คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
ธิรพันธุ์ รัศมิทัต

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 567 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2321/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแสดงเจตนาทางแพ่ง: การยอมให้ผู้อื่นแสดงเจตนาแทนและผลผูกพันตามสัญญาซื้อขายลดตั๋วเงิน
จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ทำสัญญาขายลดตั๋วเงินกับ โจทก์ต่อมาจำเลยที่ 2 มอบเช็คให้ ส.นำไปแลกเงินจาก โจทก์ โดยมีจดหมายไปถึงพนักงานสินเชื่อของโจทก์ให้จัดการ เรื่องแลกเช็คกระดาษที่เขียนก็เป็นกระดาษแบบพิมพ์ของ จำเลยที่ 1 มีตราและชื่อโรงพยาบาลบนหัวกระดาษข้อความก็ระบุว่ากำลังขยายโรงพยาบาลจำเลยที่ 1 เช่นนี้ ย่อมทำให้ โจทก์เข้าใจว่าเช็คดังกล่าวเป็นเช็คที่โรงพยาบาลจำเลยที่ 1 เป็นผู้ทรงและเงินที่แลกไปนั้นต้องนำไปใช้ในกิจการของ โรงพยาบาลจำเลยที่ 1 ดังนั้นแม้จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็น กรรมการผู้จัดการบริษัทจำเลยที่ 1 ลงชื่อสลักหลังแต่ผู้เดียว โดยมิได้ประทับตราบริษัทจำเลยที่ 1 ตามข้อบังคับของบริษัทจำเลยที่ 1 ก็ตามแต่พฤติการณ์ดังกล่าวย่อมแสดงว่า จำเลยที่ 1 รู้แล้วยอมให้จำเลยที่ 2 เชิดตัวจำเลยที่ 2 ออกแสดงเป็นตัวแทนของจำเลยที่ 1จำเลยที่ 1 จึง ต้องรับผิด
สิทธิเรียกร้องอันเนื่องมาจากสัญญาซื้อขายลดตั๋วเงินมีอายุความฟ้องร้อง 10 ปี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2022/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดของนายจ้าง/เจ้าของรถต่อการละเมิดของลูกจ้าง/ผู้ขับขี่ และประเด็นการวินิจฉัยนอกคำฟ้อง
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 5 เป็นห้างหุ้นส่วนจำกัดเป็นเจ้าของและผู้ครอบครองรถยนต์บรรทุกคันเกิดเหตุจำเลยที่ 4 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการห้างหุ้นส่วนจำกัดจำเลยที่ 5 จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างหรือตัวแทนของจำเลยที่ 4 ได้ขับรถยนต์บรรทุกไปในทางการที่จ้างหรือตามคำสั่งของจำเลยที่ 4 ชนรถโจทก์เสียหายดังนี้คำฟ้องของโจทก์ย่อมมีความหมายว่า จำเลยที่ 4 ในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการห้างหุ้นส่วนจำกัดจำเลยที่ 5 เป็นเพียงผู้แทนของจำเลยที่ 5 ซึ่งเป็นนิติบุคคลเท่านั้น ซึ่งพอเข้าใจว่าจำเลยที่1เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 5 และได้ขับรถยนต์บรรทุกไปในทางการที่จ้างหรือตามคำสั่งของห้างหุ้นส่วนจำกัดจำเลยที่ 5 โดยจำเลยที่ 4 ซึ่งเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการทำแทน จึงเป็นคำฟ้องที่ให้จำเลยที่ 5 รับผิดในฐานะนายจ้างหรือตัวการของจำเลยที่ 1ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 425 และ มาตรา 820 แล้ว
การที่จำเลยที่ 4 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของห้างหุ้นส่วนจำกัดจำเลยที่ 5และศาลกะประเด็นข้อพิพาทว่า การที่จำเลยที่ 1 ขับรถก่อการละเมิดในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 4 หรือไม่เป็นการกะประเด็นกว้างๆซึ่งย่อมหมายถึงจำเลยที่ 4 ในฐานะผู้แทนของห้างหุ้นส่วนจำกัดจำเลยที่ 5 และที่กะประเด็นอีกข้อหนึ่งว่า จำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 จะต้องรับผิดต่อโจทก์ในผลแห่งการละเมิดของจำเลยที่ 1 เพียงใดหรือไม่ย่อมหมายถึงจำเลยที่ 4 ในฐานะส่วนตัว และหมายถึงจำเลยที่ 5 โดยมีจำเลยที่ 4 เป็นผู้แทน ดังนั้น ที่ศาลพิพากษาให้จำเลยที่ 5 รับผิดในฐานะที่จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างและกระทำไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 5 จึงไม่เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2022/2528

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดของนายจ้าง/เจ้าของรถต่อการละเมิดของลูกจ้าง/ผู้ขับขี่ และประเด็นการวินิจฉัยนอกคำฟ้อง
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 5 เป็นห้างหุ้นส่วนจำกัดเป็นเจ้าของและผู้ครอบครองรถยนต์บรรทุกคันเกิดเหตุจำเลยที่ 4 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการห้างหุ้นส่วนจำกัดจำเลยที่ 5 จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างหรือตัวแทนของจำเลยที่ 4 ได้ขับรถยนต์บรรทุกไปในทางการที่จ้างหรือตามคำสั่งของจำเลยที่4 ชนรถโจทก์เสียหายดังนี้คำฟ้องของโจทก์ย่อมมีความหมายว่า จำเลยที่ 4 ในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการห้างหุ้นส่วนจำกัดจำเลยที่ 5 เป็นเพียงผู้แทนของจำเลยที่5 ซึ่งเป็นนิติบุคคลเท่านั้น ซึ่งพอเข้าใจว่าจำเลยที่1 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 5 และได้ขับรถยนต์บรรทุกไปในทางการที่จ้างหรือตามคำสั่งของห้างหุ้นส่วนจำกัดจำเลยที่5 โดยจำเลยที่ 4 ซึ่งเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการทำแทน จึงเป็นคำฟ้องที่ให้จำเลยที่ 5 รับผิดในฐานะนายจ้างหรือตัวการของจำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 425 และ มาตรา 820 แล้ว
การที่จำเลยที่ 4 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของห้างหุ้นส่วนจำกัดจำเลยที่ 5 และศาลกะประเด็นข้อพิพาทว่า การที่จำเลยที่ 1 ขับรถก่อการละเมิดในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 4 หรือไม่เป็นการกะประเด็นกว้างๆ ซึ่งย่อมหมายถึงจำเลยที่ 4 ในฐานะผู้แทนของห้างหุ้นส่วนจำกัดจำเลยที่ 5 และที่กะประเด็นอีกข้อหนึ่งว่า จำเลยที่2 ถึงที่ 6 จะต้องรับผิดต่อโจทก์ในผลแห่งการละเมิดของจำเลยที่ 1 เพียงใดหรือไม่ย่อมหมายถึงจำเลยที่ 4 ในฐานะส่วนตัว และหมายถึงจำเลยที่ 5 โดยมีจำเลยที่ 4เป็นผู้แทน ดังนั้น ที่ศาลพิพากษาให้จำเลยที่ 5 รับผิดในฐานะที่จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างและกระทำไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 5 จึงไม่เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2004/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การชำระหนี้ด้วยเช็คที่ถูกอายัด: สิทธิของผู้ทรงเช็คและการบังคับคดี
ศาลชั้นต้นได้พิพากษาตามยอมให้จำเลยทั้งสามชำระหนี้โดยรับผิดชำระจากทรัพย์มรดกของ ส. ระหว่างบังคับคดีศาลชั้นต้นหมายเรียกจำเลยที่ 1 และ จ. มาให้ถ้อยคำเกี่ยวกับทรัพย์สินของ ส. เจ้ามรดกได้ความว่า จ. เช่าร้านอาหารอันเป็นทรัพย์มรดกของ ส. จากจำเลยที่ 1 และได้ออกเช็คชำระค่าเช่าลงวันที่ล่วงหน้าไว้ เจ้าพนักงานบังคับคดีจึงได้แจ้งอายัดเงินตามเช็คดังกล่าวแก่ จ. ก่อนที่เช็คนั้นจะถึงกำหนดใช้เงิน โดยให้นำเงินค่าเช่ามาส่งแก่เจ้าพนักงานบังคับคดีแต่ จ. ไม่ปฏิบัติตามเมื่อเช็คถึงกำหนดใช้เงินผู้ทรงได้นำเช็คไปขึ้นเงินแต่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเพราะมีคำสั่งอายัดต่อมาเจ้าพนักงานบังคับคดีมีหนังสือเตือนให้ จ. ส่งเงินค่าเช่าตามเช็คอีก จ.ตอบขัดข้องว่าเช็คที่สั่งจ่ายให้จำเลยที่ 1 นั้นได้โอนไปยังบุคคลภายนอกแล้วดังนี้ เห็นได้ว่า จ. ได้ชำระหนี้กองมรดกด้วยเช็คให้จำเลยที่ 1 ก่อนจะได้รับคำสั่งอายัดจากเจ้าพนักงานบังคับคดี และเช็คนั้นได้โอนไปยังผู้ทรงซึ่งเป็นบุคคลภายนอกแล้ว ซึ่ง จ. จะต้องรับผิดใช้เงินตามเช็คให้ผู้ทรงอยู่และหนี้ยังไม่ระงับสิ้นลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 321 วรรคท้าย ก็ตาม ก็เป็นเรื่องที่ผู้ทรงเช็คจะต้องไปว่ากล่าวเอาแก่ จ. เจ้าพนักงานบังคับคดีจะขอให้ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีแก่ จ. ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 312 วรรค 2 ไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2004/2528

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การชำระหนี้ด้วยเช็คหลังอายัด: สิทธิเรียกร้องของผู้ทรงเช็คและการบังคับคดี
ศาลชั้นต้นได้พิพากษาตามยอมให้จำเลยทั้งสามชำระหนี้โดยรับผิด ชำระจากทรัพย์มรดกของ ส. ระหว่างบังคับคดีศาลชั้นต้นหมายเรียกจำเลยที่ 1 และ จ. มาให้ถ้อยคำเกี่ยวกับทรัพย์สินของ ส. เจ้ามรดกได้ความว่า จ. เช่าร้านอาหารอันเป็นทรัพย์มรดกของ ส. จากจำเลยที่ 1 และได้ออกเช็คชำระค่าเช่าลงวันที่ล่วงหน้าไว้ เจ้าพนักงานบังคับคดีจึงได้แจ้งอายัดเงินตามเช็คดังกล่าวแก่ จ. ก่อนที่เช็คนั้นจะถึงกำหนดใช้เงิน โดยให้นำเงินค่าเช่ามาส่งแก่เจ้าพนักงานบังคับคดีแต่จ.ไม่ปฏิบัติตามเมื่อเช็คถึงกำหนดใช้เงินผู้ทรงได้นำเช็คไปขึ้นเงินแต่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเพราะมีคำสั่งอายัดต่อมาเจ้าพนักงานบังคับคดีมีหนังสือเตือนให้ จ. ส่งเงินค่าเช่าตามเช็คอีก จ.ตอบขัดข้องว่าเช็คที่สั่งจ่ายให้จำเลยที่ 1 นั้นได้โอนไปยังบุคคลภายนอกแล้วดังนี้ เห็นได้ว่า จ. ได้ชำระหนี้กองมรดกด้วยเช็คให้จำเลยที่ 1 ก่อนจะได้รับคำสั่งอายัดจากเจ้าพนักงานบังคับคดี และเช็คนั้นได้โอนไปยังผู้ทรงซึ่งเป็นบุคคลภายนอกแล้ว ซึ่ง จ. จะต้องรับผิดใช้เงินตามเช็คให้ผู้ทรงอยู่และหนี้ยังไม่ระงับสิ้นลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 321 วรรคท้าย ก็ตาม ก็เป็นเรื่องที่ผู้ทรงเช็คจะต้องไปว่ากล่าวเอาแก่ จ.เจ้าพนักงานบังคับคดีจะขอให้ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีแก่จ. ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 312 วรรค 2 ไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1979/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การใช้เอกสารปลอมเพื่อย้ายที่อยู่ แม้ไม่ได้นำเอกสารไปดำเนินการเอง แต่หากผู้อื่นดำเนินการแทนก็ถือว่าเป็นการใช้เอกสารปลอม
จำเลยแจ้งย้ายตนเองและบุตรออกจากจังหวัดนครพนมเทศบาลเมืองนครพนมออกใบแจ้งย้ายออก ท.ร. 17 มอบให้แก่จำเลยจำเลยลงชื่อในช่องผู้แจ้งย้ายออกต่อมาเอกสารดังกล่าวในช่องสัญชาติของบิดามารดาของจำเลยและบุตรจำเลยถูกแก้ไขอันเป็นการปลอมเอกสารดังกล่าว ในการแจ้งย้ายเข้าบ้านเลขที่ใหม่ถึงแม้จำเลยจะไม่ได้นำเอกสารดังกล่าวไปให้เจ้าหน้าที่งานทะเบียนเขตดุสิตดำเนินการย้ายเข้า แต่บุตรของเจ้าบ้านเป็นผู้นำเอกสารดังกล่าวไปให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการแทนจำเลย เพื่อให้จำเลยได้ย้ายเข้าบ้านดังกล่าว ถือได้ว่าจำเลยเป็นผู้ที่ขอให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการ จำเลยจึงได้ชื่อว่าเป็นผู้ใช้เอกสารปลอม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1979/2528

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การใช้เอกสารปลอมเพื่อย้ายที่อยู่ แม้ไม่ได้ส่งเอกสารเอง แต่สั่งให้ผู้อื่นดำเนินการแทน ก็ถือเป็นความผิด
จำเลยแจ้งย้ายตนเองและบุตรออกจากจังหวัดนครพนมเทศบาลเมืองนครพนมออกใบแจ้งย้ายออก ท.ร. 17 มอบให้แก่จำเลยจำเลยลงชื่อในช่องผู้แจ้งย้ายออกต่อมาเอกสารดังกล่าวในช่องสัญชาติของบิดามารดาของจำเลยและบุตรจำเลยถูกแก้ไขอันเป็นการปลอมเอกสารดังกล่าวในการแจ้งย้ายเข้าบ้านเลขที่ใหม่ถึงแม้จำเลยจะไม่ได้นำเอกสารดังกล่าวไปให้เจ้าหน้าที่งานทะเบียนเขตดุสิตดำเนินการย้ายเข้าแต่บุตรของเจ้าบ้านเป็นผู้นำเอกสารดังกล่าวไปให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการแทนจำเลย เพื่อให้จำเลยได้ย้ายเข้าบ้านดังกล่าว ถือได้ว่าจำเลยเป็นผู้ที่ขอให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการ จำเลยจึงได้ชื่อว่าเป็นผู้ใช้เอกสารปลอม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1495/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกำหนดราคาทรัพย์สินที่ถูกลัก จำเป็นต้องมีข้อมูลราคาที่ชัดเจนและพิสูจน์ได้ในท้องตลาด
โจทก์ขอมาท้ายฟ้องว่า ราคาเนื้อกระบือที่จำเลยร่วมกันลักไปมีราคา 8,900 บาท แต่โจทก์นำสืบไม่ได้ว่าเนื้อกระบือที่ถูกลักไปนั้นมีจำนวน น้ำหนักและราคาในท้องตลาดขณะนั้นเท่าใด คำนวณได้ยอดดังกล่าวมาอย่างไร คงนำสืบเพียงว่าจำเลยคนใดลักเนื้อกระบือส่วนไหนไปเท่านั้น โจทก์จึงนำสืบเรื่องราคาทรัพย์ไว้ไม่สมฟ้องและไม่มีข้อมูลให้ศาลคำนวณเพื่อกำหนดตามราคาอันแท้จริงขึ้นได้ ดังนี้ศาลจึงไม่ต้องกำหนดราคาทรัพย์ซึ่งจำเลยจะต้องใช้ให้แก่เจ้าทรัพย์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 47 (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 1163/2509)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1495/2528

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกำหนดราคาทรัพย์สินที่ถูกลัก จำเลยต้องชดใช้ตามราคาอันแท้จริง แต่โจทก์ต้องนำสืบราคาที่สมบูรณ์ได้
โจทก์ขอมาท้ายฟ้องว่า ราคาเนื้อกระบือที่จำเลยร่วมกันลักไป มีราคา 8,900 บาทแต่โจทก์นำสืบไม่ได้ว่าเนื้อกระบือที่ถูกลักไปนั้นมีจำนวน น้ำหนัก และราคาในท้องตลาดขณะนั้นเท่าใด คำนวณได้ยอดดังกล่าวมาอย่างไรคงนำสืบเพียงว่าจำเลยคนใดลักเนื้อกระบือส่วนไหนไปเท่านั้น โจทก์จึงนำสืบเรื่องราคาทรัพย์ไว้ไม่สมฟ้องและไม่มีข้อมูล ให้ศาลคำนวณเพื่อกำหนดตามราคาอันแท้จริงขึ้นได้ดังนี้ศาลจึงไม่ต้อง กำหนดราคาทรัพย์ซึ่งจำเลยจะต้องใช้ให้แก่เจ้าทรัพย์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 47(อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 1163/2509)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 805/2528

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การป้องกันตัวเกินสมควรแก่เหตุจากการถูกคุกคามในเคหสถานและการใช้กำลังป้องกัน
จำเลยกับพวกเกิดวิวาทชกต่อยกับโจทก์ร่วมและพวกในวงสุราหน้าบ้านโจทก์ร่วมมีผู้ห้ามก็เลิกกัน จำเลยพกปืนกลับมาที่วงสุราอีก แต่ถูกโจทก์ร่วมค้นตัวจนหนีกลับบ้านการที่โจทก์ร่วมกับพวกตามไปถึงใต้ถุนบ้านจำเลย จึงเป็นเพราะอยากหาเรื่องกับจำเลย เป็นการตามไปคุกคามจะทำร้ายจำเลยถึงในบ้าน จำเลยใช้ปืนยิงโจทก์ร่วมกับพวกจึงเป็นการป้องกันตัว แต่โจทก์ร่วมกับพวกไม่มีอาวุธอะไรหากจำเลยยิงปืนเพียงนัดเดียวก็น่าจะเป็นเหตุให้หลบหนีไปแล้ว แต่จำเลยยิงปืนถึง 4 นัด กระสุนปืนถูก ว.ถึงแก่ความตาย และถูกโจทก์ร่วมได้รับบาดเจ็บ การกระทำของจำเลยจึงเป็นการป้องกันเกินสมควรแก่เหตุ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288,69
of 57