พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,313 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 949/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสมรสที่ขัดต่อกฎหมายเนื่องจากมีคู่สมรสอื่นแล้ว ศาลพิพากษาให้การสมรสเป็นโมฆะ
โจทก์ฟ้องเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูจากจำเลย จำเลยให้การปฏิเสธและฟ้องแย้งว่า โจทก์สมรสกับจำเลยในขณะโจทก์ยังเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของชายอื่นอยู่ จดทะเบียนสมรสกันตามสำเนาภาพถ่ายทะเบียนสมรสท้ายคำให้การและฟ้องแย้ง จำเลยสมรสกับโจทก์โดยสำคัญผิด หลงเชื่อโดยสุจริตตามคำบอกกล่าวของโจทก์ว่าโจทก์ได้หย่าขาดจากชายอื่นแล้วและไม่ได้เป็นคู่สมรสของบุคคลอื่นโจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งเพียงว่า ข้อความตามคำให้การและฟ้องแย้งของจำเลยไม่เป็นความจริงเพราะจำเลยจดทะเบียนสมรสกับโจทก์โดยความยินยอมและสมัครใจมิใช่เนื่องจากกลฉ้อฉลหรือสำคัญผิดแต่อย่างใด โจทก์ไม่ได้ให้การปฏิเสธถึงข้อที่ว่าโจทก์ยังเป็นคู่สมรสของบุคคลอื่นอยู่ในขณะสมรสกับจำเลยและไม่ได้ให้การปฏิเสธถึงความถูกต้องแท้จริงของสำเนาทะเบียนสมรสท้ายคำให้การและฟ้องแย้ง ประกอบกับตามคำให้การแก้ฟ้องแย้งในข้อสุดท้ายของโจทก์ที่ว่าจำเลยทราบข้อเท็จจริงดังกล่าวดีตั้งแต่ต้น หากการสมรสไม่ชอบ ก็ต้องถือว่าจำเลยเป็นผู้ก่อเช่นนี้ เท่ากับโจทก์ยอมรับในข้อเท็จจริงที่ว่าโจทก์ทำการสมรสกับจำเลยในขณะที่โจทก์ยังเป็นคู่สมรสของบุคคลอื่นศาลชั้นต้นมีคำสั่งงดการชี้สองสถานและการสืบพยานโจทก์จำเลยแล้ววินิจฉัยว่าการสมรสระหว่างโจทก์กับจำเลยเป็นโมฆะ ชอบแล้ว.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 949/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสมรสที่ขัดต่อกฎหมายเนื่องจากมีคู่สมรสแล้ว ศาลไม่จำเป็นต้องสืบพยานเมื่อโจทก์ยอมรับ
โจทก์ฟ้องเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูจากจำเลย จำเลยให้การปฏิเสธและฟ้องแย้งว่า โจทก์สมรสกับจำเลยในขณะโจทก์ยังเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของชายอื่นอยู่ จดทะเบียนสมรสกันตามสำเนาภาพถ่ายทะเบียนสมรสท้ายคำให้การและฟ้องแย้ง จำเลยสมรสกับโจทก์โดยสำคัญผิดหลงเชื่อโดยสุจริตตามคำบอกกล่าวของโจทก์ว่าโจทก์ได้หย่าขาดจากชายอื่นแล้วและไม่ได้เป็นคู่สมรสของบุคคลอื่น โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งเพียงว่า ข้อความตามคำให้การและฟ้องแย้งของจำเลยไม่เป็นความจริงเพราะจำเลยจดทะเบียนสมรสกับโจทก์โดยความยินยอมและสมัครใจมิใช่เนื่องจากกลฉ้อฉลหรือสำคัญผิดแต่อย่างใด โจทก์ไม่ได้ให้การปฏิเสธถึงข้อที่ว่า โจทก์ยังเป็นคู่สมรสของบุคคลอื่นอยู่ในขณะสมรสกับจำเลยและไม่ได้ให้การปฏิเสธถึงความถูกต้องแท้จริงของสำเนาทะเบียนสมรสท้ายคำให้การและฟ้องแย้ง ประกอบกับคำให้การแก้ฟ้องแย้งในข้อสุดท้ายของโจทก์ที่ว่าจำเลยทราบข้อเท็จจริงดังกล่าวดีตั้งแต่ต้น หากการสมรสไม่ชอบ ก็ต้องถือว่าจำเลยเป็นผู้ก่อ เช่นนี้ เท่ากับโจทก์ยอมรับในข้อเท็จจริงที่ว่าโจทก์ทำการสมรสกับจำเลยในขณะที่โจทก์ยังเป็นคู่สมรสของบุคคลอื่นศาลชั้นต้นมีคำสั่งงดการชี้สองสถานและการสืบพยานโจทก์จำเลยแล้ววินิจฉัยว่า การสมรสระหว่างโจทก์กับจำเลยเป็นโมฆะ ชอบแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 949/2531 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสมรสที่ฝ่าฝืนกฎหมายเนื่องจากมีคู่สมรสอื่นอยู่แล้ว ถือเป็นโมฆะ แม้จำเลยอ้างสำคัญผิด
โจทก์ฟ้องเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูจากจำเลย จำเลยให้การปฏิเสธและฟ้องแย้งว่า โจทก์สมรสกับจำเลยในขณะโจทก์ยังเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของชายอื่นอยู่ จดทะเบียนสมรสกันตามสำเนาภาพถ่ายทะเบียนสมรสท้ายคำให้การและฟ้องแย้ง จำเลยสมรสกับโจทก์โดยสำคัญผิด หลงเชื่อโดยสุจริตตามคำบอกกล่าวของโจทก์ว่าโจทก์ได้หย่าขาดจากชายอื่นแล้วและไม่ได้เป็นคู่สมรสของบุคคลอื่น โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งเพียงว่า ข้อความตามคำให้การและฟ้องแย้งของจำเลยไม่เป็นความจริงเพราะจำเลยจดทะเบียนสมรสกับโจทก์โดยความยินยอมและสมัครใจมิใช่เนื่องจากกลฉ้อฉลหรือสำคัญผิดแต่อย่างใด โจทก์ไม่ได้ให้การปฏิเสธถึงข้อที่ว่าโจทก์ยังเป็นคู่สมรสของบุคคลอื่นอยู่ในขณะสมรสกับจำเลยและไม่ได้ให้การปฏิเสธถึงความถูกต้องแท้จริงของสำเนาทะเบียนสมรสท้ายคำให้การและฟ้องแย้ง ประกอบกับตามคำให้การแก้ฟ้องแย้งในข้อสุดท้ายของโจทก์ที่ว่าจำเลยทราบข้อเท็จจริงดังกล่าวดีตั้งแต่ต้น หากการสมรสไม่ชอบ ก็ต้องถือว่าจำเลยเป็นผู้ก่อเช่นนี้ เท่ากับโจทก์ยอมรับในข้อเท็จจริงที่ว่าโจทก์ทำการสมรสกับจำเลยในขณะที่โจทก์ยังเป็นคู่สมรสของบุคคลอื่น ศาลชั้นต้นมีคำสั่งงดการชี้สองสถานและการสืบพยานโจทก์จำเลยแล้ววินิจฉัยว่าการสมรสระหว่างโจทก์กับจำเลยเป็นโมฆะ ชอบแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 935-936/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การประเมินภาษีโรงเรือนและที่ดิน การพิจารณาค่าเช่าและเงินช่วยค่าก่อสร้างเป็นรายได้ในการคำนวณภาษี
จำเลยประเมินภาษีโรงเรือนและที่ดินสำหรับตึกแถวของโจทก์โดยเทียบเคียงกับตึกแถวที่อยู่บนถนนเดียวกัน มีสภาพเช่นเดียวกันได้
แม้โจทก์จะได้รับค่าเช่าเดือนละ 100-300 บาทต่อห้อง แต่ผู้เช่าต้องชำระเงินช่วยค่าก่อสร้างถึงรายละ 420,000 บาทต่อห้อง ย่อมถือว่าเป็นค่าเช่าที่ชำระล่วงหน้าเพื่อคำนวณเป็นค่าเช่ารายปีในการประเมินค่าภาษีได้ แม้ความจริงโจทก์จะไม่ได้รับเงินช่วยค่าก่อสร้าง ผู้รับเหมาก่อสร้างเป็นผู้รับไปก็หาเป็นข้อสำคัญไม่ เพราะโจทก์จะลงทุนก่อสร้างเองหรือจะให้ผู้อื่นลงทุน โจทก์ย่อมคาดคะเนแล้วว่าโจทก์ได้ผลประโยชน์ตอบแทนใกล้เคียงกัน.(ที่มา-ส่งเสริม)
แม้โจทก์จะได้รับค่าเช่าเดือนละ 100-300 บาทต่อห้อง แต่ผู้เช่าต้องชำระเงินช่วยค่าก่อสร้างถึงรายละ 420,000 บาทต่อห้อง ย่อมถือว่าเป็นค่าเช่าที่ชำระล่วงหน้าเพื่อคำนวณเป็นค่าเช่ารายปีในการประเมินค่าภาษีได้ แม้ความจริงโจทก์จะไม่ได้รับเงินช่วยค่าก่อสร้าง ผู้รับเหมาก่อสร้างเป็นผู้รับไปก็หาเป็นข้อสำคัญไม่ เพราะโจทก์จะลงทุนก่อสร้างเองหรือจะให้ผู้อื่นลงทุน โจทก์ย่อมคาดคะเนแล้วว่าโจทก์ได้ผลประโยชน์ตอบแทนใกล้เคียงกัน.(ที่มา-ส่งเสริม)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 934/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลื่อนคดีเนื่องจากความเจ็บป่วยของทนาย และการพิจารณาความเกี่ยวข้องของการยื่นบัญชีพยาน
คำร้องขอเลื่อนคดีของจำเลยมีใบรับรองแพทย์แสดงว่าทนายจำเลยป่วย ทนายโจทก์ไม่ได้คัดค้านว่าทนายจำเลยไม่ได้ป่วยจริง แต่กลับแถลงว่าทนายจำเลยขอเลื่อนเพื่อหาโอกาสระบุพยานจำเลยเพราะจำเลยไม่ได้ระบุบัญชีพยานไว้ เช่นนี้หาเป็นเหตุที่จะมาเป็นข้อพิจารณาว่าควรอนุญาตให้เลื่อนคดีหรือไม่ เนื่องจากการยื่นบัญชีระบุพยานต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดคดีภาษีอากร ข้อ 8 ที่ออกตามความในพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528มาตรา 20 เมื่อทนายจำเลยขอเลื่อนคดีครั้งแรก จึงควรอนุญาตให้เลื่อนคดีได้ จำเลยอุทธรณ์ขอให้ยกคำพิพากษาของศาลที่ไม่อนุญาตให้จำเลยเลื่อนคดีต้องเสียค่าขึ้นศาล 200 บาท อย่างคดีมีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 933/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ราคาประเมินภาษีศุลกากรต้องเป็นราคาแท้จริง หักดอกเบี้ยเงินเชื่อได้
ราคาที่ถือเป็นเกณฑ์ในการคำนวณภาษีศุลกากรต้องเป็นราคาอันแท้จริงมิใช่ราคาที่ซื้อเงินเชื่อซึ่งรวมดอกเบี้ยด้วยการหักดอกเบี้ยที่เกิดจากการซื้อเงินเชื่อออกก่อนแล้วจึงเสียภาษี จึงเป็นการเสียภาษีที่ถูกต้องแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 906/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทิ้งฟ้องคดีแพ่งจากความไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาล และการขยายเวลาชำระค่าธรรมเนียม
ศาลชั้นต้นสั่งให้จำเลยนำส่งสำเนาคำร้องขอให้ไต่สวนคำร้องขออุทธรณ์อย่างคนอนาถาใหม่ให้โจทก์ภายใน 7 วัน มิฉะนั้นถือว่าทิ้งคำร้องจำเลยมิได้นำส่ง เป็นการเพิกเฉยไม่ดำเนินคดีภายในเวลาตามที่ศาลเห็นสมควรกำหนดถือได้ว่าจำเลยทิ้งคำร้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 174(2) แม้จำเลยจะมิได้จงใจทิ้งคำร้องก็ไม่มีกฎหมายให้ศาลยกขึ้นพิจารณาใหม่ได้ จำเลยกล่าวในคำร้องขอขยายระยะเวลาวางเงินและในฎีกาว่าขอให้ศาลกรุณาสั่งขยายระยะเวลาการวางเงินที่จำเลยต้องเสียแทนโจทก์และค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ต่อไป ดังนี้ หาใช่คำร้องขอขยายระยะเวลาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 23ซึ่งเป็นเรื่องที่จะทำได้เมื่อมีพฤติการณ์พิเศษไม่ แต่เป็นเรื่องขอให้ศาลฎีกาใช้อำนาจทั่วไปที่มีอยู่กำหนดเวลาชำระค่าธรรมเนียมให้ใหม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 906/2531 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทิ้งฟ้องและการขยายเวลาชำระค่าฤชาธรรมเนียม: การเพิกเฉยต่อการดำเนินการตามคำสั่งศาลถือเป็นการทิ้งฟ้อง
ศาลชั้นต้นสั่งให้จำเลยนำส่งสำเนาคำร้องขอให้ไต่สวนคำร้องขออุทธรณ์อย่างคนอนาถาใหม่ให้โจทก์ภายใน 7 วัน มิฉะนั้นถือว่าทิ้งคำร้อง จำเลยมิได้นำส่ง เป็นการเพิกเฉยไม่ดำเนินคดีภายในเวลาตามที่ศาลเห็นสมควรกำหนดถือได้ว่าจำเลยทิ้งคำร้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 174 (2) แม้จำเลยจะมิได้จงใจทิ้งคำร้องก็ไม่มีกฎหมายให้ศาลยกขึ้นพิจารณาใหม่ได้
จำเลยกล่าวในคำร้องขอขยายระยะเวลาวางเงินและในฎีกาว่าขอให้ศาลกรุณาสั่งขยายระยะเวลาการวางเงินที่จำเลยต้องเสียแทนโจทก์และค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ต่อไป ดังนี้ หาใช่คำร้องขอขยายระยะเวลาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 23 ซึ่งเป็นเรื่องที่จะทำได้เมื่อมีพฤติการณ์พิเศษไม่ แต่เป็นเรื่องขอให้ศาลฎีกาใช้อำนาจทั่วไปที่มีอยู่กำหนดเวลาชำระค่าธรรมเนียมให้ใหม่
จำเลยกล่าวในคำร้องขอขยายระยะเวลาวางเงินและในฎีกาว่าขอให้ศาลกรุณาสั่งขยายระยะเวลาการวางเงินที่จำเลยต้องเสียแทนโจทก์และค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ต่อไป ดังนี้ หาใช่คำร้องขอขยายระยะเวลาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 23 ซึ่งเป็นเรื่องที่จะทำได้เมื่อมีพฤติการณ์พิเศษไม่ แต่เป็นเรื่องขอให้ศาลฎีกาใช้อำนาจทั่วไปที่มีอยู่กำหนดเวลาชำระค่าธรรมเนียมให้ใหม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 906/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทิ้งฟ้องจากความไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาล และการขยายเวลาชำระค่าฤชาธรรมเนียม
ศาลชั้นต้นสั่งให้จำเลยนำส่งสำเนาคำร้องขอให้ไต่สวนคำร้องขออุทธรณ์อย่างคนอนาถาใหม่ให้โจทก์ภายใน 7 วัน มิฉะนั้นถือว่าทิ้งคำร้อง จำเลยมิได้นำส่ง เป็นการเพิกเฉยไม่ดำเนินคดีภายในเวลาตามที่ศาลเห็นสมควรกำหนดถือได้ว่าจำเลยทิ้งคำร้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 174(2) แม้จำเลยจะมิได้จงใจทิ้งคำร้องก็ไม่มีกฎหมายให้ศาลยกขึ้นพิจารณาใหม่ได้
จำเลยกล่าวในคำร้องขอขยายระยะเวลาวางเงินและในฎีกาว่าขอให้ศาลกรุณาสั่งขยายระยะเวลาการวางเงินที่จำเลยต้องเสียแทนโจทก์และค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ต่อไป ดังนี้ หาใช่คำร้องขอขยายระยะเวลาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 23 ซึ่งเป็นเรื่องที่จะทำได้เมื่อมีพฤติการณ์พิเศษไม่ แต่เป็นเรื่องขอให้ศาลฎีกาใช้อำนาจทั่วไปที่มีอยู่กำหนดเวลาชำระค่าธรรมเนียมให้ใหม่.
จำเลยกล่าวในคำร้องขอขยายระยะเวลาวางเงินและในฎีกาว่าขอให้ศาลกรุณาสั่งขยายระยะเวลาการวางเงินที่จำเลยต้องเสียแทนโจทก์และค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ต่อไป ดังนี้ หาใช่คำร้องขอขยายระยะเวลาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 23 ซึ่งเป็นเรื่องที่จะทำได้เมื่อมีพฤติการณ์พิเศษไม่ แต่เป็นเรื่องขอให้ศาลฎีกาใช้อำนาจทั่วไปที่มีอยู่กำหนดเวลาชำระค่าธรรมเนียมให้ใหม่.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 905/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแจ้งคำวินิจฉัยอุทธรณ์ทางไปรษณีย์ลงทะเบียน และการฟ้องคดีเกินกำหนดในคดีภาษีอากร
โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์เป็นนักแสดงภาพยนตร์และโทรทัศน์โดยเป็นนักแสดงอาชีพมิได้รับจ้างแสดงเป็นครั้งคราว เงินได้ที่ได้รับเนื่องจากการแสดงภาพยนตร์และโทรทัศน์จึงเป็นเงินได้จากวิชาชีพอิสระตามมาตรา 40(6) แห่งประมวลรัษฎากร หากเงินได้ของโจทก์ไม่ใช่เงินได้จากวิชาชีพอิสระตามมาตรา 40(6) เงินได้จากการประกอบอาชีพนักแสดงก็เป็นเงินได้ตามมาตรา 40(8) แห่งประมวลรัษฎากร คำฟ้องของโจทก์ดังกล่าวไม่ขัดกัน ไม่เป็นคำฟ้องที่เคลือบคลุม
การแจ้งคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ตามประมวลรัษฎากร จะใช้วิธีนำไปส่งหรือส่งโดยทางไปรษณีย์ลงทะเบียนก็ได้ จำเลยใช้วิธีการส่งทางไปรษณีย์ลงทะเบียน ดังนั้นความในประมวลรัษฎากร มาตรา 8 วรรคสอง ที่ว่าถ้าให้นำส่งเมื่อผู้ส่งไม่พบผู้รับ จะส่งให้แก่บุคคลใดซึ่งบรรลุนิติภาวะแล้วและอยู่ในบ้านหรือสำนักงานของผู้รับก็ได้ จึงไม่ใช้กับกรณีนี้ แต่การส่งทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับต้องบังคับตามไปรษณียนิเทศ พ.ศ. 2529 ซึ่งออกโดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 22แห่งพระราชบัญญัติไปรษณีย์ พุทธศักราช 2477 และมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติการสื่อสารแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2519 ซึ่งใช้บังคับขณะพิพาทกันในคดีนี้ ไปรษณียนิเทศ ข้อ 333 กำหนดว่าไปรษณียภัณฑ์และพัสดุไปรษณีย์อาจนำจ่ายให้แก่ผู้รับหรือผู้แทนของผู้รับก็ได้ ข้อ 334 กำหนดว่า ในกรณีนำจ่าย ณ ที่อยู่ของผู้รับการสื่อสารแห่งประเทศไทยถือว่าบุคคลต่อไปนี้เป็นผู้แทนของผู้รับคือ บุคคลซึ่งอยู่หรือทำงานในบ้านเรือนหรือที่สำนักทำการงานของผู้รับ และข้อ 336 กำหนดว่าไปรษณียภัณฑ์และพัสดุไปรษณีย์ที่นำจ่ายให้แก่ผู้แทนของผู้รับให้ถือว่าได้นำจ่ายให้แก่ผู้รับแล้วนับแต่วันเวลาที่นำจ่าย ดังนั้น การที่โจทก์แถลงยอมรับว่า นางสาว ส. อายุ 18 ปี คนรับใช้และอยู่ในบ้านโจทก์ได้รับหนังสือแจ้งคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์เมื่อวันที่ 24 มกราคม 2529 จึงถือได้ว่าโจทก์ได้รับหนังสือดังกล่าวแล้ว เมื่อวันที่ 24 มกราคม 2529 ตามมาตรา 8 แห่งประมวลรัษฎากรการที่โจทก์นำคดีมาฟ้องเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม2529 จึงเป็นการนำคดีมาฟ้องเมื่อพ้นกำหนด 30 วัน นับแต่วันที่โจทก์ได้รับแจ้งคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ขัดต่อมาตรา 30 แห่งประมวลรัษฎากร โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง. (วรรคสองวินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 4/2531)
การแจ้งคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ตามประมวลรัษฎากร จะใช้วิธีนำไปส่งหรือส่งโดยทางไปรษณีย์ลงทะเบียนก็ได้ จำเลยใช้วิธีการส่งทางไปรษณีย์ลงทะเบียน ดังนั้นความในประมวลรัษฎากร มาตรา 8 วรรคสอง ที่ว่าถ้าให้นำส่งเมื่อผู้ส่งไม่พบผู้รับ จะส่งให้แก่บุคคลใดซึ่งบรรลุนิติภาวะแล้วและอยู่ในบ้านหรือสำนักงานของผู้รับก็ได้ จึงไม่ใช้กับกรณีนี้ แต่การส่งทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับต้องบังคับตามไปรษณียนิเทศ พ.ศ. 2529 ซึ่งออกโดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 22แห่งพระราชบัญญัติไปรษณีย์ พุทธศักราช 2477 และมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติการสื่อสารแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2519 ซึ่งใช้บังคับขณะพิพาทกันในคดีนี้ ไปรษณียนิเทศ ข้อ 333 กำหนดว่าไปรษณียภัณฑ์และพัสดุไปรษณีย์อาจนำจ่ายให้แก่ผู้รับหรือผู้แทนของผู้รับก็ได้ ข้อ 334 กำหนดว่า ในกรณีนำจ่าย ณ ที่อยู่ของผู้รับการสื่อสารแห่งประเทศไทยถือว่าบุคคลต่อไปนี้เป็นผู้แทนของผู้รับคือ บุคคลซึ่งอยู่หรือทำงานในบ้านเรือนหรือที่สำนักทำการงานของผู้รับ และข้อ 336 กำหนดว่าไปรษณียภัณฑ์และพัสดุไปรษณีย์ที่นำจ่ายให้แก่ผู้แทนของผู้รับให้ถือว่าได้นำจ่ายให้แก่ผู้รับแล้วนับแต่วันเวลาที่นำจ่าย ดังนั้น การที่โจทก์แถลงยอมรับว่า นางสาว ส. อายุ 18 ปี คนรับใช้และอยู่ในบ้านโจทก์ได้รับหนังสือแจ้งคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์เมื่อวันที่ 24 มกราคม 2529 จึงถือได้ว่าโจทก์ได้รับหนังสือดังกล่าวแล้ว เมื่อวันที่ 24 มกราคม 2529 ตามมาตรา 8 แห่งประมวลรัษฎากรการที่โจทก์นำคดีมาฟ้องเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม2529 จึงเป็นการนำคดีมาฟ้องเมื่อพ้นกำหนด 30 วัน นับแต่วันที่โจทก์ได้รับแจ้งคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ขัดต่อมาตรา 30 แห่งประมวลรัษฎากร โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง. (วรรคสองวินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 4/2531)