่งไล่ตามมา กระสุนปืนถูกผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บ บาดเจ็บสาหัสและถูก ส. ถึงแก่ความตาย ดังนี้ เมื่อฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสี่รู้ว่านายแม้วมีอาวุธปืนไปด้วย ขณะวิวาทชกต่อยกันก็ไม่มีการใช้อาวุธใด ๆ จึงฟังไม่ได้ว่าการที่นายแม้วใช้อาวุธปืนยิงนั้นจำเลยทั้งสี่มีเจตนาร่วมกระทำผิดด้วย จำเลยทั้งสี่ไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80 ตามที่โจทก์ฟ้อง แต่มีความผิดตามมาตรา 290, 295 และ 297 การกระทำของจำเลยทั้งสี่เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ต้องลงโทษตามมาตรา 290 ซึ่งเป็นบทหนัก และศาลมีอำนาจลงโทษจำเลยทั้งสี่ตามมาตรา 290 ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4140/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนถึงแก่ความตาย เจตนาของผู้ร่วมกระทำผิดและการลงโทษตามบทหนัก
จำเลยทั้งสี่กับนายแม้วร่วมกับพวกพากันไปทำร้ายผู้อื่นเมื่อไปถึงที่เกิดเหตุมีการต่อสู้ชกต่อยกันแต่ฝ่ายจำเลยสู้ไม่ได้ ขณะที่ฝ่ายจำเลยกำลังหลบหนีออกไปจากที่เกิดเหตุ นายแม้วใช้อาวุธปืนยิงอีกฝ่ายซึ่งไล่ตามมา กระสุนปืนถูกผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บ บาดเจ็บสาหัสและถูก ส.ถึงแก่ความตายดังนี้เมื่อฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสี่รู้ว่านายแม้วมีอาวุธปืนไปด้วย ขณะวิวาทชกต่อยกันก็ไม่มีการใช้อาวุธใด ๆ จึงฟังไม่ได้ว่าการที่นายแม้วใช้อาวุธปืนยิงนั้นจำเลยทั้งสี่มีเจตนาร่วมกระทำผิดด้วย จำเลยทั้งสี่ไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288,80 ตามที่โจทก์ฟ้อง แต่มีความผิดตามมาตรา 290,295 และ 297 การกระทำของจำเลยทั้งสี่เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ต้องลงโทษตามมาตรา 290 ซึ่งเป็นบทหนัก และศาลมีอำนาจลงโทษจำเลยทั้งสี่ตามมาตรา 290 ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 192
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4096/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คดีต้องห้ามอุทธรณ์ปัญหาข้อเท็จจริงตามมาตรา 224 พ.ร.บ.วิธีพิจารณาความแพ่ง กรณีค่าเช่าอาคารต่ำกว่าเกณฑ์
การที่โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากอาคารพิพาท และให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 20,000 บาทนั้น เมื่อโจทก์เรียกค่าเสียหายมาเป็นส่วนหนึ่งของการฟ้องขับไล่ มิได้เรียกมาอย่างเอกเทศในข้อหาอื่น และขณะยื่นคำฟ้องปรากฏว่าอาคารพิพาทมีค่าเช่าไม่ถึงเดือนละ 2,000 บาท จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224
ในคดีที่ต้องห้ามอุทธรณ์ปัญหาข้อเท็จจริง แม้ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงให้ก็เป็นการไม่ชอบ ถือว่าข้อเท็จจริงดังกล่าวมิใช่ข้อที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 เช่นเดียวกับฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์
แม้จำเลยจะได้ทำสัญญาเช่าอาคารพิพาทกับเจ้าของอาคารซึ่งได้เลิกสัญญาเช่ากับโจทก์แล้วก็ตาม แต่เมื่อโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยก่อนที่จำเลยจะทำสัญญาเช่ากับเจ้าของอาคารโดยขณะนั้นโจทก์ยังเป็นผู้เช่าอาคารพิพาทอยู่จำเลยจึงหาอาจยกสัญญาเช่าของจำเลยมาเป็นข้อต่อสู้ไม่ยอมออกจากอาคารพิพาทที่จำเลยอาศัยอยู่โดยสิทธิของโจทก์ได้ไม่.
ในคดีที่ต้องห้ามอุทธรณ์ปัญหาข้อเท็จจริง แม้ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงให้ก็เป็นการไม่ชอบ ถือว่าข้อเท็จจริงดังกล่าวมิใช่ข้อที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 เช่นเดียวกับฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์
แม้จำเลยจะได้ทำสัญญาเช่าอาคารพิพาทกับเจ้าของอาคารซึ่งได้เลิกสัญญาเช่ากับโจทก์แล้วก็ตาม แต่เมื่อโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยก่อนที่จำเลยจะทำสัญญาเช่ากับเจ้าของอาคารโดยขณะนั้นโจทก์ยังเป็นผู้เช่าอาคารพิพาทอยู่จำเลยจึงหาอาจยกสัญญาเช่าของจำเลยมาเป็นข้อต่อสู้ไม่ยอมออกจากอาคารพิพาทที่จำเลยอาศัยอยู่โดยสิทธิของโจทก์ได้ไม่.