พบผลลัพธ์ทั้งหมด 369 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3139/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิผู้มีกรรมสิทธิ์ร่วมในการรับเงินจากการขายทอดตลาด และอำนาจศาลในการไต่สวนคำร้อง
ผู้มีกรรมสิทธิ์ร่วมตามส่วนในทรัพย์ที่ถูกยึดมาขายทอดตลาดมีสิทธิร้องขอให้จ่ายเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา287การร้องขอไม่มีกำหนดระยะเวลาไว้ร้องขอภายหลังจากการขายทอดตลาดแล้วได้ ผู้ร้องยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นขอให้จ่ายเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดที่ดินซึ่งผู้ร้องมีกรรมสิทธิ์ร่วมกับจำเลยให้แก่ผู้ร้องตามส่วนศาลชั้นต้นสั่งจ่ายเงินให้แก่ผู้ร้องโดยมิได้สอบถามโจทก์ก่อนต่อมาโจทก์ยื่นคำร้องคัดค้านอ้างว่าผู้ร้องไม่มีสิทธิร้องผู้ร้องไม่มีกรรมสิทธิ์ร่วมและเป็นหนี้ร่วมขอให้ศาลชั้นต้นเพิกถอนคำสั่งจ่ายเงินให้แก่ผู้ร้องการที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งโดยมิได้ยกคำร้องของผู้ร้องแต่ให้ทำการไต่สวนคำร้องต่อไปถือได้ว่าศาลชั้นต้นรับคำร้องของผู้ร้องไว้พิจารณาและคำร้องของผู้ร้องไม่มีกฎหมายบัญญัติให้ศาลมีคำสั่งอนุญาตตามคำร้องโดยไม่ต้องทำการไต่สวนก่อนเมื่อโจทก์คัดค้านคำร้องศาลชั้นต้นมีอำนาจทำการไต่สวนก่อนที่จะสั่งคำร้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา21(4)คำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งทำการไต่สวนคำร้องของผู้ร้องจึงเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาเมื่อคดีอยู่ระหว่างไต่สวนพิจารณาสั่งคำร้องของผู้ร้องโจทก์ไม่มีสิทธิอุทธรณ์ขอให้ยกเลิกคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้ทำการไต่สวนคำร้องของผู้ร้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา226(1).
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3139/2529 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมในทรัพย์ที่ถูกยึดขายทอดตลาด: ศาลมีอำนาจไต่สวนก่อนสั่ง
ผู้มีกรรมสิทธิ์ร่วมตามส่วนในทรัพย์ที่ถูกยึดมาขายทอดตลาดมีสิทธิร้องขอให้จ่ายเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 287 การร้องขอไม่มีกำหนดระยะเวลาไว้ ร้องขอภายหลังจากการขายทอดตลาดแล้วได้
ผู้ร้องยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นขอให้จ่ายเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดที่ดินซึ่งผู้ร้องมีกรรมสิทธิ์ร่วมกับจำเลยให้แก่ผู้ร้องตามส่วน ศาลชั้นต้นสั่งจ่ายเงินให้แก่ผู้ร้องโดยมิได้สอบถามโจทก์ก่อน ต่อมาโจทก์ยื่นคำร้องคัดค้านอ้างว่าผู้ร้องไม่มีสิทธิร้อง ผู้ร้องไม่มีกรรมสิทธิ์ร่วมและเป็นหนี้ร่วม ขอให้ศาลชั้นต้นเพิกถอนคำสั่งจ่ายเงินให้แก่ผู้ร้อง การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งโดยมิได้ยกคำร้องของผู้ร้อง แต่ให้ทำการไต่สวนคำร้องต่อไป ถือได้ว่าศาลชั้นต้นรับคำร้องของผู้ร้องไว้พิจารณา และคำร้องของผู้ร้องไม่มีกฎหมายบัญญัติให้ศาลมีคำสั่งอนุญาตตามคำร้องโดยไม่ต้องทำการไต่สวนก่อน เมื่อโจทก์คัดค้านคำร้อง ศาลชั้นต้นมีอำนาจทำการไต่สวนก่อนที่จะสั่งคำร้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 21 (4) คำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งทำการไต่สวนคำร้องของผู้ร้องจึงเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา เมื่อคดีอยู่ระหว่างไต่สวนพิจารณาสั่งคำร้องของผู้ร้อง โจทก์ไม่มีสิทธิอุทธรณ์ขอให้ยกเลิกคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้ทำการไต่สวนคำร้องของผู้ร้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226 (1)
ผู้ร้องยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นขอให้จ่ายเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดที่ดินซึ่งผู้ร้องมีกรรมสิทธิ์ร่วมกับจำเลยให้แก่ผู้ร้องตามส่วน ศาลชั้นต้นสั่งจ่ายเงินให้แก่ผู้ร้องโดยมิได้สอบถามโจทก์ก่อน ต่อมาโจทก์ยื่นคำร้องคัดค้านอ้างว่าผู้ร้องไม่มีสิทธิร้อง ผู้ร้องไม่มีกรรมสิทธิ์ร่วมและเป็นหนี้ร่วม ขอให้ศาลชั้นต้นเพิกถอนคำสั่งจ่ายเงินให้แก่ผู้ร้อง การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งโดยมิได้ยกคำร้องของผู้ร้อง แต่ให้ทำการไต่สวนคำร้องต่อไป ถือได้ว่าศาลชั้นต้นรับคำร้องของผู้ร้องไว้พิจารณา และคำร้องของผู้ร้องไม่มีกฎหมายบัญญัติให้ศาลมีคำสั่งอนุญาตตามคำร้องโดยไม่ต้องทำการไต่สวนก่อน เมื่อโจทก์คัดค้านคำร้อง ศาลชั้นต้นมีอำนาจทำการไต่สวนก่อนที่จะสั่งคำร้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 21 (4) คำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งทำการไต่สวนคำร้องของผู้ร้องจึงเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา เมื่อคดีอยู่ระหว่างไต่สวนพิจารณาสั่งคำร้องของผู้ร้อง โจทก์ไม่มีสิทธิอุทธรณ์ขอให้ยกเลิกคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้ทำการไต่สวนคำร้องของผู้ร้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226 (1)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3139/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำสั่งระหว่างพิจารณาคดีบังคับคดี สิทธิในการรับเงินจากการขายทอดตลาด และอำนาจศาลในการไต่สวนคำร้อง
ในชั้นบังคับคดีตามคำพิพากษาผู้ร้องซึ่งมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินร่วมกับจำเลยได้ร้องขอให้ศาลชั้นต้นจ่ายเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดที่ดินให้ผู้ร้องศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จ่ายเงินตามขอแล้วต่อมาเพิกถอนคำสั่งเดิมโดยให้ทำการไต่สวนคำร้องของผู้ร้องก่อนกรณีถือว่าศาลชั้นต้นได้รับคำร้องไว้พิจารณาแล้วคำสั่งที่ศาลชั้นต้นให้ไต่สวนคำร้องของผู้ร้องจึงเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาโจทก์จะอุทธรณ์ให้ยกเลิกคำสั่งดังกล่าวในระหว่างการไต่สวนพิจารณาคำร้องมิได้ต้องห้ามตามป.วิ.พ.มาตรา226(1).
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3106/2529 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เบี้ยปรับและดอกเบี้ยในสัญญาประนีประนอม: สิทธิของโจทก์เมื่อจำเลยผิดนัดชำระหนี้
เดิมโจทก์ฟ้องให้จำเลยชำระเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินจำนวน 850,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย ต่อมาได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันและศาลพิพากษาตามยอมแล้ว ซึ่งมีผลทำให้หนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินระงับสิ้นไป ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 852 โดยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กัน คือโจทก์ยอมลดเงินต้นเหลือ 780,000 บาท จำเลยยินยอมชำระดอกเบี้ยในเงินต้นดังกล่าวแก่โจทก์และชำระเงินต้นคืนเป็นการตอบแทน แต่ถ้าจำเลยผิดนัดให้โจทก์บังคับคดีได้ทันที และให้โจทก์บังคับเอาเงินต้นจากจำเลยเป็นเงิน 850,000 บาท จึงเห็นได้ว่ากรณีผิดนัด จำเลยจะต้องถูกบังคับให้ชำระหนี้เพิ่มจากเงินต้นตามสัญญาอีก 70,000 บาท ซึ่งเงินจำนวนนี้ก็คือเบี้ยปรับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 381 นั่นเอง ตามบทบัญญัติดังกล่าว เมื่อจำเลยผิดนัด นอกจากโจทก์จะเรียกให้จำเลยชำระหนี้ตามสัญญาแล้ว โจทก์ยังมีสิทธิเรียกเอาเบี้ยปรับได้อีกด้วย จำเลยจึงยังต้องรับผิดชำระดอกเบี้ยจากต้นเงิน 780,000 บาท ตามสัญญาต่อไปอีก จนกว่าจะชำระหนี้แก่โจทก์เสร็จสิ้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3106/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญายอมความผิดนัดชำระหนี้ เบี้ยปรับและดอกเบี้ย ศาลยืนตามสัญญาเดิม
เดิมโจทก์ฟ้องให้จำเลยชำระเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินจำนวน850,000บาทพร้อมดอกเบี้ย ต่อมาได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันและศาลพิพากษาตามยอมแล้วซึ่งมีผลทำให้หนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินระงับสิ้นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา852โดยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กันคือโจทก์ยอมลดเงินต้นเหลือ780,000บาทจำเลยยินยอมชำระดอกเบี้ยในเงินต้นดังกล่าวแก่โจทก์และชำระเงินต้นคืนเป็นการตอบแทนแต่ถ้าจำเลยผิดนัดให้โจทก์บังคับคดีได้ทันทีและให้โจทก์บังคับเอาเงินต้นจากจำเลยเป็นเงิน850,000บาทจึงเห็นได้ว่ากรณีผิดนัดจำเลยจะต้องถูกบังคับให้ชำระหนี้เพิ่มจากเงินต้นตามสัญญาอีก70,000บาทซึ่งเงินจำนวนนี้ก็คือเบี้ยปรับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา381นั่นเองตามบทบัญญัติดังกล่าวเมื่อจำเลยผิดนัดนอกจากโจทก์จะเรียกให้จำเลยชำระหนี้ตามสัญญาแล้วโจทก์ยังมีสิทธิเรียกเอาเบี้ยปรับได้อีกด้วยจำเลยจึงยังต้องรับผิดชำระดอกเบี้ยจากต้นเงิน780,000บาทตามสัญญาต่อไปอีกจนกว่าจะชำระหนี้แก่โจทก์เสร็จสิ้น.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3106/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประนีประนอมยอมความ, เบี้ยปรับ, ดอกเบี้ย, การบังคับคดี, หนี้ตามสัญญา
เดิมโจทก์ฟ้องให้จำเลยชำระเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินจำนวน850,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย ต่อมาได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันและศาลพิพากษาตามยอมแล้ว ซึ่งมีผลทำให้หนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินระงับสิ้นไป ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 852 โดยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กัน คือโจทก์ยอมลดเงินต้นเหลือ780,000 บาทจำเลยยินยอมชำระดอกเบี้ยในเงินต้นดังกล่าวแก่โจทก์และชำระเงินต้นคืนเป็นการตอบแทน แต่ถ้าจำเลยผิดนัดให้โจทก์บังคับคดีได้ทันทีและให้โจทก์บังคับเอาเงินต้นจากจำเลยเป็นเงิน850,000 บาทจึงเห็นได้ว่ากรณีผิดนัดจำเลยจะต้องถูกบังคับให้ชำระหนี้เพิ่มจากเงินต้นตามสัญญาอีก70,000 บาท ซึ่งเงินจำนวนนี้ก็คือเบี้ยปรับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 381 นั่นเองตามบทบัญญัติดังกล่าวเมื่อจำเลยผิดนัด นอกจากโจทก์จะเรียกให้จำเลยชำระหนี้ตามสัญญาแล้วโจทก์ยังมีสิทธิเรียกเอาเบี้ยปรับได้อีกด้วย จำเลยจึงยังต้องรับผิดชำระดอกเบี้ยจากต้นเงิน 780,000บาท ตามสัญญาต่อไปอีกจนกว่าจะชำระหนี้แก่โจทก์เสร็จสิ้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3102/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโอนสิทธิการเช่าและผลของการชำระหนี้ แม้ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ ก็ฟ้องบังคับคดีได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
แม้จะฟังว่าข้อตกลงในการโอนสิทธิการเช่าโทรศัพท์เป็นการขายสิทธิอันเป็นทรัพย์สินชนิดหนึ่งและแม้จะไม่มีหลักฐานของข้อตกลงเป็นหนังสือแต่ก็ได้มีการชำระหนี้เนื่องในการซื้อขายนี้แล้วจึงหาต้องห้ามมิให้ฟ้องร้องบังคับคดีตามบทบัญญัติมาตรา456วรรคสองและวรรคสามแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ไม่.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3102/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโอนสิทธิการเช่าและการซื้อขายทรัพย์สินโดยไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ การชำระหนี้ทำให้ฟ้องร้องบังคับคดีได้
แม้จะฟังว่าข้อตกลงในการโอนสิทธิการเช่าโทรศัพท์เป็นการขายสิทธิอันเป็นทรัพย์สินชนิดหนึ่ง และแม้จะไม่มีหลักฐานของข้อตกลงเป็นหนังสือแต่ก็ได้มีการชำระหนี้เนื่องในการซื้อขายนี้แล้วจึงหาต้องห้ามมิให้ฟ้องร้องบังคับคดีตามบทบัญญัติมาตรา456 วรรคสองและวรรคสามแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3048/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หนังสือค้ำประกันเจตนาค้ำประกันจำเลยที่ 1 ไม่ใช่ห้างหุ้นส่วน และการปิดอากรแสตมป์ที่ถูกต้อง
โจทก์มอบอำนาจให้ อ.และหรือส. ดำเนินคดีฟ้องร้องจำเลยแทนโจทก์ เป็นการมอบอำนาจให้บุคคลคนเดียวหรือหลายคน กระทำการครั้งเดียว ต้องปิดอากรแสตมป์ 5 บาทตามบัญชีอัตราอากรแสตมป์ ข้อ 7(ก) ซึ่งใช้บังคับในขณะที่มี การมอบอำนาจ จึงเป็นการปิดอากรแสตมป์บริบูรณ์ตามประมวลรัษฎากรแล้ว ไม่ต้องห้ามมิให้รับฟังเป็นพยานหลักฐานโจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง หนังสือค้ำประกันมีข้อความว่า จำเลยที่ 2ขอค้ำประกันห้างหุ้นส่วนจำกัดสยามคัลเลอร์แลบในการซื้อเชื่อสินค้าจากโจทก์ ไม่ปรากฏว่ามีห้างหุ้นส่วนจำกัดสยามคัลเลอร์แลบซึ่งจดทะเบียนเป็นนิติบุคคล คงมีแต่จำเลยที่ 1 ซึ่งใช้ชื่อร้านว่าสยามคัลเลอร์แลบ ดังนี้ จำเลยที่ 2 มีเจตนาค้ำประกันจำเลยที่ 1 ไม่ว่าจะจดทะเบียนเป็นห้างหุ้นส่วนจำกัดหรือไม่ก็ตาม เมื่อจำเลยที่ 1 เจ้าของร้านสยามคัลเลอร์แลบซื้อเชื่อสินค้าจากโจทก์และไม่ชำระหนี้ จำเลยที่ 2ก็ต้องรับผิดในฐานะผู้ค้ำประกันจะอ้างว่าตนเป็นผู้ค้ำประกันห้างหุ้นส่วนจำกัดสยามคัลเลอร์แลบซึ่งไม่มีตัวตนหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2954/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเปลี่ยนแปลงฐานความผิดจากคำฟ้องเดิมตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏในชั้นพิจารณา และขอบเขตความรับผิดของผู้สนับสนุนการกระทำผิด
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยทั้งสามร่วมกันใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายซึ่งเป็นความผิดที่มีการกระทำอย่างเดียวแต่ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่3ได้ชกต่อยทำร้ายร่างกายผู้ตายโดยมิได้กระทำร่วมกับจำเลยที่1จำเลยที่3กระทำโดยลำพังตนเองเป็นการกระทำที่เกิดขึ้นก่อนมีการกระทำผิดฐานฆ่าผู้ตายโจทก์มิได้บรรยายฟ้องถึงการกระทำของจำเลยที่3จึงลงโทษจำเลยที่3ฐานทำร้ายร่างกายไม่ได้เพราะไม่ใช่เรื่องที่โจทก์ประสงค์ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา192วรรคสี่ โจทก์กล่าวในฟ้องว่าจำเลยที่1ที่2เป็นผู้ร่วมกระทำผิดด้วยกันแต่ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่2มิได้ร่วมกับจำเลยที่1ยิงผู้ตายเป็นแต่จำเลยที่2ได้ร้องบอกจำเลยที่1ขึ้นว่าพี่พลยิงเลยอันเป็นการยุยงส่งเสริมให้จำเลยที่1กระทำผิดเป็นความผิดฐานเป็นผู้ใช้ให้กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา84ดังนี้จะลงโทษจำเลยที่2ฐานร่วมกันฆ่าผู้ตายไม่ได้เพราะข้อเท็จจริงที่ปรากฏในทางพิจารณาเป็นเรื่องที่จำเลยที่2เป็นผู้ก่อให้จำเลยที่1กระทำผิดเป็นการแตกต่างกันในสาระสำคัญอย่างมากตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา192วรรคสอง แต่การที่จำเลยที่2ร้องบอกจำเลยที่1ขึ้นว่าพี่พลยิงเลยเป็นการยุยงส่งเสริมให้จำเลยที่1กระทำความผิดเป็นความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา86ด้วยซึ่งศาลมีอำนาจลงโทษได้(วรรคนี้วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ครั้งที่6/2529).