คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
วิฑูรย์ ตั้งตรงจิตต์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,313 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 696/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กลฉ้อฉลซื้อที่ดินแพงกว่าปกติ ศาลสั่งชดใช้ค่าเสียหายเฉพาะส่วนต่างราคา
โจทก์ที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 โดยโจทก์ที่ 4 ซื้อที่ดินตามโฉนดที่พิพาทโดยหลงเชื่อตามที่จำเลยฉ้อฉลว่าที่ดินดังกล่าวติดแม่น้ำ ไม่มีที่ดินแปลงอื่นคั่นอยู่ ซึ่งเป็นกลฉ้อฉลเพื่อเหตุ กล่าวคือ เพียงจูงใจให้โจทก์ยอมรับเอาซึ่งราคาที่ดินอันแพงกว่าที่จะยอมรับโดยปกติ โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอันเกิดจากกลฉ้อฉล ส่วนที่โจทก์ต้องเสียค่าทำภาระจำยอมเพื่อออกสู่ทางสาธารณะปรากฏว่าก่อนซื้อที่ดินโจทก์ทราบแล้วว่าที่ดินพิพาทไม่มีถนนออกสู่ทางสาธารณะจึงมิใช่ผลโดยตรงจากกลฉ้อฉลของจำเลย โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากจำเลยในส่วนนี้.(ที่มา-ส่งเสริม)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 587/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ราคาอันแท้จริงในท้องตลาด: การประเมินราคาภาษีศุลกากรโดยสืบราคาจากตลาดจริงเพื่อใช้เป็นเกณฑ์คำนวณภาษี
โจทก์สำแดงราคาสินค้าในใบขนสินค้าขาเข้าและแบบแสดงรายการการค้าเท่ากับราคาสินค้าในบัญชีราคาสินค้าและหลักฐานเอกสารการชำระเงินให้แก่ผู้ขายและโจทก์นำสืบว่าราคาดังกล่าวเป็นราคาแท้จริงจึงควรเป็นราคาอันแท้จริงในท้องตลาดของราคาสินค้าซึ่งต้องใช้เป็นเกณฑ์คำนวณภาษีอากร แต่พระราชบัญญัติศุลกากรพุทธศักราช 2469 มาตรา 2 นิยามคำว่า "ราคาอันแท้จริงในท้องตลาด"หมายความว่า ราคาขายส่งเงินสด (ในส่วนของขาเข้าไม่รวมค่าอากร)ซึ่งจะพึงขายของประเภทและชนิดเดียวกันได้โดยไม่ขาดทุน ณ เวลาและที่ที่นำของเข้าหรือส่งของออกแล้วแต่กรณี โดยไม่มีหักทอนหรือลดหย่อนราคาอย่างใด ตามความหมายนี้ ราคาที่โจทก์ซื้อสินค้ามาโดยอ้างว่าเป็นราคาแท้จริง จึงมิใช่เป็นราคาอันแท้จริงในท้องตลาดเสมอไป แม้โจทก์จะนำสืบว่าเคยนำเข้าสินค้าชนิดเดียวกันมาก่อนในราคาเดียวกับการนำเข้าครั้งนี้ก็ปรากฏว่าเป็นการนำเข้าของโจทก์เองซึ่งซื้อจากผู้ขายรายเดียวกัน นอกจากนี้โจทก์ไม่มีพยานหลักฐานอื่นแสดงให้เห็นว่าราคาขายเงินสด ซึ่งจะพึงขายของประเภทและชนิดเดียวกันได้ โดยไม่ขาดทุน ณ เวลาที่นำเข้าและสถานที่ที่นำเข้าซึ่งเป็นความหมายของราคาอันแท้จริงในท้องตลาดว่าเป็นราคาเท่าใด ดังนี้ยังถือไม่ได้ว่าโจทก์สำแดงไว้ในใบขนสินค้าขาเข้าและแบบแสดงรายการการค้านั้นเป็นราคาอันแท้จริงในท้องตลาดของสินค้า อันจะใช้เป็นเกณฑ์ในการคำนวณภาษีอากรได้ จำเลยให้เจ้าหน้าที่ซึ่งประจำเมืองฮ่องกง อันเป็นสถานที่ที่โจทก์สั่งซื้อสินค้าเข้ามา สืบราคาตามร้านใหญ่ ๆ หลายร้านราคาที่สืบได้ส่วนใหญ่ใกล้เคียงกัน เมื่อนำมาเฉลี่ยแล้วราคาขายปลีกสินค้าพิพาทกิโลกรัมละ 3,974.87 เหรียญฮ่องกงคำนวณเป็นราคาขายส่งโดยคิดลดลง 20 เปอร์เซ็นต์เป็นราคาขายส่ง เอฟ.โอ.บี. กิโลกรัมละ3,180 เหรียญฮ่องกง อันถือเป็นราคาอันแท้จริงที่ซื้อขายกันคำนวณเป็นราคา ซี.ไอ.เอฟ. โดยนำค่าขนส่งทางอากาศและค่าประกันภัยในบัญชีราคาสินค้าตามที่โจทก์สำแดงไว้ บวกเข้าไป ผลออกมาเป็นราคาซี.ไอ.เอฟ. กิโลกรัมละประมาณ 3,200 เหรียญฮ่องกง การหาราคาอันแท้จริงของจำเลยได้กระทำตามขั้นตอน มีการคิดคำนวณรายละเอียดต่าง ๆ อย่างมีเหตุผลและเป็นวิธีที่ถูกต้องน่าเชื่อถือเป็นการสืบหาราคาในเวลาที่ใกล้เคียงพอสมควรกับเวลาที่โจทก์นำเข้า ฟังได้ว่าราคาอันแท้จริงในท้องตลาดของสินค้าพิพาทกิโลกรัมละ 3,200เหรียญฮ่องกง มิใช่ราคากิโลกรัมละ 750 เหรียญฮ่องกง ดังที่โจทก์สำแดงราคาไว้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 587/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การประเมินราคาสินค้านำเข้า: ราคาอันแท้จริงในท้องตลาดตาม พ.ร.บ.ศุลกากร
โจทก์สำแดงราคาสินค้าในใบขนสินค้าขาเข้าและแบบแสดงรายการการค้าเท่ากับราคาสินค้าในบัญชีราคาสินค้าและหลักฐานเอกสารการชำระเงินให้แก่ผู้ขายและโจทก์นำสืบว่าราคาดังกล่าวเป็นราคาแท้จริงจึงควรเป็นราคาอันแท้จริงในท้องตลาดของราคาสินค้าซึ่งต้องใช้เป็นเกณฑ์คำนวณภาษีอากร แต่พระราชบัญญัติศุลกากร พุทธศักราช 2469 มาตรา 2 นิยามคำว่า 'ราคาอันแท้จริงในท้องตลาด' หมายความว่า ราคาขายส่งเงินสด (ในส่วนของขาเข้าไม่รวมค่าอากร) ซึ่งจะพึงขายของประเภทและชนิดเดียวกันได้โดยไม่ขาดทุน ณ เวลา และที่ที่นำของเข้าหรือส่งของออกแล้วแต่กรณีโดยไม่มีหักทอนหรือลดหย่อนราคาอย่างใด ตามความหมายนี้ ราคาที่โจทก์ซื้อสินค้ามาโดยอ้างว่าเป็นราคาแท้จริง จึงมิใช่เป็นราคาอันแท้จริงในท้องตลาดเสมอไป แม้โจทก์จะนำสืบว่าเคยนำเข้าสินค้าชนิดเดียวกันมาก่อนในราคาเดียวกับการนำเข้าครั้งนี้ก็ปรากฏว่าเป็นการนำเข้าของโจทก์เอง ซึ่งซื้อจากผู้ขายรายเดียวกัน นอกจากนี้โจทก์ไม่มีพยานหลักฐานอื่นแสดงให้เห็นว่าราคาขายเงินสด ซึ่งจะพึงขายของประเภทและชนิดเดียวกันได้ โดยไม่ขาดทุน ณ เวลาที่นำเข้าและสถานที่ที่นำเข้า ซึ่งเป็นความหมายของราคาอันแท้จริงในท้องตลาดว่าเป็นราคาเท่าใด ดังนี้ยังถือไม่ได้ว่าราคาที่โจทก์สำแดงไว้ในใบขนสินค้าขาเข้าและแบบแสดงรายการการค้านั้นเป็นราคาอันแท้จริงในท้องตลาดของสินค้า อันจะใช้เป็นเกณฑ์ในการคำนวณภาษีอากรได้
จำเลยให้เจ้าหน้าที่ซึ่งประจำเมืองฮ่องกง อันเป็นสถานที่ที่โจทก์สั่งซื้อสินค้าเข้ามา สืบราคาตามร้านใหญ่ ๆ หลายร้านราคาที่สืบได้ส่วนใหญ่ใกล้เคียงกัน เมื่อนำมาเฉลี่ยแล้วราคาขายปลีกสินค้าพิพาทกิโลกรัมละ 3,974.87 เหรียญฮ่องกงคำนวณเป็นราคาขายส่งโดยคิดลดลง 20 เปอร์เซ็นต์ เป็นราคาขายส่ง เอฟ.โอ.บี.กิโลกรัมละ 3,180 เหรียญฮ่องกง อันถือเป็นราคาอันแท้จริงที่ซื้อขายกัน คำนวณเป็นราคา ซี.ไอ.เอฟ. โดยนำค่าขนส่งทางอากาศและค่าประกันภัยในบัญชีราคาสินค้าตามที่โจทก์สำแดงไว้ บวกเข้าไป ผลออกมาเป็นราคา ซี.ไอ.เอฟ. กิโลกรัมละประมาณ 3,200เหรียญฮ่องกง การหาราคาอันแท้จริงของจำเลยได้กระทำตามขั้นตอนมีการคิดคำนวณรายละเอียดต่าง ๆ อย่างมีเหตุผลและเป็นวิธีที่ถูกต้องน่าเชื่อถือ เป็นการสืบหาราคาในเวลาที่ใกล้เคียงพอสมควรกับเวลาที่โจทก์นำเข้า ฟังได้ว่าราคาอันแท้จริงในท้องตลาดของสินค้าพิพาทกิโลกรัมละ 3,200 เหรียญฮ่องกงมิใช่ราคากิโลกรัมละ 750 เหรียญฮ่องกง ดังที่โจทก์สำแดงราคาไว้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 587/2531 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การประเมินราคาสินค้าเพื่อคำนวณภาษีอากรศุลกากร จำเลยมีอำนาจสืบราคาตลาดเพื่อประเมินราคาอันแท้จริงได้
โจทก์สำแดงราคาสินค้าในใบขนสินค้าขาเข้าและแบบแสดงรายการการค้าเท่ากับราคาสินค้าในบัญชีราคาสินค้าและหลักฐานเอกสารการชำระเงินให้แก่ผู้ขายและโจทก์นำสืบว่าราคาดังกล่าวเป็นราคาแท้จริงจึงควรเป็นราคาอันแท้จริงในท้องตลาดของราคาสินค้าซึ่งต้องใช้เป็นเกณฑ์คำนวณภาษีอากร แต่พระราชบัญญัติศุลกากร พุทธศักราช 2469 มาตรา 2 นิยามคำว่า 'ราคาอันแท้จริงในท้องตลาด' หมายความว่า ราคาขายส่งเงินสด (ในส่วนของขาเข้าไม่รวมค่าอากร) ซึ่งจะพึงขายของประเภทและชนิดเดียวกันได้โดยไม่ขาดทุน ณ เวลา และที่ที่นำของเข้าหรือส่งของออกแล้วแต่กรณี โดยไม่มีหักทอนหรือลดหย่อนราคาอย่างใด ตามความหมายนี้ ราคาที่โจทก์ซื้อสินค้ามาโดยอ้างว่าเป็นราคาแท้จริง จึงมิใช่เป็นราคาอันแท้จริงในท้องตลาดเสมอไป แม้โจทก์จะนำสืบว่าเคยนำเข้าสินค้าชนิดเดียวกันมาก่อนในราคาเดียวกับการนำเข้าครั้งนี้ก็ปรากฏว่าเป็นการนำเข้าของโจทก์เอง ซึ่งซื้อจากผู้ขายรายเดียวกัน นอกจากนี้โจทก์ไม่มีพยานหลักฐานอื่นแสดงให้เห็นว่าราคาขายเงินสด ซึ่งจะพึงขายของประเภทและชนิดเดียวกันได้ โดยไม่ขาดทุน ณ เวลาที่นำเข้าและสถานที่ที่นำเข้า ซึ่งเป็นความหมายของราคาอันแท้จริงในท้องตลาดว่าเป็นราคาเท่าใด ดังนี้ยังถือไม่ได้ว่าราคาที่โจทก์สำแดงไว้ในใบขนสินค้าขาเข้าและแบบแสดงรายการการค้านั้นเป็นราคาอันแท้จริงในท้องตลาดของสินค้า อันจะใช้เป็นเกณฑ์ในการคำนวณภาษีอากรได้
จำเลยให้เจ้าหน้าที่ซึ่งประจำเมืองฮ่องกง อันเป็นสถานที่ที่โจทก์สั่งซื้อสินค้าเข้ามา สืบราคาตามร้านใหญ่ ๆ หลายร้านราคาที่สืบได้ส่วนใหญ่ใกล้เคียงกัน เมื่อนำมาเฉลี่ยแล้วราคาขายปลีกสินค้าพิพาทกิโลกรัมละ 3,974.87 เหรียญฮ่องกงคำนวณเป็นราคาขายส่งโดยคิดลดลง 20 เปอร์เซ็นต์ เป็นราคาขายส่ง เอฟ.โอ.บี.กิโลกรัมละ 3,180 เหรียญฮ่องกง อันถือเป็นราคาอันแท้จริงที่ซื้อขายกัน คำนวณเป็นราคา ซี.ไอ.เอฟ. โดยนำค่าขนส่งทางอากาศและค่าประกันภัยในบัญชีราคาสินค้าตามที่โจทก์สำแดงไว้ บวกเข้าไป ผลออกมาเป็นราคา ซี.ไอ.เอฟ. กิโลกรัมละประมาณ 3,200เหรียญฮ่องกง การหาราคาอันแท้จริงของจำเลยได้กระทำตามขั้นตอนมีการคิดคำนวณรายละเอียดต่าง ๆ อย่างมีเหตุผลและเป็นวิธีที่ถูกต้องน่าเชื่อถือ เป็นการสืบหาราคาในเวลาที่ใกล้เคียงพอสมควรกับเวลาที่โจทก์นำเข้า ฟังได้ว่าราคาอันแท้จริงในท้องตลาดของสินค้าพิพาทกิโลกรัมละ 3,200 เหรียญฮ่องกงมิใช่ราคากิโลกรัมละ 750 เหรียญฮ่องกง ดังที่โจทก์สำแดงราคาไว้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 350/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องคดีภาษีอากรต้องรอคำวินิจฉัยอุทธรณ์ การฟ้องก่อนจึงไม่ชอบ
การที่กฎหมายกำหนดให้มีการอุทธรณ์การประเมิน ก็เพื่อให้ผู้มีหน้าที่พิจารณาอุทธรณ์ได้ตรวจสอบคำสั่งของเจ้าพนักงานประเมินว่าชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ประการใด เมื่อพิจารณาแล้ว ผู้มีอำนาจหน้าที่ในการพิจารณาอุทธรณ์มีอำนาจเปลี่ยนแปลงแก้ไขความเห็นของเจ้าพนักงานประเมินได้ตามที่เห็นสมควรในขณะที่ยังไม่มีคำวินิจฉัยอุทธรณ์ กรมสรรพากรโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องบริษัทจำเลยที่ 1 ให้ชำระหนี้ค่าภาษีที่มีการอุทธรณ์ดังกล่าวและให้จำเลยอื่น ๆ ที่เป็นผู้ถือหุ้นร่วมรับผิดกับจำเลยที่1 ด้วย จะนำอำนาจยึดอายัดทรัพย์ตามมาตรา 12 แห่ง ประมวลรัษฎากรมาเป็นเหตุอ้างว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องไม่ได้ เพราะเป็นคนละเรื่องกันกับการนำคดีมาฟ้อง.(ที่มา-ส่งเสริม)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 337/2531 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การใช้โรงเรือนเป็นสำนักงานและส่วนประกอบอื่นๆ ไม่เข้าข้อยกเว้นภาษีโรงเรือนตามมาตรา 10
โจทก์เป็นเจ้าของโรงเรือนพิพาท การที่โจทก์ได้ให้บริษัทอื่นเช่าโรงเรือนพิพาทเป็นสำนักงานบางส่วน นอกนั้นโจทก์ใช้เป็นสำนักงานฝ่ายบริหารและติดต่อธุรกิจของโจทก์ บางหลังใช้เป็นห้องรับประทานอาหารของพนักงานโจทก์บางหลังใช้สำหรับติดตั้งเครื่องทำความเย็นและใช้เป็นโรงจอดรถของพนักงานโจทก์ถือไม่ได้ว่าโจทก์อยู่เอง หรือให้ผู้แทนอยู่เฝ้ารักษา ดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 10 แห่งพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พุทธศักราช2475 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดินพุทธศักราช 2475 มาตรา 3 โจทก์จึงมิได้รับงดเว้นจากการเสียภาษีโรงเรือนและที่ดิน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 337/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การใช้โรงเรือนเพื่อประโยชน์อื่นนอกเหนือจากการอยู่อาศัยหรือรักษา ทำให้ไม่ได้รับยกเว้นภาษีโรงเรือนและที่ดิน
โจทก์เป็นเจ้าของโรงเรือนพิพาท การที่โจทก์ได้ให้บริษัทอื่นเช่าโรงเรือนพิพาทเป็นสำนักงานบางส่วน นอกนั้นโจทก์ใช้เป็นสำนักงานฝ่ายบริหารและติดต่อธุรกิจของโจทก์ บางหลังใช้เป็นห้องรับประทานอาหารของพนักงานโจทก์บางหลังใช้สำหรับติดตั้งเครื่องทำความเย็นและใช้เป็นโรงจอดรถของพนักงานโจทก์ถือไม่ได้ว่าโจทก์อยู่เอง หรือให้ผู้แทนอยู่เฝ้ารักษา ดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 10 แห่งพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พุทธศักราช2475 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดินพุทธศักราช 2475 มาตรา 3 โจทก์จึงมิได้รับงดเว้นจากการเสียภาษีโรงเรือนและที่ดิน.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 337/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การใช้โรงเรือนเป็นสำนักงานและเพื่อประโยชน์ของพนักงาน ไม่เข้าข้อยกเว้นการเสียภาษีโรงเรือนตาม พ.ร.บ.ภาษีโรงเรือนและที่ดิน
โจทก์เป็นเจ้าของโรงเรือนพิพาท การที่โจทก์ได้ให้บริษัทอื่นเช่าโรงเรือนพิพาทเป็นสำนักงานบางส่วน นอกนั้นโจทก์ใช้เป็นสำนักงานฝ่ายบริหารและติดต่อธุรกิจของโจทก์ บางหลังใช้เป็นห้องรับประทานอาหารของพนักงานโจทก์ บางหลังใช้สำหรับติดตั้งเครื่องทำความเย็นและใช้เป็นโรงจอดรถของพนักงานโจทก์ถือไม่ได้ว่าโจทก์อยู่เอง หรือให้ผู้แทนอยู่เฝ้ารักษา ดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 10แห่งพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พุทธศักราช 2475 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พุทธศักราช2475 มาตรา 3 โจทก์จึงมิได้รับงดเว้นจากการเสียภาษีโรงเรือนและที่ดิน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 332/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกระทำของผู้กระทำผิดต้องเป็นผู้จัดให้ผู้ถูกเอาตัวไปได้รับเสรีภาพ จึงจะมีผลตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 316
จำเลยรับจ้างผู้เสียหายทำงานบ้านและเลี้ยงดูเด็กหญิง ส.อายุ 9 เดือนบุตรของผู้เสียหาย ต่อมาจำเลยได้เอาตัวเด็กหญิง ส.ไปเพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถ่ ผู้เสียหายทราบเรื่องจึงพาเจ้าพนักงานตำรวจตามไป พบเด็กหญิง ส. นอนอยู่ในเปลที่ใต้ถุนบ้านหลังหนึ่งขณะนั้นจำเลยยืนบังเสาอยู่และได้เดินออกมา ผู้เสียหายอุ้มเด็กหญิงส. ขึ้นจากเปล พาบุตรสาวพร้อมทั้งจำเลยกลับบ้าน ดังนี้ถือไม่ได้ว่าจำเลยได้จัดให้ผู้ถูกเอาตัวไปได้รับเสรีภาพก่อนศาลชั้นต้นพิพากษาอันจะได้รับประโยชน์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 316 เพราะการจัดให้ผู้ถูกเอาตัวไปให้ได้รับเสรีภาพตามมาตรา 316 นั้น จะต้องเป็นการกระทำของผู้กระทำผิดคือจำเลย หรือผู้ที่ร่วมกระทำผิดกับจำเลย แต่กรณีนี้เป็นเรื่องผู้เสียหายตามไปพบและอุ้มเอาบุตรสาวมาเอง จำเลยมิได้กระทำการใด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 332/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกระทำความผิดฐานพรากผู้เยาว์ การช่วยเหลือผู้ถูกพรากตัว และการให้ได้รับเสรีภาพ
จำเลยรับจ้างผู้เสียหายทำงานบ้านและเลี้ยงดูเด็กหญิง ส. อายุ9 เดือนบุตรของผู้เสียหาย ต่อมาจำเลยได้เอาตัวเด็กหญิง ส.ไปเพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถ่ ผู้เสียหายทราบเรื่องจึงพาเจ้าพนักงานตำรวจตามไป พบเด็กหญิง ส. นอนอยู่ในเปลที่ใต้ถุนบ้านหลังหนึ่ง ขณะนั้นจำเลยยืนบังเสาอยู่และได้เดินออกมาผู้เสียหายอุ้มเด็กหญิง ส. ขึ้นจากเปล พาบุตรสาวพร้อมทั้งจำเลยกลับบ้านดังนี้ถือไม่ได้ว่าจำเลยได้จัดให้ผู้ถูกเอาตัวไปได้รับเสรีภาพก่อนศาลชั้นต้นพิพากษาอันจะได้รับประโยชน์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 316 เพราะการจัดให้ผู้ถูกเอาตัวไปให้ได้รับเสรีภาพตามมาตรา 316 นั้น จะต้องเป็นการกระทำของผู้กระทำผิดคือจำเลย หรือผู้ที่ร่วมกระทำผิดกับจำเลย แต่กรณีนี้เป็นเรื่องผู้เสียหายตามไปพบและอุ้มเอาบุตรสาวมาเอง จำเลยมิได้กระทำการใด.
of 132