พบผลลัพธ์ทั้งหมด 206 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4454/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาจ้างทนายความทวงหนี้ ค่าจ้างคิดเป็นร้อยละของหนี้ ไม่ใช่การแบ่งทรัพย์สินจากคดี
สัญญาที่จำเลยจ้างโจทก์ซึ่งเป็นทนายความให้ทวงหนี้จากสมาชิกจำเลยนอกศาลโดยคิดค่าจ้างร้อยละ 5 ของยอดหนี้ที่ทวงได้นั้นเป็นเพียงอาศัยเป็นเกณฑ์คำนวณค่าจ้างทวงถามหนี้สินว่าจะเรียกร้องค่าจ้างคิดเป็นร้อยละเท่าใดของหนี้ที่ทวงได้เท่านั้นหาใช่เป็นสัญญาแบ่งเอาส่วนจากทรัพย์สินที่มูลพิพาทที่ลูกความจะพึงได้รับเมื่อชนะคดีไม่และมิใช่เป็นการจ้างโจทก์ให้เป็นทนายความดำเนินคดี สัญญาดังกล่าวจึงตกลงกันได้เพราะไม่มีกฎหมายห้าม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4419/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลแขวงในคดีอาญาที่มีคำขอเรียกทรัพย์สิน และสิทธิของโจทก์ร่วม
คดีที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยต่อศาลแขวงในความผิดฐานยักยอก และมีคำขอในส่วนแพ่งให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์เกินกว่า 10,000 บาทแก่ผู้เสียหายได้ เมื่อผู้เสียหายเข้าเป็นโจทก์ร่วม โจทก์ร่วมไม่อาจถือเอาคำขอในส่วนแพ่งของพนักงานอัยการเป็นคำขอของตนได้ เพราะหากผู้เสียหายเป็นโจทก์ฟ้องคดีเองแล้วย่อมไม่มีสิทธิยื่นคำขอในส่วนแพ่งอันมีทุนทรัพย์เกินกว่า 10,000 บาท ต่อศาลแขวงได้เนื่องจากเกินอำนาจศาลแขวงที่จะพิจารณาพิพากษา และเมื่อโจทก์ร่วมอุทธรณ์ฝ่ายเดียวย่อมไม่มีสิทธิอุทธรณ์คำพิพากษาที่จะให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ และศาลอุทธรณ์ก็ไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคำขอในส่วนนี้ด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4419/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลแขวงในคดีอาญาที่มีคำขอเรียกทรัพย์สิน และสิทธิของโจทก์ร่วมในการอุทธรณ์
++ เรื่อง ยักยอก ++
++ จำเลยฎีกา
++ คำพิพากษาสั่งออก - รอย่อ - แจ้งการอ่านแล้ว
++ ขอสำเนาคำพิพากษาชุดพิเศษโปรดติดต่อห้องบริการสำเนาคำพิพากษา (ห้องสมุดชั้น 4, 5)
++
คดีที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยต่อศาลแขวงในความผิดฐานยักยอก และมีคำขอในส่วนแพ่งให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์เกินกว่า 10,000 บาท แก่ผู้เสียหายได้ เมื่อผู้เสียหายเข้าเป็นโจทก์ร่วม โจทก์ร่วมไม่อาจถือเอาคำขอในส่วนแพ่งของพนักงานอัยการเป็นคำขอของตนได้ เพราะหากผู้เสียหายเป็นโจทก์ฟ้องคดีเองแล้วย่อมไม่มีสิทธิยื่นคำขอในส่วนแพ่งอันมีทุนทรัพย์เกินกว่า 10,000 บาท ต่อศาลแขวงได้เนื่องจากเกินอำนาจศาลแขวงที่จะพิจารณาพิพากษา และเมื่อโจทก์ร่วมอุทธรณ์ฝ่ายเดียวย่อมไม่มีสิทธิอุทธรณ์คำพิพากษาที่จะให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ และศาลอุทธรณ์ก็ไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคำขอในส่วนนี้ด้วย
++ จำเลยฎีกา
++ คำพิพากษาสั่งออก - รอย่อ - แจ้งการอ่านแล้ว
++ ขอสำเนาคำพิพากษาชุดพิเศษโปรดติดต่อห้องบริการสำเนาคำพิพากษา (ห้องสมุดชั้น 4, 5)
++
คดีที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยต่อศาลแขวงในความผิดฐานยักยอก และมีคำขอในส่วนแพ่งให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์เกินกว่า 10,000 บาท แก่ผู้เสียหายได้ เมื่อผู้เสียหายเข้าเป็นโจทก์ร่วม โจทก์ร่วมไม่อาจถือเอาคำขอในส่วนแพ่งของพนักงานอัยการเป็นคำขอของตนได้ เพราะหากผู้เสียหายเป็นโจทก์ฟ้องคดีเองแล้วย่อมไม่มีสิทธิยื่นคำขอในส่วนแพ่งอันมีทุนทรัพย์เกินกว่า 10,000 บาท ต่อศาลแขวงได้เนื่องจากเกินอำนาจศาลแขวงที่จะพิจารณาพิพากษา และเมื่อโจทก์ร่วมอุทธรณ์ฝ่ายเดียวย่อมไม่มีสิทธิอุทธรณ์คำพิพากษาที่จะให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ และศาลอุทธรณ์ก็ไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคำขอในส่วนนี้ด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4367/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การช่วยเหลือค่าทำศพไม่ใช่การยอมรับผิด ค่าเสียหายทางแพ่ง
เงินจำนวน 3,000 บาทที่จำเลยที่ 3 ช่วยค่าทำศพในขณะที่จำเลยที่ 3 มิได้ยอมรับผิดว่าการตายเกิดจากการกระทำละเมิดของจำเลยที่ 1 ผู้เป็นลูกจ้างของตน และมิได้มอบให้ในฐานะเป็นค่าเสียหายส่วนหนึ่ง แต่เป็นการให้ในลักษณะร่วมทำบุญอันเป็นสำนึกในด้านศีลธรรมและเรื่องการบุญการกุศลของจำเลยที่ 3 จำเลยที่ 4 ผู้รับประกันภัยจะนำมาหักกับจำนวนเงินค่าทำศพที่โจทก์ฟ้องเรียกร้องไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4366/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องคดีความรับผิดทางละเมิด: การรู้ถึงการละเมิดและตัวผู้รับผิดชอบทำให้เริ่มนับอายุความ
อธิบดีกรมตำรวจเป็นผู้แทนรับผิดชอบในการปฏิบัติราชการของกรมตำรวจ เมื่ออธิบดีกรมตำรวจได้ออกคำสั่งกำหนดสายงานของกรมตำรวจและมอบหมายหน้าที่ความรับผิดชอบให้รองอธิบดีและผู้ช่วยอธิบดีปฏิบัติราชการแทนอธิบดี การปฏิบัติราชการของผู้ช่วยอธิบดีกรมตำรวจภายในกรอบอำนาจตามคำสั่งดังกล่าวเป็นการปฏิบัติราชการแทนอธิบดีกรมตำรวจ มีผลเท่ากับเป็นการปฏิบัติราชการตามหน้าที่ของอธิบดีกรมตำรวจ การที่ผู้ช่วยอธิบดีกรมตำรวจในฐานะดังกล่าวรู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้ที่จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนคือจำเลยตั้งแต่วันที่ 13 กันยายน 2521 ถือได้ว่ากรมตำรวจโจทก์รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนคือจำเลยตั้งแต่วันดังกล่าวโจทก์ฟ้องคดีเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2523 คดีโจทก์จึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4270/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของนายจ้างต่อละเมิดของลูกจ้าง แม้ไม่ได้อยู่ในขอบเขตหน้าที่โดยตรง
จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างประจำรายเดือนของจำเลยที่ 3ตำแหน่งภารโรง ไม่มีหน้าที่ขับรถ จำเลยที่ 3 ให้จำเลยที่ 1 ไปช่วยราชการภายใต้บังคับบัญชาของจำเลยที่ 2 การที่จำเลยที่ 1 ลูกจ้างของจำเลยที่ 3 ขับรถไปเกิดเหตุละเมิดต่อโจทก์ตามคำสั่งของจำเลยที่ 2 ผู้บังคับบัญชาซึ่งได้รับมอบหมายจากจำเลยที่ 3 แม้การขับรถยนต์จะมิใช่งานในหน้าที่ซึ่งจำเลยที่ 3 จ้างจำเลยที่ 1 กระทำก็ตามก็ถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้ขับรถยนต์ดังกล่าวในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 3 จำเลยที่ 3 จะอ้างว่าได้จ้างจำเลยที่ 1 ให้ทำงานเป็นภารโรงไม่มีหน้าที่ขับรถยนต์ซึ่งเป็นระเบียบข้อบังคับภายในของจำเลยที่ 3 มาใช้ยันโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกหาได้ไม่ จำเลยที่ 3 จึงต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ในผลแห่งละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 425
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4211-4212/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประกันภัยมีผลผูกพันแม้ผู้รับประกันภัยไม่มีวัตถุประสงค์ด้านประกันภัย หากได้รับเบี้ยประกันภัยแล้ว การไม่ได้รับอนุญาตประกอบธุรกิจเป็นโมฆะต่อเมื่อผู้เอาประกันภัยทราบ
นิติบุคคลซึ่งไม่มีวัตถุประสงค์ในการรับประกันวินาศภัยแต่ได้รับประกันวินาศภัยไว้เมื่อได้รับเบี้ยประกันภัยอันเป็นผลประโยชน์ตอบแทนจากผู้เอาประกันภัย นิติบุคคลนั้นจะปฏิเสธว่าเป็นเรื่องนอกวัตถุประสงค์ของตนเพื่อให้พ้นความรับผิดที่จะต้องชดใช้ค่าเสียหายตามสัญญาประกันภัยหาได้ไม่
การที่ผู้รับประกันภัยได้รับประกันวินาศภัยไว้จากผู้เอาประกันภัยโดยไม่ได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรีให้ประกอบกิจการประกันวินาศภัย สัญญาประกันภัยจะเป็นโมฆะก็ต่อเมื่อผู้เอาประกันภัยซึ่งเป็นคู่สัญญาได้ทราบถึงการไม่ได้รับอนุญาตนั้น เมื่อไม่ปรากฏว่าผู้เอาประกันภัยได้ทราบความดังกล่าว ผู้รับประกันภัยจึงต้องรับผิดตามสัญญาประกันภัย
การที่ผู้รับประกันภัยได้รับประกันวินาศภัยไว้จากผู้เอาประกันภัยโดยไม่ได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรีให้ประกอบกิจการประกันวินาศภัย สัญญาประกันภัยจะเป็นโมฆะก็ต่อเมื่อผู้เอาประกันภัยซึ่งเป็นคู่สัญญาได้ทราบถึงการไม่ได้รับอนุญาตนั้น เมื่อไม่ปรากฏว่าผู้เอาประกันภัยได้ทราบความดังกล่าว ผู้รับประกันภัยจึงต้องรับผิดตามสัญญาประกันภัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4211-4212/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประกันภัยมีผลผูกพันแม้ผู้รับประกันภัยไม่มีวัตถุประสงค์ แต่ได้รับเบี้ยประกันภัย การไม่ได้รับอนุญาตประกอบกิจการประกันภัยเป็นโมฆะต่อเมื่อคู่สัญญาทราบ
นิติบุคคลซึ่งไม่มีวัตถุประสงค์ในการรับประกันวินาศภัยแต่ได้รับประกันวินาศภัยไว้เมื่อได้รับเบี้ยประกันภัยอันเป็นผลประโยชน์ตอบแทนจากผู้เอาประกันภัย นิติบุคคลนั้นจะปฏิเสธว่าเป็นเรื่องนอกวัตถุประสงค์ของตนเพื่อให้พ้นความรับผิดที่จะต้องชดใช้ค่าเสียหายตามสัญญาประกันภัยหาได้ไม่ การที่ผู้รับประกันภัยได้รับประกันวินาศภัยไว้จากผู้เอาประกันภัยโดยไม่ได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรีให้ประกอบกิจการประกันวินาศภัยสัญญาประกันภัยจะเป็นโมฆะก็ต่อเมื่อผู้เอาประกันภัยซึ่งเป็นคู่สัญญาได้ทราบถึงการไม่ได้รับอนุญาตนั้นเมื่อไม่ปรากฏว่าผู้เอาประกันภัยได้ทราบความดังกล่าว ผู้รับประกันภัยจึงต้องรับผิดตามสัญญาประกันภัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4175/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้อน: คดีเพิกถอนการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน และเรียกค่าเสียหายจากค่าเช่า/ขายทรัพย์
คดีเดิมโจทก์ได้ฟ้องจำเลยขอให้ศาลสั่งเพิกถอนการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน 14 โฉนด พร้อมกับห้องแถว 14 ห้องและให้โอนที่ดินพร้อมกับห้องแถวดังกล่าวเป็นของโจทก์ โดยจำเลยได้ปลอมใบมอบอำนาจว่าโจทก์ที่ 1 ยกที่ดินและห้องแถวให้จำเลยโดยเสน่หาแล้ว จำเลยได้นำใบมอบอำนาจปลอมดังกล่าวไปทำการโอนที่ดินและห้องแถวเป็นของจำเลย คดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาแล้วโจทก์ได้ฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้กล่าวอ้างว่าห้องแถว 6 ห้องในจำนวน14 ห้องที่โจทก์ฟ้องดังกล่าวจำเลยได้นำออกให้คนอื่นเช่าเก็บค่าเช่าเป็นผลประโยชน์ของจำเลย ขอให้จำเลยนำค่าเช่าไปวางศาลหรือธนาคารของรัฐและถ้าหากมีการเช่าห้องแถวจำนวน 6 ห้องในอนาคตก็ให้จำเลยคืนเงินค่าเช่าในอนาคตให้โจทก์ ระหว่างคดียังไม่ถึงที่สุดโดยให้จำเลยนำเงินค่าเช่าในอนาคตไปวางศาลหรือธนาคารของรัฐและถ้าหากมีการขายห้องแถว 6 ห้องดังกล่าวก็ให้จำเลยคืนเงินที่ขายได้ให้โจทก์ โดยระหว่างคดียังไม่ถึงที่สุดให้นำไปวางศาลหรือธนาคารของรัฐนั้น เห็นว่าเงินค่าเช่าและค่าขายทรัพย์พิพาทได้ในอนาคตที่โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยนำมาวางศาลในคดีนี้ก็คือค่าเสียหายและราคาทรัพย์อันเป็นผลเนื่องมาจากการที่จำเลยโอนที่ดินและห้องแถวพิพาทในคดีเดิมนั่นเอง ซึ่งค่าเสียหายและค่าขายทรัพย์ดังกล่าวตามที่ฟ้องในคดีนี้ย่อมเกิดขึ้นทันทีที่จำเลยโอนที่ดินและห้องแถวพิพาทเป็นของตน สิทธิการฟ้องคดีนี้เกิดจากมูลกรณีเดียวกันกับข้ออ้างของโจทก์ในคดีเดิม จึงเป็นเรื่องเดียวกันโจทก์นำมาฟ้องเป็นคดีนี้จึงเป็นฟ้องซ้อนต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173(1)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4149/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาทำร้าย vs. เจตนาฆ่า: การปรับบทความผิดจากฆ่าผู้อื่นเป็นทำร้ายร่างกาย และการแก้ไขโทษ
ฟ้องว่าจำเลยทั้งสามฆ่าผู้อื่นถึงแก่ความตาย แต่ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 และที่ 3 ไม่มีเจตนาฆ่า เพียงแต่เจตนาทำร้ายเป็นผลให้ผู้ตายได้รับอันตรายแก่กายเท่านั้นและลักษณะบาดแผลที่เกิดจากการทำร้ายของจำเลยที่ 1 และที่ 3 ไม่อาจทำให้ผู้ตายถึงแก่ความตายการกระทำของจำเลยที่ 1 และที่ 3 ไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 290 ดังศาลชั้นต้นวินิจฉัย จำเลยที่1 และที่ 3 คงมีความผิดตามมาตรา 295 เท่านั้น แม้จำเลยที่ 1 และที่ 3 จะมิได้อุทธรณ์ฎีกา แต่เมื่อศาลฎีกาเห็นว่าศาลล่างทั้งสองปรับบทลงโทษและวางอัตราโทษจำเลยที่ 1 และที่ 3ไม่ถูกต้อง ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจแก้ไขปรับบทและวางอัตราโทษเสียใหม่ให้ถูกต้องได้