คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
วิฑูรย์ ตั้งตรงจิตต์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,313 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 645/2532

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การคำนวณรายได้เพื่อเสียภาษีของบริษัทผู้ประกอบการป่าไม้ และข้อจำกัดในการอุทธรณ์
โจทก์เป็นผู้ทำไม้ตาม ที่ได้รับสัมปทานเอง ลูกช่วงของโจทก์คือผู้รับจ้างตัด ฟันไม้จากโจทก์ การทำป่าไม้สัมปทานคือกิจการของโจทก์ตรง ตาม วัตถุประสงค์ของบริษัทโจทก์ การคำนวณรายได้เพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล จึงต้อง คำนวณจากรายได้ในการขายไม้ทั้งหมดซึ่งรวมค่าใช้จ่ายต่าง ๆ อยู่ด้วย จะคิดจากรายได้ของโจทก์ที่หักเงินส่วนที่จ่ายให้ลูกช่วงแล้วโดย อ้างว่าเงินเหล่านั้นเป็นค่าใช้จ่ายของลูกช่วง และโจทก์คงได้ รายได้เฉพาะ ค่าใบอนุญาตทำไม้ตาม สัมปทานเท่านั้นไม่ได้ ประมวลรัษฎากร มาตรา 40(3) และ (8) เป็นบทบัญญัติเกี่ยวกับเงินได้บุคคลธรรมดา ไม่เกี่ยวกับเงินได้ของนิติบุคคลซึ่ง ต้องเป็นไปตาม ประมวลรัษฎากร มาตรา 65 โจทก์อุทธรณ์ว่า จำเลยไม่มีอำนาจให้โจทก์เสียเงินเพิ่มตามประมวลรัษฎากร มาตรา 22 เพราะจำเลยเปลี่ยนรายได้ของโจทก์และประเมินใหม่แล้วจะเรียกเงินเพิ่มจากโจทก์ไม่ได้ แต่ โจทก์มิได้อุทธรณ์ความข้อนี้ไว้ต่อ คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ และไม่ได้กล่าวอ้างไว้ในคำฟ้อง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย อายุความตาม คำฟ้องโจทก์แตกต่าง กับอายุความตาม ที่โจทก์อุทธรณ์ปัญหาตาม อุทธรณ์ของโจทก์จึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลชั้นต้น ต้องห้ามอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 620/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การป้องกันตัวเกินกว่าเหตุ: การใช้อาวุธปืนยิงตอบโต้เมื่อถูกทำร้ายด้วยมีดครัว
การที่ผู้ตายถือมีดใช้ทำครัวบุกรุกเข้าไปในห้องจำเลยลักษณะที่จะใช้มีดนั้นทำร้ายร่างกายจำเลย นับได้ว่าการกระทำของผู้ตายเป็นภยันตรายต่อจำเลย ซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง จำเลยจึงมีสิทธิที่จะกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดพอสมควรแก่เหตุ เพื่อป้องกันตนเองได้ แต่การที่จำเลยใช้อาวุธปืนซึ่งมีอานุภาพในการทำลายร้ายแรงยิงผู้ตายถึง 5 นัดแม้จะปรากฏว่าผู้ตายมีรูปร่างสูงใหญ่กว่าจำเลยก็ตาม ก็นับว่าเป็นการกระทำเกินกว่ากรณีแห่งการจำต้องกระทำเพื่อป้องกัน การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบด้วยมาตรา69.(ที่มา-ส่งเสริม)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 620/2532

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การป้องกันตนเองเกินกว่าเหตุ: ใช้อาวุธปืนยิงตอบโต้เมื่อถูกทำร้ายด้วยมีด
จำเลยกับผู้ตายอยู่บ้านหลังเดียวกัน วันเกิดเหตุจำเลยกับผู้ตายร่วมวงดื่ม สุรากัน ผู้ตายเมาสุรา จึงมีผู้แยกผู้ตายไป ต่อมาผู้ตายกลับมาอีกถือ มีดทำครัวเข้ามาในห้องจำเลยในลักษณะจะใช้ มีดนั้นทำร้ายร่างกายจำเลย ผู้ตายมีรูปร่างสูงใหญ่กว่าจำเลย จำเลยจึงใช้ อาวุธปืนยิงผู้ตายถึงแก่ความตาย ดังนี้ การกระทำของผู้ตายเป็นภยันตรายต่อ จำเลย ซึ่ง เกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อ กฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง จำเลยจึงมีสิทธิป้องกันตนเองได้ แต่ ผู้ตายมีเพียงมีดทำครัว การที่จำเลยใช้ อาวุธปืนซึ่งมีอานุภาพร้ายแรงยิงผู้ตายถึง 5 นัด จึงเป็นการกระทำเกินกว่ากรณีแห่งการที่จำต้องทำเพื่อป้องกัน ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 69.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 620/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การป้องกันตัวเกินกว่าเหตุ: การใช้อาวุธปืนยิงตอบโต้ด้วยมีดครัว
จำเลยกับผู้ตายอยู่บ้านหลังเดียวกัน วันเกิดเหตุจำเลยกับผู้ตายร่วมวงดื่มสุรากัน ผู้ตายเมาสุรา จึงมีผู้แยกผู้ตายไป ต่อมาผู้ตายกลับมาอีกถือมีดทำครัวเข้ามาในห้องจำเลยในลักษณะจะใช้มีดนั้นทำร้ายร่างกายจำเลย ผู้ตายมีรูปร่างสูงใหญ่กว่าจำเลย จำเลยจึงใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายถึงแก่ความตาย ดังนี้ การกระทำของผู้ตายเป็นภยันตรายต่อจำเลย ซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึงจำเลยจึงมีสิทธิป้องกันตนเองได้แต่ผู้ตายมีเพียงมีดทำครัว การที่จำเลยใช้อาวุธปืนซึ่งมีอานุภาพร้ายแรงยิงผู้ตายถึง 5 นัด จึงเป็นการกระทำเกินกว่ากรณีแห่งการที่จำต้องทำเพื่อป้องกัน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 69

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 620/2532 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิป้องกันตนเองเกินกว่าเหตุ: การใช้กำลังเกินความจำเป็นในการป้องกันตัว
จำเลยกับผู้ตายอยู่บ้านหลังเดียวกัน วันเกิดเหตุจำเลยกับผู้ตายร่วมวงดื่ม สุรากัน ผู้ตายเมาสุรา จึงมีผู้แยกผู้ตายไป ต่อมาผู้ตายกลับมาอีกถือ มีดทำครัวเข้ามาในห้องจำเลยในลักษณะจะใช้ มีดนั้นทำร้ายร่างกายจำเลย ผู้ตายมีรูปร่างสูงใหญ่กว่าจำเลย จำเลยจึงใช้ อาวุธปืนยิงผู้ตายถึงแก่ความตาย ดังนี้ การกระทำของผู้ตายเป็นภยันตรายต่อ จำเลย ซึ่ง เกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อ กฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง จำเลยจึงมีสิทธิป้องกันตนเองได้ แต่ ผู้ตายมีเพียงมีดทำครัว การที่จำเลยใช้ อาวุธปืนซึ่งมีอานุภาพร้ายแรงยิงผู้ตายถึง ๕ นัด จึงเป็นการกระทำเกินกว่ากรณีแห่งการที่จำต้องทำเพื่อป้องกัน ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๖๙.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 583/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยื่นบัญชีระบุพยานในชั้นไต่สวนอนาถาใช้เป็นบัญชีพยานในชั้นพิจารณาได้หากไม่มีข้อจำกัด, ศาลควรอนุญาตพยานเพิ่มเติมหากมีเหตุสมควร
โจทก์ยื่นบัญชีระบุพยานในระหว่างที่มีการไต่สวนคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถา โดยโจทก์ไม่ได้ระบุไว้ว่าเป็นการระบุพยานเฉพาะในชั้นไต่สวนคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาของโจทก์เท่านั้น แสดงว่าโจทก์มุ่งประสงค์ให้เป็นบัญชีระบุพยานของโจทก์ตลอดไปทั้งคดี หาได้มุ่งใช้เฉพาะการใดการหนึ่งไม่ จึงถือได้ว่าบัญชีระบุพยานของโจทก์ดังกล่าวเป็นบัญชีระบุพยานโจทก์ในชั้นพิจารณาคดี ซึ่งได้ยื่นต่อศาลภาษีอากรกลางก่อนวันชี้สองสถานไม่น้อยกว่าเจ็ดวัน ตามที่กำหนดไว้ในข้อ 8 แห่งข้อกำหนดคดีภาษีอากรแล้ว.
เมื่อคำร้องของโจทก์ที่ขอระบุพยานเพิ่มเติมแสดงเหตุอันสมควรได้ว่าพยานหลักฐานที่โจทก์ขออนุญาตอ้างเพิ่มเติมภายหลังวันชี้สองสถานโจทก์เพิ่งทราบที่อยู่และข้อเท็จจริงจากพยานของโจทก์จำเป็นจะต้องสืบพยานเพิ่มเติมเพื่อให้การวินิจฉัยชี้ขาดข้อสำคัญแห่งประเด็นเป็นไปโดยเที่ยงธรรม ศาลควรอนุญาตให้โจทก์ยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมได้ตามข้อกำหนดคดีภาษีอากร.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 583/2532

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยื่นบัญชีระบุพยานก่อนวันชี้สองสถานและการอนุญาตให้ยื่นเพิ่มเติมภายหลัง หากมีเหตุสมควร
โจทก์ยื่นบัญชีระบุพยานในระหว่างที่มีการไต่สวนคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถา โดยโจทก์ไม่ได้ระบุไว้ว่าเป็นการระบุพยานเฉพาะในชั้นไต่สวนคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาของโจทก์เท่านั้น แสดงว่าโจทก์มุ่งประสงค์ให้เป็นบัญชีระบุพยานของโจทก์ตลอดไปทั้งคดี หาได้มุ่งใช้เฉพาะการใดการหนึ่งไม่ จึงถือได้ว่าบัญชีระบุพยานของโจทก์ดังกล่าว เป็นบัญชีระบุพยานโจทก์ในชั้นพิจารณาซึ่งได้ยื่นต่อศาลภาษีอากรกลางก่อนวันชี้สองสถานไม่น้อยกว่าเจ็ดวัน ตามที่กำหนดไว้ในข้อ 8 แห่งข้อกำหนดคดีภาษีอากรแล้ว เมื่อคำร้องของโจทก์ที่ขอระบุพยานเพิ่มเติมแสดงเหตุอันสมควรได้ว่าพยานหลักฐานที่โจทก์ขออนุญาตอ้างเพิ่มเติมภายหลังวันชี้สองสถาน โจทก์เพิ่งทราบที่อยู่และข้อเท็จจริงจากพยานของโจทก์จำเป็นจะต้องสืบพยานเพิ่มเติมเพื่อให้การวินิจฉัยชี้ขาดข้อสำคัญแห่งประเด็นเป็นไปโดยเที่ยงธรรม ศาลควรอนุญาตให้โจทก์ยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมได้ตามข้อกำหนดคดีภาษีอากร

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 582/2532

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ แจ้งความเท็จทำให้ผู้อื่นถูกดำเนินคดี ถือเป็นความผิดฐานแจ้งความเท็จ แม้ฟ้องไม่แนบเอกสารก็ไม่เคลือบคลุม
จำเลยนำบ้านของผู้อื่นมาขายให้โจทก์ โดยอ้างว่าเป็นของจำเลย โจทก์จึงไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนมีสาระสำคัญว่าสัญญาซื้อขายบ้านดังกล่าวล้มเลิก และจำเลยจะคืนเงินค่าซื้อบ้านให้แก่โจทก์ ต่อมาจำเลยไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนว่า โจทก์แจ้งความเท็จกล่าวหาว่าจำเลยฉ้อโกงโจทก์ ซึ่งข้อสาระสำคัญไม่ตรงกับข้อความที่โจทก์แจ้งไว้เป็นเหตุให้โจทก์ถูกจับกุมดำเนินคดี ดังนี้ จำเลยมีความผิดฐานแจ้งความเท็จ
คำฟ้องบรรยายการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่า จำเลยได้กระทำความผิดไว้พอสมควรเท่าที่จะทำให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีแม้ไม่แนบรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีของเจ้าพนักงานตำรวจมาด้วย ก็ชอบด้วย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5).(ที่มา-ส่งเสริม)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 562/2532

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การโต้แย้งการประเมินภาษีโรงเรือนและที่ดินต้องกระทำภายในกำหนด หากพ้นกำหนดจะเสียสิทธิในการโต้แย้ง
จำเลยไม่พอใจการประเมินของพนักงานเจ้าหน้าที่ของโจทก์ให้เสียภาษีก็ชอบที่จะยื่นคำโต้แย้งคัดค้านการประเมิน หรือขอให้พิจารณาการประเมินนั้นใหม่ตามมาตรา 25 แห่งพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ. 2475 และหากจำเลยยังไม่พอใจการชี้ขาดการประเมิน ก็อาจนำคดีไปสู่ศาลเพื่อแสดงให้ศาลเห็นว่าการประเมินนั้นไม่ถูกต้องได้ แต่ต้องทำภายในสามสิบวันนับแต่วันรับแจ้งความให้ทราบคำชี้ขาดตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 31 วรรคหนึ่งทั้งนี้ จำเลยจะต้องชำระค่าภาษีทั้งสิ้น ซึ่งถึงกำหนดต้องชำระเสียก่อนตามมาตรา 39 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวเมื่อจำเลยมิได้ปฏิบัติตามมาตรา 31 วรรคหนึ่ง และมาตรา 39วรรคหนึ่ง จำเลยจึงไม่มีสิทธิโต้แย้งต่อศาลได้ว่าการประเมินภาษีโรงเรือนและที่ดินเป็นการไม่ชอบ ในการโต้แย้งนั้น ไม่ว่าผู้รับประเมินจะอยู่ในฐานะโจทก์หรือจำเลย ผู้รับประเมินก็หมดสิทธิดังกล่าวเช่นเดียวกัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 562/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การโต้แย้งภาษีโรงเรือน: ต้องยื่นคัดค้านหรือฟ้องภายในกำหนด และชำระภาษีไว้ก่อน จึงจะมีสิทธิโต้แย้งได้
จำเลยไม่พอใจการประเมินของพนักงานเจ้าหน้าที่ของโจทก์ให้เสียภาษี ก็ชอบที่จะยื่นคำโต้แย้งคัดค้านการประเมิน หรือขอให้พิจารณาการประเมินนั้นใหม่ตามมาตรา 25 แห่ง พระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ. 2475 และหากจำเลยยังไม่พอใจการชี้ขาดการประเมิน ก็อาจนำคดีไปสู่ศาลเพื่อแสดงให้ศาลเห็นว่าการประเมินนั้นไม่ถูกต้องได้ แต่ต้องทำภายในสามสิบวันนับแต่วันรับแจ้งความให้ทราบคำชี้ขาดตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 31วรรคหนึ่ง ทั้งนี้ จำเลยจะต้องชำระค่าภาษีทั้งสิ้นซึ่งถึงกำหนดต้องชำระเสียก่อนตามมาตรา 39 วรรคหนึ่ง แห่ง พระราชบัญญัติดังกล่าว เมื่อจำเลยมิได้ปฏิบัติตามมาตรา 31 วรรคหนึ่ง และมาตรา 39 วรรคหนึ่ง จำเลยจึงไม่มีสิทธิโต้แย้งต่อศาลได้ว่าการประเมินภาษีโรงเรือนและที่ดินเป็นการไม่ชอบ ในการโต้แย้งนั้นไม่ว่าผู้รับประเมินจะอยู่ในฐานะโจทก์หรือจำเลยผู้รับประเมินก็หมดสิทธิดังกล่าวเช่นเดียวกัน.(ที่มา-ส่งเสริม)
of 132