คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
วิฑูรย์ ตั้งตรงจิตต์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,313 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2168/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขายอสังหาริมทรัพย์เป็นทางค้าหรือหากำไร ต้องเสียภาษีการค้าและภาษีเงินได้
โจทก์ขายอสังหาริมทรัพย์เป็นทางค้าหรือหากำไร จึงเป็นผู้ประกอบการค้าตามประมวลรัษฎากร มาตรา 78 และบัญชีอัตราภาษีการค้าประเภทการค้า 11 โจทก์ต้องเสียภาษีการค้า โจทก์ซื้อที่ดินมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2507 และเพิ่งแบ่งที่ดินบางส่วนมาสร้างตึกแถวขึ้นภายหลัง เพื่อประสงค์จะขายตึกแถวพร้อมที่ดินโดยแบ่งเป็นคูหา ตึกแถวที่สร้างขึ้นใหม่จึงเป็นตึกแถวที่โจทก์สร้างขึ้นมาเพื่อขายหากำไรโดยเฉพาะ เงินได้จากการขายตึกแถวเป็นเงินได้พึงประเมินตามความหมายของประมวลรัษฎากร มาตรา 40(8)เพราะคำว่า "การอื่น" นอกจากที่ระบุไว้ใน (1) ถึง (7) ดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 40(8) นั้นหมายถึงเงินได้จากการอื่นนอกจากที่ระบุไว้ในมาตรา 40(1) ถึง (7) ก็ถือเป็นเงินได้ตามมาตรา 40(8)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2168/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขายอสังหาริมทรัพย์เพื่อหากำไร ถือเป็นการค้า ต้องเสียภาษีการค้าและภาษีเงินได้
โจทก์ขายอสังหาริมทรัพย์เป็นทางค้าหรือหากำไร จึงเป็นผู้ประกอบการค้าตามประมวลรัษฎากร มาตรา 78 และบัญชีอัตราภาษีการค้าประเภทการค้า 11 โจทก์ต้องเสียภาษีการค้า
โจทก์ซื้อที่ดินมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2507 และเพิ่งแบ่งที่ดินบางส่วนมาสร้างตึกแถวขึ้นภายหลัง เพื่อประสงค์จะขายตึกแถวพร้อมที่ดินโดยแบ่งเป็นคูหาตึกแถวที่สร้างขึ้นใหม่จึงเป็นตึกแถวที่โจทก์สร้างขึ้นมาเพื่อขายหากำไรโดยเฉพาะเงินได้จากการขายตึกแถวเป็นเงินได้พึงประเมินตามความหมายของประมวลรัษฎากร มาตรา 40(8) เพราะคำว่า 'การอื่น' นอกจากที่ระบุไว้ใน (1) ถึง (7) ดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 40(8) นั้นหมายถึงเงินได้จากการอื่นนอกจากที่ระบุไว้ในมาตรา 40(1)ถึง (7) ก็ถือเป็นเงินได้ตามมาตรา 40(8).

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2156/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิเลือกได้ระหว่างบอกเลิกสัญญาหรือเรียกค่าปรับรายวัน สัญญาซื้อขายกำหนดสิทธิแยกกันชัดเจน การใช้สิทธิบอกเลิกแล้วย่อมไม่อาจเรียกค่าปรับได้อีก
ตามสัญญาข้อ 8 โจทก์มีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้หากจำเลยไม่ส่งมอบของหรือส่งมอบไม่ถูกต้อง หรือไม่ครบถ้วนและมีสิทธิเรียกร้องจากธนาคารผู้ออกหนังสือค้ำประกัน รวมทั้งมีสิทธิที่จะซื้อของจากผู้อื่นและเรียกราคาที่เพิ่มขึ้นจากจำเลย ตามสัญญาข้อ 9 โจทก์ไม่ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญา และมีสิทธิเรียกเอาค่าปรับจากจำเลยเป็นรายวันได้ ดังนี้ เมื่อจำเลยไม่ส่งมอบสิ่งของให้แก่โจทก์เลยโจทก์ได้ใช้สิทธเลิกสัญญาและเรียกร้องจากธนาคารผู้ออกหนังสือค้ำประกัน อันเป็นการใช้สิทธิตามสัญญาข้อ 8 แล้ว โจทก์จึงไม่มีสิทธิที่จะเรียกค่าปรับเป็นรายวันจากจำเลยตามสัญญาข้อ 9 ได้อีก
ศาลชั้นต้นไม่ได้กำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาทว่า จำเลยที่ 1ไม่มีวัตถุประสงค์ในการซื้อขายลูกปืน จำเลยทั้งสองมิได้โต้แย้งเป็นประการอื่น ปัญหาดังกล่าวจึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย.(ที่มา-ส่งเสริมฯ)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2141/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องหย่าเนื่องจากพฤติกรรมประพฤติชั่ว การเล่นการพนันเป็นเหตุให้ได้รับความอับอายและเดือดร้อน
จำเลยชอบเล่นการพนันมานาน โจทก์ห้ามปรามก็ไม่เชื่อบางครั้งนำทรัพย์สินภายในบ้านไปจำนำเอาเงินไปเล่นการพนันจำเลยเคยถูกจับฐานเล่นการพนันถูกดำเนินคดีจนศาลพิพากษาลงโทษ ก็ยังไม่เลิก โจทก์เป็นตำรวจต้องถูกผู้บังคับบัญชาเรียกไปตักเตือนว่าหากไม่ห้ามให้จำเลยเลิกเล่น จะย้ายโจทก์ โจทก์ต้องเลี้ยงดูทั้งครอบครัว เมื่อจำเลยเล่นการพนันเสียบางครั้งเงินก็ไม่พอใช้จ่ายพฤติการณ์ของจำเลยถือว่าเป็นการประพฤติชั่วเป็นเหตุให้โจทก์ผู้เป็นสามีได้รับความอับอายขายหน้าอย่างร้ายแรง และได้รับความเสียหายหรือเดือดร้อนเกินควร ในเมื่อเอาสภาพฐานะและความเป็นอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยามาคำนึงประกอบ โจทก์จึงฟ้องหย่าจำเลยได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516(2)(ก)และ(ค)
การจดทะเบียนการหย่าโดยคำพิพากษาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1531 วรรคสอง คู่สมรสไม่จำต้องไปแสดงเจตนาขอจดทะเบียนการหย่าต่อนายทะเบียนอีก ทั้งตามพระราชบัญญัติจดทะเบียนครอบครัว พ.ศ. 2478 มาตรา 16 ก็บัญญัติให้ผู้มีส่วนได้เสียเพียงแต่ยื่นสำเนาคำพิพากษาอันถึงที่สุดที่รับรองถูกต้องแล้วต่อนายทะเบียน และขอให้นายทะเบียนบันทึกการหย่าไว้ในทะเบียนเท่านั้นศาลจึงไม่จำต้องสั่งคำขอของโจทก์ที่ขอให้จำเลยไปจดทะเบียนหย่า หากไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2141/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องหย่าเนื่องจากพฤติกรรมประพฤติชั่วเล่นการพนันเป็นอาจิณ ทำให้ได้รับความอับอายและเสียหาย
จำเลยชอบเล่นการพนันมานาน โจทก์ห้ามปรามก็ไม่เชื่อบางครั้งนำทรัพย์สินภายในบ้านไปจำนำเอาเงินไปเล่นการพนันจำเลยเคยถูกจับฐานเล่นการพนันถูกดำเนินคดีจนศาลพิพากษาลงโทษก็ยังไม่เลิกโจทก์เป็นตำรวจต้องถูกผู้บังคับบัญชาเรียกไปตักเตือนว่าหากไม่ห้ามให้จำเลยเลิกเล่น จะย้ายโจทก์ โจทก์ต้องเลี้ยงดูทั้งครอบครัว เมื่อจำเลยเล่นการพนันเสียบางครั้งเงินก็ไม่พอใช้จ่ายพฤติการณ์ของจำเลยถือว่าเป็นการประพฤติชั่วเป็นเหตุให้โจทก์ผู้เป็นสามีได้รับความอับอายขายหน้าอย่างร้ายแรง และได้รับความเสียหายหรือเดือดร้อนเกินควร ในเมื่อเอาสภาพฐานะและความเป็นอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยามาคำนึงประกอบ โจทก์จึงฟ้องหย่าจำเลยได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516(2)(ก)และ(ค) การจดทะเบียนการหย่าโดยคำพิพากษาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1531 วรรคสอง คู่สมรสไม่จำต้องไปแสดงเจตนาขอจดทะเบียนการหย่าต่อนายทะเบียนอีก ทั้งตามพระราชบัญญัติจดทะเบียนครอบครัวพ.ศ. 2478 มาตรา 16 ก็บัญญัติให้ผู้มีส่วนได้เสียเพียงแต่ยื่นสำเนาคำพิพากษาอันถึงที่สุดที่รับรองถูกต้องแล้วต่อนายทะเบียนและขอให้นายทะเบียนบันทึกการหย่าไว้ในทะเบียนเท่านั้นศาลจึงไม่จำต้องสั่งคำขอของโจทก์ที่ขอให้จำเลยไปจดทะเบียนหย่า หากไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2134/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองสินค้าหนีภาษีและการพิสูจน์การเสียภาษีของจำเลยตาม พ.ร.บ.ศุลกากร
การฟ้องคดีว่าจำเลยนำสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักรหรือรับสินค้าจากผู้ลักลอบนำเข้ามาในราชอาณาจักร โดยมิได้เสียค่าภาษีและมิได้ผ่านศุลกากรโดยถูกต้องตามพระราชบัญญัติศุลกากรฯมาตรา 27,27 ทวิ นั้น เป็นการฟ้องคดีเกี่ยวด้วยของซึ่งต้องยึดเพราะไม่เสียภาษี ต้องด้วยมาตรา 100 ที่จำเลยจะต้องพิสูจน์ว่าสินค้าดังกล่าวได้เสียภาษีถูกต้องแล้วเมื่อจำเลยมิได้นำสืบและจำเลยเป็นผู้รับสินค้าของกลางจำนวนมากซึ่งเป็นสินค้าจากต่างประเทศมาเก็บไว้ที่บ้าน จึงฟังข้อเท็จจริงได้ว่าสินค้าเหล่านี้มีผู้นำเข้ามาในราชอาณาจักรโดยมิได้เสียภาษี จำเลยจึงมีความผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากรฯ มาตรา 27 ทวิ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2134/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองสินค้าต่างประเทศที่ไม่ได้เสียภาษี ถือเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ศุลกากร จำเลยต้องพิสูจน์การเสียภาษี
การฟ้องคดีว่าจำเลยนำสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักรหรือรับสินค้าจากผู้ลักลอบนำเข้ามาในราชอาณาจักร โดยมิได้เสียค่าภาษีและมิได้ผ่านศุลกากรโดยถูกต้องตามพระราชบัญญัติศุลกากร ฯ มาตรา27,27 ทวิ นั้น เป็นการฟ้องคดีเกี่ยวด้วยของซึ่งต้องยึดเพราะไม่เสียภาษีต้องด้วยมาตรา 100 ที่จำเลยจะต้องพิสูจน์ว่าสินค้าดังกล่าวได้เสียภาษีถูกต้องแล้ว เมื่อจำเลยมิได้นำสืบและจำเลยเป็นผู้รับสินค้าของกลางจำนวนมากซึ่งเป็นสินค้าจากต่างประเทศมาเก็บไว้ที่บ้าน จึงฟังข้อเท็จจริงได้ว่าสินค้าเหล่านี้มีผู้นำเข้ามาในราชอาณาจักรโดยมิได้เสียภาษี จำเลยจึงมีความผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากร ฯ มาตรา 27 ทวิ.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2129/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การซื้อขายหุ้นโดยไม่มีใบหุ้นและขัดต่อระเบียบตลาดหลักทรัพย์ ศาลไม่รับฟังว่าจำเลยสั่งขายหุ้นจริง
ในการซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่โจทก์ในฐานะเป็นสมาชิกตลาดหลักทรัพย์ได้กระทำแทนจำเลยผู้เป็นลูกค้าของโจทก์ ปรากฏว่าพยานโจทก์ที่อ้างว่ารู้เห็นในการสั่งขายหุ้นของจำเลยมีคนเดียวคือ ก.ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารเงินทุนของโจทก์ ส่วนพยานนอกนั้นรวมทั้ง ด. ซึ่งโจทก์ส่งไปทำหน้าที่ซื้อขายหลักทรัพย์ทุกคนล้วนแต่เป็นผู้คอยรับคำสั่งจาก ก. แม้ ด.จะเบิกความว่าระหว่างทำการขายหุ้นตามคำสั่งจำเลย จำเลยได้โทรศัพท์มาถาม ด. ตอบว่าขายได้ 1,700 หุ้น หุ้นที่เหลือ1,300 หุ้นจะขายหรือไม่ จำเลยตอบว่าพอแล้ว ซึ่งข้อความดังกล่าวขัดกับข้อบังคับตลาดหลักทรัพย์ที่ว่าการสั่งซื้อหรือขายหลักทรัพย์ต้องกระทำผ่านสำนักงานของสมาชิกเท่านั้นลูกค้าไม่มีสิทธิติดต่อโดยตรงกับเจ้าหน้าที่ของโจทก์ที่ตลาดหลักทรัพย์ จึงไม่มีเหตุผลน่าเชื่อว่าจำเลยได้โทรศัพท์ไปถาม ด.จริง คำพยานโจทก์ที่อ้างว่าติดต่อกับจำเลยโดยตรงคงมีแต่คำของ ก. และเอกสารต่าง ๆโจทก์ทำขึ้นฝ่ายเดียวโดยประสงค์จะให้มีพยานหลักฐานทุกขั้นตอนของการขายหุ้นโดยเฉพาะสัญญาซื้อขายหุ้นระหว่างโจทก์กับผู้ซื้อมีข้อความชัดว่าต้องปฏิบัติตามระเบียบของตลาดหลักทรัพย์ทุกประการ แต่การขายหุ้นพิพาท ก. กลับเบิกความรับว่าเมื่อจำเลยมาพบ ก. ที่บริษัทโจทก์ ก็ได้ทำใบสั่งซื้อสั่งขายให้จำเลยลงนาม แต่การขายหุ้นพิพาทโจทก์ไม่ได้ให้จำเลยทำหลักฐานเป็นหนังสือไว้ และจำเลยไม่มีใบหุ้นที่จะขายการที่โจทก์ว่าจำเลยไม่มีใบหุ้น แล้วโจทก์ยังเสนอขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ ถือว่าโจทก์ปฏิบัติผิดระเบียบของตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งห้ามสมาชิกขายหลักทรัพย์โดยไม่มีหลักทรัพย์อยู่ในครอบครอง ฉะนั้นจึงไม่น่าเชื่อว่าโจทก์จะกลับขายหุ้นให้จำเลยโดยมีจำเลยไม่มีใบหุ้น มาให้ขายเพราะโจทก์ต้องส่งมอบใบหุ้น ที่ขายให้ผู้ซื้อภายใน 4 วันตามระเบียบตลาดหลักทรัพย์ การกระทำของโจทก์จึงเท่ากับเป็นการขายตัวเลขไม่ใช่ขายหุ้น ประกอบกับจำเลยนำหลักทรัพย์มาประกันต่อโจทก์โดยนำเงินมาฝากโจทก์และโจทก์ออกตั๋วสัญญาใช้เงินให้จำเลยมีวงเงินเพียง 406,500 บาทแต่โจทก์กลับอ้างว่า จำเลยสั่งให้โจทก์ขายหุ้นหลังจากหักค่านายหน้าของโจทก์แล้วเป็นเงิน 6,158,251 บาทหากเป็นจริงก็จะทำให้โจทก์ต้องหาซื้อหุ้นมาให้ผู้ซื้อแทนจำเลยมากกว่าหลักประกันที่จำเลยวางไว้แก่โจทก์และไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าจำเลยมีสิ่งใดซึ่งจะให้โจทก์เชื่อถือนอกจากเงินที่ฝากโจทก์ไว้ จึงไม่มีเหตุผลใดที่โจทก์จะยอมขายหุ้นให้จำเลยโดยจำเลยไม่มีใบหุ้นจะขาย ดังนี้พยานหลักฐานของโจทก์ไม่มีน้ำหนักพอที่จะรับฟังได้ว่าจำเลยได้สั่งให้โจทก์ขายหุ้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2095/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การคืนเงินอากรเกิน การประเมินอากรที่ไม่ถูกต้อง และหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ศุลกากรในการตรวจสอบเอกสาร
ตามพระราชบัญญัติ ศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 10 วรรคห้า นั้นการเรียกร้องขอคืนเงินอากรที่เสียไว้เกินจำนวนที่พึงต้องเสียจริงแม้จะต้องเรียกร้องภายในกำหนด 2 ปี นับจากวันที่นำของเข้าหรือส่งของออก แต่ผู้นำของเข้าหรือส่งของออกก็ต้องแจ้งความไว้ก่อนว่าจะยื่นคำเรียกร้องขอคืนเงินอากรที่เสียไว้เกินประการหนึ่งหรือพนักงานเจ้าหน้าที่พึงต้องรู้อยู่ก่อนว่าเงินอากรที่ชำระไว้นั้นเกินจำนวนที่พึงต้องเสียอีกประการหนึ่ง ดังนี้ เมื่อตามข้อเท็จจริงและพฤติการณ์เชื่อได้ว่าพนักงานเจ้าหน้าที่พึงต้องรู้อยู่ก่อนส่งมอบสินค้าให้โจทก์รับไปว่าเงินอากรที่ชำระไว้นั้นเกินจำนวนที่พึงต้องเสีย จำเลยก็ต้องคืนเงินอากรส่วนที่ชำระไว้เกินแก่โจทก์.(ที่มา-ส่งเสริมฯ)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2091/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อุทธรณ์เกินกำหนด: แม้ระบุเป็นอุทธรณ์คำสั่ง แต่เนื้อหาเป็นการขอให้แก้คำพิพากษา จึงต้องยื่นภายในกำหนดอุทธรณ์
ในชั้นบังคับคดีจำเลยที่ 3 ยื่นคำร้องขอให้ศาลสั่งแก้ไขคำพิพากษาตามยอมโดยอ้างว่าจำเลยที่ 3 ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์เพราะถูกโจทก์ฉ้อฉล ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้อง จำเลยที่ 3 อุทธรณ์ แม้จำเลยที่ 3 จะระบุไว้ในแบบพิมพ์อุทธรณ์ว่าเป็นการอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้น แต่เนื้อหาในอุทธรณ์ของจำเลยที่ 3 มิได้เป็นการโต้แย้งคัดค้านคำสั่งดังกล่าว แต่เป็นการอ้างว่าจำเลยที่ 3 ถูกโจทก์ฉ้อฉลและขอให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาของศาลชั้นต้นถือได้ว่าเป็นการอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลชั้นต้น หาใช่เป็นการอุทธรณ์คำสั่ง เมื่อจำเลยที่ 3 ยื่นอุทธรณ์เกินกำหนดหนึ่งเดือน นับตั้งแต่วันที่ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาอุทธรณ์ของจำเลยที่ 3 จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229 แม้จำเลยที่ 3อ้างว่าเพิ่งทราบความจริงว่าโจทก์ฉ้อฉล ก็ไม่เป็นเหตุให้จำเลยที่ 3 อุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นเกินกำหนดได้
of 132