พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,242 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 404/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม จำเป็นต้องปฏิบัติตามข้อตกลงสภาพการจ้าง โดยต้องให้สหภาพแรงงานเข้าร่วมสอบสวนวินัย
ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างระหว่างจำเลยกับสหภาพแรงงานการประปาส่วนภูมิภาค ซึ่งโจทก์เป็นสมาชิกอยู่ มีว่าเมื่อจะมีการแต่ง ตั้งคณะกรรมการขึ้นทำการสอบสวนพนักงานของจำเลยกรณีที่มีการกล่าวหาว่าพนักงานของจำเลยถูกกล่าวหาหรือมีความผิดเป็นสมาชิกของสหภาพแรงงานการประปาส่วนภูมิภาค จำเลยต้องให้ผู้แทนของสหภาพแรงงานการประปาส่วนภูมิภาค เข้าร่วมเป็นกรรมการสอบสวนด้วยโดยให้สหภาพแรงงานการประปาส่วนภูมิภาค เป็นผู้เสนอชื่อ ผู้แทนไม่น้อยกว่า 1 คน ดังนั้น การออกคำสั่งของจำเลยหรือทำการสอบสวนพนักงาน จำเลยต้องปฏิบัติตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างโดยเคร่งครัด การที่จำเลยแต่ง ตั้งคณะกรรมการขึ้นสอบสวนโจทก์ทางวินัยโดยไม่มีผู้แทนของสหภาพแรงงานการประปาส่วนภูมิภาคเข้าร่วมเป็นกรรมการสอบสวนและจำเลยสั่งให้โจทก์ออกจากงานนั้น เป็นคำสั่งที่ขัดต่อข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง จึงเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบและกรณีต้องถือว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยมีการสอบสวนที่ไม่ชอบอันเป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 404/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อตกลงสภาพการจ้างกำหนดให้สหภาพแรงงานต้องมีส่วนร่วมในการสอบสวนทางวินัย การเลิกจ้างโดยไม่ปฏิบัติตามถือเป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม
ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างระหว่างจำเลยกับสหภาพแรงงานการประปาส่วนภูมิภาค ซึ่งโจทก์เป็นสมาชิกอยู่ มีว่าเมื่อจะมีการแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นทำการสอบสวนพนักงานของจำเลย กรณีที่มีการกล่าวหาว่าพนักงานของจำเลยถูกกล่าวหาหรือมีความผิดเป็นสมาชิกของสหภาพแรงงานการประปาส่วนภูมิภาค จำเลยต้องให้ผู้แทนของสหภาพแรงงานการประปาส่วนภูมิภาคเข้าร่วมเป็นกรรมการสอบสวนด้วย โดยให้สหภาพแรงงานการประปาส่วนภูมิภาคเป็นผู้เสนอชื่อผู้แทนไม่น้อยกว่า 1 คน ดังนั้น การออกคำสั่งของจำเลยหรือทำการสอบสวนพนักงาน จำเลยต้องปฏิบัติตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างโดยเคร่งครัด การที่จำเลยแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นสอบสวนโจทก์ทางวินัยโดยไม่มีผู้แทนของสหภาพแรงงานการประปาส่วนภูมิภาคเข้าร่วมเป็นกรรมการสอบสวนและจำเลยสั่งให้โจทก์ออกจากงานนั้น เป็นคำสั่งที่ขัดต่อข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง จึงเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบและกรณีต้องถือว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยมีการสอบสวนที่ไม่ชอบอันเป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม.(ที่มา-ส่งเสริมฯ)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 371/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สถานะคู่ความก่อนมีคำสั่งประทับฟ้อง: จำเลยไม่มีสิทธิฎีกา
ในคดีอาญาที่ราษฎรเป็นโจทก์ ก่อนที่ศาลประทับฟ้องประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 165 วรรคสามบัญญัติมิให้ถือว่าจำเลยอยู่ในฐานะเช่นนั้น จำเลยจึงไม่มีฐานะเป็นคู่ความ เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ว่า โจทก์ทิ้งฟ้องและให้จำหน่ายคดี จำเลยย่อมไม่มีสิทธิฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 371/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สถานะคู่ความก่อนมีคำสั่งประทับฟ้อง: จำเลยไม่มีสิทธิฎีกา
ในคดีอาญาที่ราษฎรเป็นโจทก์ ก่อนที่ศาลประทับฟ้องประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 165 วรรคสามบัญญัติมิให้ถือว่าจำเลยอยู่ในฐานะเช่นนั้น จำเลยจึงไม่มีฐานะเป็นคู่ความ เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ว่า โจทก์ทิ้งฟ้องและให้จำหน่ายคดี จำเลยย่อมไม่มีสิทธิฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 336/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การริบของกลางและการพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของผู้ร้องในคดีอาญา ผู้ร้องต้องนำสืบพยานหลักฐานแสดงความไม่รู้เห็นเป็นใจ
โจทก์บรรยายในคำฟ้องว่าเจ้าพนักงานจับจำเลยได้พร้อมด้วยรถยนต์บรรทุกซึ่งจำเลยใช้เป็นพาหนะในการกระทำความผิดเป็นของกลาง จำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง ศาลฟังข้อเท็จจริงตามคำฟ้องประกอบคำรับสารภาพของจำเลยว่ารถยนต์บรรทุกที่ผู้ร้องขอคืนเป็นทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำความผิด ซึ่งต้องริบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33(1) เมื่อจำเลยมิได้อุทธรณ์ คำสั่งศาลที่ให้ริบรถยนต์ดังกล่าวจึงเป็นอันยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยให้คืนรถยนต์ของกลางด้วยเหตุว่ารถยนต์ของกลางดังกล่าวมิใช่ทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำความผิดไม่ได้
การขอคืนของกลางที่ศาลสั่งริบตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 36นั้น เป็นส่วนหนึ่งของคดีอาญา เมื่อผู้ร้องอ้างว่าของกลางที่ศาลสั่งริบเป็นของผู้ร้อง ผู้ร้องมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลย ก็เป็นหน้าที่ของผู้ร้องที่จะต้องนำสืบให้ได้ความตามที่กล่าวอ้าง.
การขอคืนของกลางที่ศาลสั่งริบตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 36นั้น เป็นส่วนหนึ่งของคดีอาญา เมื่อผู้ร้องอ้างว่าของกลางที่ศาลสั่งริบเป็นของผู้ร้อง ผู้ร้องมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลย ก็เป็นหน้าที่ของผู้ร้องที่จะต้องนำสืบให้ได้ความตามที่กล่าวอ้าง.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 336/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การริบของกลางและการพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของผู้ร้องในคดีอาญา ผู้ร้องต้องนำสืบหลักฐานยืนยันว่ามิได้รู้เห็นเป็นใจ
โจทก์บรรยายในคำฟ้องว่าเจ้าพนักงานจับจำเลยได้พร้อมด้วยรถยนต์บรรทุกซึ่งจำเลยใช้เป็นพาหนะในการกระทำความผิดเป็นของกลาง จำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง ศาลฟังข้อเท็จจริงตามคำฟ้องประกอบคำรับสารภาพของจำเลยว่ารถยนต์บรรทุกที่ผู้ร้องขอคืนเป็นทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำความผิด ซึ่งต้องริบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 (1) เมื่อจำเลยมิได้อุทธรณ์ คำสั่งศาลที่ให้ริบรถยนต์ดังกล่าวจึงเป็นอันยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยให้คืนรถยนต์ของกลางด้วยเหตุว่ารถยนต์ของกลางดังกล่าวมิใช่ทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำความผิดไม่ได้
การขอคืนของกลางที่ศาลสั่งริบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 36นั้น เป็นส่วนหนึ่งของคดีอาญา เมื่อผู้ร้องอ้างว่าของกลางที่ศาลสั่งริบเป็นของผู้ร้อง ผู้ร้องมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลย ก็เป็นหน้าที่ของผู้ร้องที่จะต้องนำสืบให้ได้ความตามที่กล่าวอ้าง
การขอคืนของกลางที่ศาลสั่งริบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 36นั้น เป็นส่วนหนึ่งของคดีอาญา เมื่อผู้ร้องอ้างว่าของกลางที่ศาลสั่งริบเป็นของผู้ร้อง ผู้ร้องมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลย ก็เป็นหน้าที่ของผู้ร้องที่จะต้องนำสืบให้ได้ความตามที่กล่าวอ้าง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 334/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การคิดเงินเพิ่มจากค่าจ้างค้างชำระ: ศาลยืนตามประกาศกระทรวงมหาดไทยที่กำหนดอัตราเงินเพิ่มรายเจ็ดวัน มิใช่รายปี
จำเลยจงใจผิดนัดจ่ายค่าจ้างแก่โจทก์ผู้เป็นลูกจ้างโดยปราศจากเหตุผลอันสมควรต้องรับผิดจ่ายเงินเพิ่มแก่โจทก์ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงานฯ ข้อ 31 ในอัตราร้อยละ 15 ของเงินค่าจ้างที่ค้างชำระทุกระยะเจ็ดวัน มิใช่ร้อยละ 15ต่อปี.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 334/2530 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การคำนวณเงินเพิ่มจากค่าจ้างค้างชำระ นายจ้างต้องจ่ายร้อยละ 15 ต่อระยะเวลา 7 วัน ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย
จำเลยจงใจผิดนัดจ่ายค่าจ้างแก่โจทก์ผู้เป็นลูกจ้างโดยปราศจากเหตุผลอันสมควรต้องรับผิดจ่ายเงินเพิ่มแก่โจทก์ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ฯ ข้อ 31 ในอัตราร้อยละ 15 ของเงินค่าจ้างที่ค้างชำระทุกระยะเจ็ดวัน มิใช่ร้อยละ 15 ต่อปี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 334/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การคำนวณเงินเพิ่มจากค่าจ้างค้างชำระ นายจ้างต้องจ่ายร้อยละ 15 ต่อระยะเวลา 7 วัน ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย
จำเลยจงใจผิดนัดจ่ายค่าจ้างแก่โจทก์ผู้เป็นลูกจ้างโดยปราศจากเหตุผลอันสมควรต้องรับผิดจ่ายเงินเพิ่มแก่โจทก์ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงานฯ ข้อ 31 ในอัตราร้อยละ 15 ของเงินค่าจ้างที่ค้างชำระทุกระยะเจ็ดวัน มิใช่ร้อยละ 15 ต่อปี.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 294/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำบอกเล่าของผู้ถูกยิงก่อนตายเป็นพยานหลักฐานสำคัญพิสูจน์ตัวผู้กระทำผิด
เมื่อเกิดเหตุแล้ว ผู้ตายซึ่งถูกยิงที่หน้าท้องได้เดินมาขอความช่วยเหลือจาก ก. ซึ่งอยู่ห่างกันประมาณ 50 เมตร แล้วบอกกับ ก. และ ส. ทันทีว่าจำเลยยิง ถ้อยคำของผู้ตายดังกล่าวเป็นคำบอกกล่าวในทันทีทันใดในเวลาใกล้ชิดต่อเนื่องกับเวลาเกิดเหตุและระบุว่าจำเลยเป็นคนร้ายโดยไม่มีโอกาสที่จะคิดใส่ความบุคคลอื่น และผู้ตายได้กล่าวอีกว่า ช่วยผู้ตายหน่อย พร้อมกับขอปัสสาวะของ ก. ดื่มเพื่อกันเลือดขึ้น ใจของผู้ตายไม่ดีเลยให้รีบไปแจ้งความและรีบเอาหมอมา ถ้อยคำของผู้ตายแสดงถึงความรู้สึกว่าตนจะต้องถึงแก่ความตายแล้ว การที่ผู้ตายบอกกล่าวในขณะที่มีความรู้สึกเช่นนั้นว่า คนร้ายที่ยิงตนคือจำเลยเช่นนี้ ย่อมรับฟังเป็นพยานหลักฐานว่าเป็นความจริงตามคำกล่าวได้.(ที่มา-ส่งเสริมฯ)