คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
วิฑูรย์ ตั้งตรงจิตต์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,313 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 909/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิสูจน์ทรัพย์สินที่ร่ำรวยผิดปกติของเจ้าหน้าที่รัฐ ต้องพิจารณาทั้งมูลค่าและที่มาของทรัพย์สิน
พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปราบการทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการ พ.ศ.2518 มาตรา 20 วรรคสามที่บัญญัติว่า "บรรดาทรัพย์สินที่คณะกรรมการวินิจฉัยว่าเป็นทรัพย์สินที่ร่ำรวยขึ้นโดยผิดปกตินั้น ให้พนักงานอัยการยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อให้ศาลวินิจฉัยสั่งว่าทรัพย์สินนั้นเป็นของแผ่นดิน เว้นแต่ผู้นั้นจะแสดงให้ศาลเห็นว่าตนได้ทรัพย์สินนั้นมาในทางที่ชอบ.........." นั้น เห็นได้ว่าการขอให้ศาลสั่งให้ทรัพย์สินของเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้ร่ำรวยผิดปกติเป็นของแผ่นดินได้ เฉพาะกรณีที่ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการ (คณะกรรมการ ป.ป.ป.) วินิจฉัยว่าเป็นทรัพย์สินที่ร่ำรวยขึ้นโดยผิดปกติเท่านั้น และให้ศาลเป็นผู้วินิจฉัยเสียก่อนที่จะมีคำสั่ง มิได้หมายความว่าคำวินิจฉัยของคณะกรรมการ ป.ป.ป. ที่ว่าทรัพย์สินใดเป็นทรัพย์สินที่ร่ำรวยขึ้นผิดปกติเป็นที่สุด ศาลจะต้องสั่งให้ ทรัพย์สินของผู้นั้นเป็นของแผ่นดินและวินิจฉัยเป็นอย่างอื่นไม่ได้ ซึ่งเท่ากับเป็นการแปลกฎหมายห้ามมิให้ศาลตรวจสอบการใช้อำนาจของคณะกรรมการ ป.ป.ป. อันเป็นองค์กรฝ่ายบริหาร ย่อมไม่ชอบ และหากฟังไม่ได้ว่าเป็นทรัพย์สินที่ร่ำรวยขั้นโดยผิดปกติแล้ว ศาลก็ไม่อาจสั่งให้ทรัพย์สินนั้นเป็นของแผ่นดินได้ โดยเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้นั้นหาต้องพิสูจน์ว่าได้ทรัพย์สินมาในทางที่ชอบไม่
ทรัพย์สินที่ร่ำรวยขึ้นโดยผิดปกตินั้นหมายถึงทรัพย์สินที่มีจำนวนมากผิดปกติ เมื่อคำนึงถึงฐานะและรายได้ของเจ้าหน้าที่ของรัฐเจ้าของทรีพย์สินนั้น ซึ่งอาจได้มาในทางที่ชอบและไม่ชอบหรือทั้งสองอย่างรวมกัน ศาลจะสั่งให้เป็นของแผ่นดินได้ เฉพาะทรัพย์สินที่ได้มาในทางที่ไม่ชอบ การสั่งว่าทรัพย์สินใดเป็นทรัพย์ที่ร่ำรวยขึ้นโดยผิดปกติหรือไม่ จึงไม่ใช่พิจารณาจากเหตุที่ทรัพย์สินนั้นได้มาในทางที่ชอบหรือไม่ชอบแต่อย่างใด
พนักงานอัยการผู้ร้องอ้างว่า ผู้คัดค้านซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐได้รับโอนหุ้นจากบริษัทการยินแอร์ - สยาม จำกัด จำนวน 198,000 หุ้น มีมูลค่าตามที่จดทะเบียนไว้ หุ้นละ 100 บาท ถือว่าผู้คัดค้านมีทรัพย์สินราคา 19,800,000 บาท อันเป็นทรัพย์สินที่ผู้คัดค้านร่ำรวยขึ้นผิดปกติ ผู้คัดค้านโต้แย้งว่าขณะที่รับโอนหุ้นมานั้น หุ้นทั้งหมดไม่มีมูลค่า มีราคาไม่เกิน 2 บาท ดังนี้ เมื่อพยานหลักฐานของผู้คัดค้านฟังได้ว่าหุ้นดังกล่าวไม่มีราคาถึงหุ้นละ 100 บาท ตามมูลค่าหุ้นที่จดทะเบียนไว้ แต่จะมีราคาเท่าใด ผู้ร้องไม่นำสืบให้ปรากฏ กรณีจึงไม่อาจฟังได้ว่าหุ้นดังกล่าวเป็นทรัพน์สินที่ร่ำรวยขึ้นผิดปกติดังที่ผู้ร้องกล่าวอ้าง ศาลไม่อาจสั่งให้ทรัพย์สินของผู้คัดค้านเป็นของแผ่นดินได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 909/2529

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การสั่งให้ทรัพย์สินเป็นของแผ่นดินในคดีร่ำรวยผิดปกติ ต้องพิสูจน์ได้ว่าทรัพย์สินนั้นมีมูลค่าสูงกว่าฐานะและรายได้จริง
พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการฯ มาตรา 20 วรรคสาม บัญญัติว่าทรัพย์สินที่คณะกรรมการ ป.ป.ป. วินิจฉัยว่าเป็นทรัพย์สินที่ร่ำรวยขึ้นโดยผิดปกตินั้น ให้พนักงานอัยการยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อให้วินิจฉัยว่าทรัพย์สินเป็นของแผ่นดิน เห็นได้ว่า หากจะลงโทษทางวินัยคณะกรรมการ ป.ป.ป. จะต้องสอบสวนให้ได้ความว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐเป็นผู้ร่ำรวยผิดปกติ แต่จะขอให้ศาลสั่งให้ทรัพย์สินของผู้นั้นเป็นของแผ่นดินได้เฉพาะที่คณะกรรมการ ป.ป.ป. วินิจฉัยว่าเป็นทรัพย์สินที่ร่ำรวยขึ้นโดยผิดปกติเท่านั้น หาใช่ว่า เมื่อคณะกรรมการฯลงมติว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้ใดเป็นผู้ร่ำรวยผิดปกติแล้วศาลจะต้องสั่งให้ทรัพย์สินของผู้นั้นเป็นของแผ่นดินไม่การแปลกฎหมายดังนั้นเท่ากับเป็นการห้ามมิให้ศาลตรวจสอบการใช้อำนาจของคณะกรรมการฯอันเป็นองค์กรฝ่ายบริหาร ย่อมไม่เป็นการสอดคล้องกับการปกครองระบอบประชาธิปไตยของประเทศไทย และหากฟังไม่ได้ว่าเป็นทรัพย์สินที่ร่ำรวยขึ้นโดยผิดปกติแล้วศาลก็ไม่อาจสั่งให้ทรัพย์สินนั้นเป็นของแผ่นดินได้โดยเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้เป็นเจ้าของทรัพย์สินนั้นหาต้องพิสูจน์ว่าได้ทรัพย์สินในทางที่ชอบไม่ ทรัพย์สินที่ร่ำรวยขึ้นโดยผิดปกตินั้น หมายถึงทรัพย์สินที่มีจำนวนมากผิดปกติเมื่อคำนึงถึงฐานะและรายได้ของเจ้าหน้าที่ของรัฐเจ้าของทรัพย์สินนั้น ซึ่งอาจได้มาในทางที่ชอบและไม่ชอบหรือทั้งสองอย่างรวมกันศาลจะสั่งให้เป็นของแผ่นดินได้เฉพาะทรัพย์สินที่ได้มาในทางที่ไม่ชอบการสั่งว่าทรัพย์สินใดเป็นทรัพย์ที่ร่ำรวยขึ้นโดยผิดปกติหรือไม่ จึงมิใช่พิจารณา จากเหตุที่ทรัพย์สินนั้นได้มาในทางที่ชอบ หรือมิชอบแต่อย่างใด ผู้ร้องอ้างว่าผู้คัดค้านได้รับโอนหุ้นของบริษัทการบิน อ.198,000 หุ้น มีมูลค่าตามที่จดทะเบียนไว้หุ้นละ 100 บาทถือว่าผู้คัดค้านมีทรัพย์สินราคา 19,800,000 บาทอันเป็นทรัพย์สินที่ผู้คัดค้านร่ำรวยขึ้นโดยผิดปกติผู้คัดค้านโต้แย้งว่าขณะรับโอนหุ้นมา หุ้นไม่มีมูลค่ามีราคาไม่เกิน 2 บาทดังนี้ เมื่อพยานหลักฐานของผู้คัดค้านฟังได้ว่าหุ้นดังกล่าวไม่มีราคาตามมูลค่าหุ้นที่จดทะเบียนไว้ แต่จะมีราคาเท่าใดผู้ร้องไม่นำสืบให้ปรากฏกรณีจึงไม่อาจฟังได้ว่าหุ้นดังกล่าวเป็นทรัพย์สินที่ร่ำรวยขึ้นโดยผิดปกติดังที่ผู้ร้องกล่าวอ้าง ศาลไม่อาจสั่งให้ทรัพย์สินของผู้คัดค้านเป็นของแผ่นดินได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 882-899/2529

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ หน่วยราชการไม่ต้องรับผิดในสัญญาเช่าซื้อที่จัดสรรโดยคณะกรรมการในนามสวัสดิการ แม้ใช้ชื่อหน่วยงาน
สำนักงานเร่งรัดพัฒนาชนบทจำเลยที่1เป็นนิติบุคคลมีฐานะเท่ากรมในรัฐบาลเป็นหน่วยราชการมีหน้าที่พัฒนาชนบทตามนโยบายรัฐบาลมิได้มีอำนาจหน้าที่ในการจัดสรรที่ดินให้ประชาชนทั่วไปเช่าซื้อการจัดสรรที่ดินจึงมิใช่ราชการของจำเลยที่1การที่จำเลยที่1ตั้งคณะกรรมการขึ้นดำเนินการจัดสรรที่ดินโดยคณะกรรมการดังกล่าวดำเนินงานในนามของสวัสดิการสำนักงานเร่งรัดพัฒนาชนบทสวัสดิการสำนักงานเร่งรัดพัฒนาชนบทดังกล่าวก็มิใช่ส่วนราชการของจำเลยที่1การดำเนินงานของสวัสดิการสำนักงานเร่งรัดพัฒนาชนบทจึงมิใช่ราชการของจำเลยที่1การประกาศจัดสรรที่ดินก็ดีสัญญาเช่าซื้อที่ดินก็ดีใบเสร็จรับเงินก็ดีล้วนแต่ทำในนามของสวัสดิการของสำนักงานเร่งรัดพัฒนาชนบทมิได้กระทำในนามของจำเลยที่1แม้จำเลยที่1ได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นจัดสรรที่ดินก่อให้เกิดความเข้าใจผิดแก่ประชาชนว่าเป็นผู้จัดสรรที่ดินซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่สมควรก็ตามก็ไม่มีผลให้การจัดสรรที่ดินกลายเป็นราชการของจำเลยที่1จำเลยที่1จึงไม่ต้องรับผิดตามสัญญาเช่าซื้อดังกล่าว.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 882-899/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ หน่วยราชการไม่ต้องรับผิดในสัญญาเช่าซื้อที่ดิน หากการจัดสรรไม่ได้ทำในนามหน่วยงาน แต่ทำโดยสวัสดิการที่ไม่ได้เป็นส่วนราชการ
สำนักงานเร่งรัดพัฒนาชนบทจำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคล มีฐานะเท่ากรมในรัฐบาล เป็นหน่วยราชการ มีหน้าที่พัฒนาชนบทตามนโยบายรัฐบาลมิได้มีอำนาจหน้าที่ในการจัดสรรที่ดินให้ประชาชนทั่วไปเช่าซื้อ การจัดสรรที่ดินจึงมิใช่ราชการของจำเลยที่ 1 การที่จำเลยที่ 1 ตั้งคณะกรรมการขึ้นดำเนินการจัดสรรที่ดิน โดยคณะกรรมการดังกล่าวดำเนินงานในนามของสวัสดิการสำนักงานเร่งรัดพัฒนาชนบท สวัสดิการสำนักงานเร่งรัดพัฒนาชนบทดังกล่าวกมิใช่ส่วนราชการของจำเลยที่ 1 การดำเนินงานของสวัสดิการสำนักเร่งรัดพัฒนาชนบทจึงมิใช่ราชการของจำเลยที่ 1 การประกาศจัดสรรที่ดินก็ดี สัญญาเช่าซื้อที่ดินก็ดี ใบเสร็จรับเงินก็ดี ีล้วนแต่ทำในนามของสวัสดิการของสำนักงานเร่งรัดพัฒนาชนบทมิได้กระทำในนามของจำเลยที่ 1 แม้จำเลยที่ 1 ได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นจัดสรรที่ดิน ก่อให้เกิดความเข้าใจผิดแก่ประชาชนว่าเป็นผู้จัดสรรที่ดิน ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่สมควรก็ตาม ก็ไม่มีผลให้การจัดสรรที่ดินกลายเป็นราชการของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิดตามสัญญาเช่าซื้อดังกล่าว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 851/2529

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อนจากความหึงหวงและแผนการกำจัดคู่แข่ง ชี้พฤติการณ์ร้ายแรง ยืนโทษประหาร
จำเลยและผู้ตายต่างเป็นภริยาของส. วันเกิดเหตุจำเลยนำปืนติดตัวตั้งใจไปพบผู้ตายที่บ้านของผู้ตายเมื่อพบผู้ตายจำเลยยื่นหนังสือที่ส. เขียนให้จำเลยซึ่งมีข้อความว่าส. จะหย่าร้างกับผู้ตายให้ผู้ตายอ่านแล้วจำเลยหยิบปืนที่ตระเตรียมมาจ้องยิงผู้ตายทันที2นัดติดๆกันพฤติการณ์ดังกล่าวย่อมแสดงชัดว่าจำเลยโกรธผู้ตายด้วยอารมณ์หึงหวงแล้วจำเลยดำเนินการตามแผนการณ์เป็นลำดับมาด้วยความมุ่งหมายที่จะได้ส. มาเป็นสามีแต่ผู้เดียวการกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 688/2529 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ทำร้ายร่างกายด้วยอาวุธมีคม ไม่ถึงแก่ชีวิต ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าไม่มีเจตนาฆ่า
จำเลยใช้ขวดสุราตีหน้าผากผู้เสียหาย 1 ครั้ง มีบาดแผลที่หน้าผากด้านซ้าย ด้านขวาและเหนือหูขวา ยาว 3, 2.5, และ 3 เซนติเมตรตามลำดับ และใช้มีดแทงผู้เสียหายถูกแขนซ้ายและอกด้านซ้ายมีบาดแผลยาว 2 และ 1 เซนติเมตรตามลำดับ เฉพาะแผลที่อกด้านซ้ายลึกประมาณ 1 เซนติเมตร ถูกกล้ามเนื้อไม่ทะลุเข้าไปถึงอวัยวะภายในและอาวุธที่ใช้มิได้ถูกกระดูกเมื่อเกิดเหตุแล้วมีผู้อื่นเข้ามาห้าม จำเลยก็เชื่อฟัง เหตุทำร้ายเพราะผู้เสียหายต่อว่าจำเลยว่าเป็นสายลับให้ตำรวจ ตามลักษณะบาดแผลและตามพฤติการณ์ของจำเลยดังกล่าว ยังไม่พอฟังว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 688/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาในการทำร้ายร่างกาย: การประเมินจากบาดแผลและพฤติการณ์เพื่อวินิจฉัยความผิดฐานพยายามฆ่า
จำเลยใช้ขวดสุราตีและใช้มีดปลายแหลมแทงผู้เสียหายมีบาดแผลทั้งสิ้น5แผลคือที่หน้าผากด้านขวายาวประมาณ2.5ซ.ม.หน้าผากด้านซ้ายยาวประมาณ3ซ.ม.เหนือหูขวายาวประมาณ3ซ.ม.แขนซ้ายยาวประมาณ2ซ.ม.อกด้านซ้ายยาวประมาณ1ซ.ม.เฉพาะแผลที่อกด้านซ้ายซึ่งลึกประมาณ1ซ.ม.เพียงแต่ถูกกล้ามเนื้อไม่ทะลุเข้าไปถึงอวัยวะภายในและอาวุธมิได้ถูกกระดูกแพทย์ลงความเห็นว่ารักษาหายภายใน7วันบาดแผลที่จำเลยทำร้ายผู้เสียหายแต่ละแผลไม่อาจทำให้ผู้เสียหายเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้เมื่อเกิดเหตุแล้วมีคนมาจับจำเลยไว้และขอร้องไม่ให้แทงผู้เสียหายอีกจำเลยก็ยอมเชื่อฟังกรณีจึงไม่พอฟังว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหายจำเลยจึงไม่มีความผิดฐานพยายามฆ่าคงผิดแต่เพียงฐานทำร้ายร่างกายผู้เสียหายจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายเท่านั้น.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 688/2529

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาฆ่าจากบาดแผลและการทำร้ายร่างกาย: ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าพฤติการณ์และบาดแผลไม่พอฟังว่าจำเลยมีเจตนาฆ่า
จำเลยใช้ขวดสุราตีหน้าผากผู้เสียหาย1ครั้งมีบาดแผลที่หน้าผากด้านซ้ายด้านขวาและเหนือหูขวายาว3,2.5,และ3เซนติเมตรตามลำดับและใช้มีดแทงผู้เสียหายถูกแขนซ้ายและอกด้านซ้ายมีบาดแผลยาว2และ1เซนติเมตรตามลำดับเฉพาะแผลที่อกด้านซ้ายลึกประมาณ1เซนติเมตรถูกกล้ามเนื้อไม่ทะลุเข้าไปถึงอวัยวะภายในและอาวุธที่ใช้มิได้ถูกกระดูกเมื่อเกิดเหตุแล้วมีผู้อื่นเข้ามาห้ามจำเลยก็เชื่อฟังเหตุทำร้ายเพราะผู้เสียหายต่อว่าจำเลยว่าเป็นสายลับให้ตำรวจตามลักษณะบาดแผลและตามพฤติการณ์ของจำเลยดังกล่าวยังไม่พอฟังว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 463/2529 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ร่วมกันชิงทรัพย์: การแบ่งหน้าที่แสดงเจตนาพิเศษร่วมกันกระทำผิด
จำเลยกับ ว. ไปยังที่เกิดเหตุด้วยกันและคุยกันอยู่เป็นเวลาถึง 10 นาที จึงแยกกันไปรออยู่ในบริเวณที่เกิดเหตุ พอ ว. กระชากเอาสร้อยคอของผู้เสียหายวิ่งหนี ป. ไปได้เพียง 7.8 เมตร จำเลยก็เข้าขัดขวางโดยกำหมัดยกแขนจะทำร้าย ป. ทันทีการกระทำของจำเลยดังกล่าวแสดงว่าจำเลยกับ ว.ตกลงกันมาก่อนแล้วว่าเมื่อเกิดเหตุจำเลยมีหน้าที่กระทำอย่างไร เป็นการแบ่งแยกหน้าที่กันกระทำและเป็นการร่วมกับ ว. ทำการชิงทรัพย์ผู้เสียหาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 463/2529

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกระทำที่แสดงเจตนาตกลงร่วมกันก่อนลงมือชิงทรัพย์ ถือเป็นการกระทำความผิดฐานชิงทรัพย์ร่วมกัน
จำเลยกับว.ไปยังที่เกิดเหตุด้วยกันและคุยกันอยู่เป็นเวลาถึง10นาทีจึงแยกกันไปรออยู่ในบริเวณที่เกิดเหตุพอว.กระชากเอาสร้อยคอของผู้เสียหายวิ่งหนีป.ไปได้เพียง7.8เมตรจำเลยก็เข้าขัดขวางโดยกำหมัดยกแขนจะทำร้ายป.ทันทีการกระทำของจำเลยดังกล่าวแสดงว่าจำเลยกับว.ตกลงกันมาก่อนแล้วว่าเมื่อเกิดเหตุจำเลยมีหน้าที่กระทำอย่างไรเป็นการแบ่งแยกหน้าที่กันกระทำและเป็นการร่วมกับว.ทำการชิงทรัพย์ผู้เสียหาย.
of 132