คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
สมศักดิ์ เกิดลาภผล

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,197 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2404/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้าราชการใช้รถราชการเกิดอุบัติเหตุ ไม่ติดตามรถคู่กรณีเพื่อหาตัวผู้รับผิด ไม่ถือเป็นการละเมิด
จำเลยเป็นข้าราชการในกรมโจทก์ ขณะเกิดเหตุจำเลยใช้รถยนต์ของโจทก์เป็นยานพาหนะเดินทางไปตรวจราชการ โดยมี พ. เป็นพนักงานขับรถ ระหว่างทางถูกรถบรรทุกสิบล้อเฉี่ยว ชน จำเลยและ พ.ต่างไม่ทราบหมายเลขทะเบียนรถบรรทุกสิบล้อคันนั้น และไม่ทราบว่าคนขับรถบรรทุกเป็นใคร เกิดเหตุแล้ว พ. จอดรถตรวจดู ความเสียหายและเก็บเศษกระจกรถทิ้งอยู่พักหนึ่ง คนขับรถบรรทุกได้ขับหลบหนีไปไกลแล้วถึงหากจำเลยจะติดตามไปเพื่อหาตัวผู้รับผิดมาชดใช้ค่าเสียหายก็ไม่เป็นการแน่นอนว่าจำเลยจะกระทำได้สำเร็จ แม้คำสั่งกรมที่ดิน 536/2516 ข้อ 13 จะระบุให้ผู้ใช้รถสอบสวนให้ได้ตัวผู้รับผิดมาชดใช้ค่าเสียหายก็ตาม การที่จำเลยไม่ติดตามรถบรรทุกไปในพฤติการณ์เช่นนี้ ไม่อาจฟังได้ว่าจำเลยไม่สอบสวนหาตัวผู้กระทำผิดถึงขนาดที่จะถือว่าจำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2404/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้าราชการละเมิดหน้าที่หรือไม่ กรณีรถราชการถูกชนแล้วไม่ได้ติดตามรถคู่กรณีเพื่อหาตัวผู้รับผิด
จำเลยเป็นข้าราชการกรมโจทก์และใช้รถยนต์ของโจทก์เป็นยานพาหนะเดินทางไปตรวจราชการต่างจังหวัด ระหว่างทางรถยนต์ถูกรถบรรทุกเฉี่ยวชน เกิดเหตุแล้วคนขับรถคันของจำเลยได้จอดรถตรวจตราความเสียหายและเก็บเศษกระจกรถทิ้ง ส่วนรถบรรทุกได้ขับหลบหนีไปด้วยความเร็วสูง และไปไกลจนถึงหากจำเลยจะสั่งให้ขับรถติดตามไปก็ไม่แน่ว่าจะพบรถบรรทุกคันดังกล่าวหรือไม่ ดังนี้แม้คำสั่งของโจทก์จะระบุให้ผู้ใช้รถสอบสวนให้ได้ตัวผู้รับผิดมาชดใช้ค่าเสียหายก็ตามการที่จำเลยไม่ติดตามรถบรรทุกไปในพฤติการณ์เช่นนี้ ก็ไม่อาจฟังได้ว่าจำเลยเพิกเฉยไม่ปฏิบัติหน้าที่เพื่อหาตัวผู้กระทำความผิดมาชดใช้ค่าเสียหายถึงขนาดที่จะถือว่าจำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2377/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบังคับคดีตามคำพิพากษาให้แบ่งแยกที่ดินตามข้อตกลงเดิม ศาลถือว่าการรังวัดตามข้อตกลงถูกต้องแล้ว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ ส. กับ ก. เป็นเจ้าของรวมที่ดินพิพาทบุคคลทั้งสามตกลงแบ่งแยกที่ดินดังกล่าว ต่อมาจำเลยรับโอนกรรมสิทธิ์ในส่วนของ ก.แต่ไม่ยอมไปจัดการแบ่งแยกที่ดินตามข้อตกลง ขอให้ศาลบังคับจำเลย คดีถึงที่สุดโดยศาลพิพากษาให้จำเลยไปจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินพิพาท หากไม่ปฏิบัติตาม ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย เช่นนี้ การที่ศาลพิพากษาให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยแสดงว่าให้แบ่งตามความตกลงตามฟ้องมิใช่แบ่งตามลำดับและวิธีการในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1364 ดังนั้น การที่โจทก์นำเจ้าพนักงานที่ดินไปรังวัดแบ่งแยกที่ดินพิพาทโดยยึดถือส่วนในโฉนดและความตกลงตามแผนที่แบ่งกรรมสิทธิ์รวม จึงเป็นการถูกต้องตามคำพิพากษาแล้ว.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2364/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องเรียกเงินตามสัญญาเบิกเกินบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ โดยไม่จำเป็นต้องบรรยายสถานะสมาชิกตลาดหลักทรัพย์
โจทก์ฟ้องเรียกเงินตามสัญญาเบิกเกินบัญชีที่โจทก์ออกแทนจำเลยไปในการซื้อหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ โดยบรรยายฟ้องถึงวันเวลาที่จำเลยทำสัญญากับโจทก์ วิธีการสั่งซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ตามสำเนาหนังสือสัญญาและสำเนาบัญชียอดหนี้ที่จำเลยค้างชำระท้ายฟ้องซึ่งเป็นการแสดงถึงวันที่จำเลยแต่งตั้งโจทก์ให้เป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ โจทก์ทำการเป็นนายหน้าและจ่ายเงินแทนจำเลย รวมทั้งข้อตกลงที่โจทก์จำเลยจะตัดทอนบัญชีอันเกิดจากการซื้อขายหลักทรัพย์ที่โจทก์เป็นตัวแทนซื้อขายหลักทรัพย์ให้จำเลย เมื่อโจทก์อ้างว่าจำเลยผิดสัญญาดังกล่าว โจทก์ไม่จำต้องบรรยายว่าโจทก์มีสิทธิซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์โดยโจทก์เป็นสมาชิกในตลาดหลักทรัพย์เพราะเป็นเพียงรายละเอียดที่โจทก์อาจนำสืบในชั้นพิจารณา คำฟ้องของโจทก์แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแพ่งข้อหาและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาจึงไม่เคลือบคลุม.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2364/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความชัดเจนของคำฟ้องสัญญาเบิกเกินบัญชีและอำนาจฟ้องของบริษัทหลักทรัพย์
โจทก์ฟ้องเรียกเงินตามสัญญาเบิกเกินบัญชีที่โจทก์ออกแทนจำเลยไปในการซื้อหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ โดยบรรยายฟ้องถึงวันเวลาที่จำเลยทำสัญญากับโจทก์ วิธีการสั่งซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ตามสำเนาหนังสือสัญญาและสำเนาบัญชียอดหนี้ที่จำเลยค้างชำระท้ายฟ้องซึ่งเป็นการแสดงถึงวันที่จำเลยแต่งตั้งโจทก์ให้เป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ โจทก์ทำการเป็นนายหน้าและจ่ายเงินแทนจำเลย รวมทั้งข้อตกลงที่โจทก์จำเลยจะตัดทอนบัญชีอันเกิดจากการซื้อขายหลักทรัพย์ที่โจทก์เป็นตัวแทนซื้อขายหลักทรัพย์ให้จำเลย เมื่อโจทก์อ้างว่าจำเลยผิดสัญญาดังกล่าว โจทก์ไม่จำต้องบรรยายว่าโจทก์มีสิทธิซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์โดยโจทก์เป็นสมาชิกในตลาดหลักทรัพย์เพราะเป็นเพียงรายละเอียดที่โจทก์อาจนำสืบในชั้นพิจารณา คำฟ้องของโจทก์แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแพ่งข้อหาและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหา จึงไม่เคลือบคลุม.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2358/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาฆ่าร่วมกันทำร้าย: การประเมินความรับผิดของตัวการร่วมเมื่อไม่ได้คาดการณ์เหตุ
จำเลยที่ 2 และที่ 3 รุมชกต่อยผู้ตายในขณะเกิดเหตุชุลมุนระหว่างพวกจำเลยที่ 1 กับพวกผู้ตาย แล้วจำเลยที่ 1 หยิบมีดที่ตกอยู่บนพื้นแทงผู้ตายถึงแก่ความตาย โดยจำเลยที่ 2 และที่3 ไม่อาจคาดคะเนได้ล่วงหน้าว่าจำเลยที่ 1 จะใช้มีดแทงผู้ตาย ทั้งไม่อาจเล็งเห็นได้ว่าผู้ตายจะถูกทำร้ายจนถึงแก่ความตาย และการที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ไม่ขัดขวางห้ามปรามจำเลยที่ 1 ก็มิใช่เป็นข้อบ่งชี้ว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 มีเจตนาฆ่าผู้ตาย ดังนี้ จำเลยที่ 2 และที่ 3 จึงไม่มีความผิดฐานเป็นตัวการฆ่าผู้ตายคงรับผิดเฉพาะเป็นตัวการทำร้ายผู้ตายตามมาตรา 290 เท่านั้น.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2358/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาฆ่าร่วม การทำร้ายร่างกายชุลมุน และขอบเขตความรับผิดชอบของตัวการ
จำเลยที่ 2 และที่ 3 รุม ชก ต่อยผู้ตายในขณะเกิดเหตุชุลมุนระหว่างพวกจำเลยที่ 1 กับพวกผู้ตาย แล้วจำเลยที่ 1 หยิบมีดที่ตก อยู่ บนพื้นแทงผู้ตายถึงแก่ความตาย โดยจำเลยที่ 2 และที่ 3 ไม่อาจคาดคะเนได้ล่วงหน้าว่าจำเลยที่ 1 จะใช้มีดแทงผู้ตาย ทั้งไม่อาจเล็งเห็นได้ว่าผู้ตายจะถูกทำร้ายจนถึงแก่ความตาย และการที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ไม่ขัดขวางห้ามปรามจำเลยที่ 1 ก็มิใช่เป็นข้อบ่งชี้ว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 มีเจตนาฆ่าผู้ตาย ดังนี้ จำเลยที่ 2 และที่ 3 จึงไม่มีความผิดฐานเป็นตัวการฆ่าผู้ตายคงรับผิดเฉพาะ เป็นตัวการทำร้ายผู้ตายตามมาตรา 290 เท่านั้น.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2318-2319/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิพาทเกี่ยวกับสัญชาติ: การแจ้งชื่อในทะเบียนบ้านคนญวนอพยพไม่ทำให้สัญชาติไทยสิ้นสุด
โจทก์เป็นคนมีสัญชาติไทยตามกฎหมาย แม้บิดามารดาของโจทก์จะไปแจ้งให้เจ้าหน้าที่จดแจ้งชื่อโจทก์เข้าในทะเบียนบ้านคนญวนอพยพก็ไม่ทำให้โจทก์ต้องสูญเสียสัญชาติไทยและกลายเป็นคนสัญชาติญวน
ก่อนฟ้องโจทก์และมารดาได้ขอให้เจ้าหน้าที่เพิกถอนชื่อโจทก์ออกจากทะเบียนบ้านคนญวนอพยพ แต่เจ้าหน้าที่ไม่จัดการให้โดยโต้แย้งว่าโจทก์เป็นคนต่างด้าว เช่นนี้ ย่อมถือได้ว่าจำเลยได้โต้แย้งสิทธิของโจทก์แล้ว โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2318-2319/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญชาติไทยไม่สูญเสียแม้ชื่อปรากฏในทะเบียนบ้านคนญวนอพยพ การโต้แย้งสิทธิทำให้มีอำนาจฟ้อง
โจทก์เป็นคนมีสัญชาติไทยตามกฎหมาย แม้บิดามารดาของโจทก์จะไปแจ้งให้เจ้าหน้าที่จดแจ้งชื่อโจทก์เข้าในทะเบียนบ้านคนญวนอพยพก็ไม่ทำให้โจทก์ต้องสูญเสียสัญชาติไทยและกลายเป็นคนสัญชาติญวน
ก่อนฟ้องโจทก์และมารดาได้ขอให้เจ้าหน้าที่เพิกถอนชื่อโจทก์ออกจากทะเบียนบ้านคนญวนอพยพ แต่เจ้าหน้าที่ไม่จัดการให้โดยโต้แย้งว่าโจทก์เป็นคนต่างด้าว เช่นนี้ ย่อมถือได้ว่าจำเลยได้โต้แย้งสิทธิของโจทก์แล้ว โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2292-2293/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คดีทุนทรัพย์ไม่เกิน 50,000 บาท ที่ศาลอุทธรณ์แก้คำพิพากษา จำเลยฎีกาไม่ได้อุทธรณ์เรื่องข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามฎีกา
คดีที่มีทุนทรัพย์ที่พิพาทไม่เกิน 50,000 บาท ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1, ที่ 2 และที่ 4 ใช้ค่าเสียหายจำนวน 37,000 บาท แก่โจทก์ที่ 2 ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าโจทก์ถอนฟ้องจำเลยที่ 1 แล้วพิพากษาแก้เป็นว่าไม่บังคับให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้ตามฟ้อง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นดังนี้ คดีต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง
ฎีกาว่าศาลชั้นต้นสั่งตัดพยานจำเลยที่ขอส่งประเด็นไปสืบที่ศาลอื่นทำให้จำเลยเสียเปรียบไม่มีโอกาสต่อสู้คดีได้เต็มภาคภูมิ และศาลชั้นต้นกำหนดค่าเสียหายสูงเกินไป เป็นฎีกาโต้แย้งดุลพินิจของศาลชั้นต้นเกี่ยวกับการส่งประเด็นและการกำหนดค่าเสียหาย จึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง.
of 120