พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,313 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3979/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแจ้งความไม่ถือเป็นการร้องทุกข์ หากยังไม่มอบคดีให้พนักงานสอบสวน ทำให้คดีขาดอายุความ
ผู้แทนโจทก์แจ้งต่อพนักงานตำรวจว่า 'จึงให้ผู้แจ้งมาร้องทุกข์ดำเนินคดีกับบริษัทนิติสิทธิ์ จำกัด โดยนายวรนิติ ส่งสวัสดิ์ และนายสิทธิพงษ์ สุขะวิมลาภทั้งทางนิติบุคคลและส่วนตัว ข้อหาออกเช็คโดยมีเจตนามิให้มีการใช้เงินตามเช็คจนคดีถึงที่สุด แต่ผู้แจ้งขอรับเช็คดังกล่าวไปดำเนินการอีกทางหนึ่งก่อน ยังไม่มอบคดีให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีแต่อย่างใด' คำของผู้แทนโจทก์ที่ว่ายังไม่มอบคดีให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีแต่อย่างใดนั้น ไม่ต้องกับลักษณะการร้องทุกข์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2 (7) คำแจ้งความดังกล่าวจึงไม่เป็นการร้องทุกข์
โจทก์ฟ้องคดีตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คซึ่งเป็นความผิดอันยอมความกันได้เมื่อพ้นกำหนด 3 เดือนนับแต่รู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำผิด โดยมิได้ร้องทุกข์กล่าวโทษจำเลยไว้ คดีโจทก์จึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 96.
โจทก์ฟ้องคดีตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คซึ่งเป็นความผิดอันยอมความกันได้เมื่อพ้นกำหนด 3 เดือนนับแต่รู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำผิด โดยมิได้ร้องทุกข์กล่าวโทษจำเลยไว้ คดีโจทก์จึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 96.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3979/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแจ้งความไม่ถือเป็นการร้องทุกข์หากยังไม่มอบคดีให้พนักงานสอบสวน คดีขาดอายุความตาม ป.อ.มาตรา 96
ผู้แทนโจทก์แจ้งต่อพนักงานตำรวจว่า 'จึงให้ผู้แจ้งมาร้องทุกข์ดำเนินคดีกับบริษัทนิติสิทธิ์ จำกัด โดยนายวรนิติส่งสวัสดิ์และนายสิทธิพงษ์สุขะวิมลาภทั้งทางนิติบุคคลและส่วนตัว ข้อหาออกเช็คโดยมีเจตนามิให้มีการใช้เงินตามเช็คจนคดีถึงที่สุด แต่ผู้แจ้งขอรับเช็คดังกล่าวไปดำเนินการอีกทางหนึ่งก่อน ยังไม่มอบคดีให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีแต่อย่างใด' คำของผู้แทนโจทก์ที่ว่ายังไม่มอบคดีให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีแต่อย่างใดนั้น ไม่ต้องกับลักษณะการร้องทุกข์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2(7)คำแจ้งความดังกล่าวจึงไม่เป็นการร้องทุกข์
โจทก์ฟ้องคดีตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คซึ่งเป็นความผิดอันยอมความกันได้เมื่อพ้นกำหนด 3 เดือนนับแต่รู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำผิด โดยมิได้ร้องทุกข์กล่าวโทษจำเลยไว้ คดีโจทก์จึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 96.
โจทก์ฟ้องคดีตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คซึ่งเป็นความผิดอันยอมความกันได้เมื่อพ้นกำหนด 3 เดือนนับแต่รู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำผิด โดยมิได้ร้องทุกข์กล่าวโทษจำเลยไว้ คดีโจทก์จึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 96.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3978/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแจ้งความที่ไม่ถือเป็นการร้องทุกข์ทำให้คดีขาดอายุความ
ผู้แทนโจทก์แจ้งต่อพนักงานตำรวจว่า "จึงให้ผู้แจ้งมา ร้องทุกข์ดำเนินคดีกับบริษัทนิติสิทธิ์ จำกัด โดยนายวรนิติส่งสวัสดิ์และนายสิทธิพงษ์สุขะวิมลาภ ทั้งทางนิติบุคคลและส่วนตัว ข้อหาออกเช็คโดยมีเจตนามิให้มีการใช้เงินตามเช็คจนคดีถึงที่สุด แต่ผู้แจ้งขอรับเช็คดังกล่าวไปดำเนินการอีกทางหนึ่งก่อน ยังไม่มอบคดีให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีแต่อย่างใด" คำของผู้แทนโจทก์ที่ว่ายังไม่มอบคดีให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีแต่อย่างใดนั้นไม่ต้องกับลักษณะการร้องทุกข์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2(7) คำแจ้งความดังกล่าวจึงไม่เป็นการร้องทุกข์ โจทก์ฟ้องคดีตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค ซึ่งเป็นความผิดอันยอมความกันได้เมื่อพ้นกำหนด 3 เดือน นับแต่รู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำผิดโดยมิได้ร้องทุกข์กล่าวโทษจำเลยไว้ คดีโจทก์จึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 96
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3978/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแจ้งความไม่ถือเป็นร้องทุกข์หากยังไม่มอบคดีให้พนักงานสอบสวน ทำให้คดีขาดอายุความ
ผู้แทนโจทก์แจ้งต่อพนักงานตำรวจว่า "จึงให้ผู้แจ้งมา ร้องทุกข์ดำเนินคดีกับบริษัทนิติสิทธิ์ จำกัด โดยนายวรนิติส่งสวัสดิ์และนายสิทธิพงษ์สุขะวิมลาภ ทั้งทางนิติบุคคลและส่วนตัว ข้อหาออกเช็คโดยมีเจตนามิให้มีการใช้เงินตามเช็คจนคดีถึงที่สุด แต่ผู้แจ้งขอรับเช็คดังกล่าวไปดำเนินการอีกทางหนึ่งก่อน ยังไม่มอบคดีให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีแต่อย่างใด" คำของผู้แทนโจทก์ที่ว่ายังไม่มอบคดีให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีแต่อย่างใดนั้นไม่ต้องกับลักษณะการร้องทุกข์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2(7) คำแจ้งความดังกล่าวจึงไม่เป็นการร้องทุกข์ โจทก์ฟ้องคดีตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค ซึ่งเป็นความผิดอันยอมความกันได้เมื่อพ้นกำหนด 3 เดือน นับแต่รู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำผิดโดยมิได้ร้องทุกข์กล่าวโทษจำเลยไว้ คดีโจทก์จึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 96
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3832/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมสิทธิ์รวมและการบังคับคดี: เจ้าของรวมไม่มีสิทธิขัดขวางการขายทอดตลาด แต่มีสิทธิเรียกร้องเงินจากผลการขาย
ผู้ร้องมีกรรมสิทธิ์ที่ดินร่วมกับจำเลยทั้งแปลง มิได้มีกรรมสิทธิ์ส่วนไหนแยกต่างหากไปจากจำเลย ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิขอกันส่วนที่ดินของตนจากที่ดินที่โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของจำเลยนำยึดไว้ แต่ชอบที่จะขอกันส่วนของตนจากเงินที่ได้จากการขายทอดตลาด
ที่ผู้ร้องทั้งสี่ขอให้งดการขายทอดตลาดไว้ก่อนเพื่อผู้ร้องทั้งสี่ในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมฝ่ายข้างมากจะได้ตกลงแบ่งที่ดินกับจำเลยก่อนนั้นเมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดที่ดินแล้ว หากจำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษายอมก่อให้เกิดหรือโอน หรือเปลี่ยนแปลงสิทธิในทรัพย์สินที่ถูกยึดไว้ ก็ไม่อาจใช้ยันโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 305 จึงไม่มีเหตุให้งดการขายทอดตลาด.
ที่ผู้ร้องทั้งสี่ขอให้งดการขายทอดตลาดไว้ก่อนเพื่อผู้ร้องทั้งสี่ในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมฝ่ายข้างมากจะได้ตกลงแบ่งที่ดินกับจำเลยก่อนนั้นเมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดที่ดินแล้ว หากจำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษายอมก่อให้เกิดหรือโอน หรือเปลี่ยนแปลงสิทธิในทรัพย์สินที่ถูกยึดไว้ ก็ไม่อาจใช้ยันโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 305 จึงไม่มีเหตุให้งดการขายทอดตลาด.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3832/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมสิทธิ์รวมและการบังคับคดี: เจ้าของกรรมสิทธิ์รวมไม่มีสิทธิกันส่วนที่ดินก่อนการขายทอดตลาด แต่มีสิทธิเรียกร้องจากเงินที่ได้จากการขาย
ผู้ร้องมีกรรมสิทธิ์ที่ดินร่วมกับจำเลยทั้งแปลง มิได้มีกรรมสิทธิ์ส่วนไหนแยกต่างหากไปจากจำเลย ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิขอกันส่วนที่ดินของตนจากที่ดินที่โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของจำเลยนำยึดไว้ แต่ชอบที่จะขอกันส่วนของตนจากเงินที่ได้จากการขายทอดตลาด
ที่ผู้ร้องทั้งสี่ขอให้งดการขายทอดตลาดไว้ก่อนเพื่อผู้ร้องทั้งสี่ในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมฝ่ายข้างมากจะได้ตกลงแบ่งที่ดินกับจำเลยก่อนนั้นเมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดที่ดินแล้ว หากจำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษายอมก่อให้เกิดหรือโอน หรือเปลี่ยนแปลงสิทธิในทรัพย์สินที่ถูกยึดไว้ ก็ไม่อาจใช้ยันโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 305 จึงไม่มีเหตุให้งดการขายทอดตลาด.
ที่ผู้ร้องทั้งสี่ขอให้งดการขายทอดตลาดไว้ก่อนเพื่อผู้ร้องทั้งสี่ในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมฝ่ายข้างมากจะได้ตกลงแบ่งที่ดินกับจำเลยก่อนนั้นเมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดที่ดินแล้ว หากจำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษายอมก่อให้เกิดหรือโอน หรือเปลี่ยนแปลงสิทธิในทรัพย์สินที่ถูกยึดไว้ ก็ไม่อาจใช้ยันโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 305 จึงไม่มีเหตุให้งดการขายทอดตลาด.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3745/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หนี้ร่วมจากอาชีพจัดสรรที่ดิน: เจ้าหนี้บังคับชำระจากสินสมรสได้
จำเลยกับผู้ร้องเป็นสามีภริยากันได้ร่วมกันประกอบอาชีพจัดสรรที่ดินและสร้างตึกแถวขาย หนี้ที่โจทก์นำมาฟ้องเกิดจากจำเลยผิดสัญญาขายที่ดินพร้อมตึกแถวที่จำเลยเป็นผู้จัดสรรดังกล่าวให้แก่โจทก์ จึงเป็นหนี้ร่วมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1490 และมีผลให้เจ้าหนี้บังคับชำระหนี้จากสินสมรสและสินส่วนตัวได้ตามมาตรา 1489 โจทก์ชอบที่จะบังคับชำระหนี้จากสินสมรสได้ทั้งหมด ผู้ร้องไม่มีสิทธิกันส่วนของตนไว้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3745/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หนี้จากการจัดสรรที่ดิน: หนี้ร่วมและบังคับชำระจากสินสมรส
จำเลยกับผู้ร้องเป็นสามีภริยากันได้ร่วมกันประกอบอาชีพจัดสรรที่ดินและสร้างตึกแถวขาย หนี้ที่โจทก์นำมาฟ้องเกิดจากจำเลยผิดสัญญาขายที่ดินพร้อมตึกแถวที่จำเลยเป็นผู้จัดสรรดังกล่าวให้แก่โจทก์ จึงเป็นหนี้ร่วมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1490 และมีผลให้เจ้าหนี้บังคับชำระหนี้จากสินสมรสและสินส่วนตัวได้ตามมาตรา 1489 โจทก์ชอบที่จะบังคับชำระหนี้จากสินสมรสได้ทั้งหมด ผู้ร้องไม่มีสิทธิกันส่วนของตนไว้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3601/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ค่าขึ้นศาล, การฟ้องรวมกัน, ทิ้งฟ้อง, การคำนวณทุนทรัพย์, ศาลจำหน่ายคดี
ศาลชั้นต้นได้รับฟ้องโจทก์ไว้พิจารณาจนกระทั่งจำเลยให้การและศาลนัดชี้สองสถานแล้ว จึงได้พบเห็นว่า การที่โจทก์ฟ้องรวมกันมาทั้ง ๆ ที่แต่ละคนสามารถฟ้องได้โดยลำพังตนเอง น่าจะเป็นการหลีกเลี่ยงค่าธรรมเนียมศาล จึงได้กำหนดเวลาให้โจทก์เสียค่าธรรมเนียมศาลเสียให้ถูกต้อง อันเป็นคำสั่งตาม ป.วิ.พ. มาตรา 174 (2) ไม่ใช่มาตรา 18 วรรคสอง เมื่อโจทก์ไม่ปฏิบัติตาม ก็เป็นการทิ้งฟ้อง ศาลมีอำนาจสั่งจำหน่ายคดีจากสารบบความได้ตาม มาตรา 132 และกรณีนี้ไม่เข้าเหตุใดเหตุหนึ่งที่ศาลจะมีอำนาจสั่งคืนค่าธรรมเนียมศาลให้โจทก์ได้ตาม มาตรา 151 ในกรณีที่ทุนทรัพย์ของโจทก์แต่ละคนแยกกันได้ หรือโจทก์แต่ละคนมีสิทธิเรียกร้องที่สามารถจะฟ้องคดีได้โดยลำพังตนเอง หากโจทก์ฟ้องรวมกันเป็นคดีเดียว ค่าขึ้นศาลต้องคำนวณตามทุนทรัพย์ที่โจทก์แต่ละคนเรียกร้อง.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3601/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องคดีรวมทุนทรัพย์หลายคน ศาลคำนวณค่าขึ้นศาลรายบุคคลเพื่อป้องกันการหลีกเลี่ยงค่าธรรมเนียม
ศาลชั้นต้นนัดชี้สองสถานแล้วจึงพบเห็นว่า การที่โจทก์ฟ้องรวมกันมาทั้ง ๆ ที่แต่ละคนสามารถฟ้องได้โดยลำพัง น่าจะเป็นการหลีกเลี่ยงค่าธรรมเนียมศาลจึงกำหนดเวลาให้โจทก์เสียค่าธรรมเนียมศาลให้ถูกต้อง เป็นคำสั่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 174 (2) มิใช่คำสั่งตามมาตรา 18 วรรคสอง เมื่อโจทก์ไม่ปฏิบัติตามจึงเป็นการทิ้งฟ้องศาลชั้นต้นมีคำสั่งจำหน่ายคดีเสียได้
กรณีทิ้งฟ้องไม่เข้าเหตุใดเหตุหนึ่งตามมาตรา 151 ที่ศาลจะมีอำนาจสั่งคืนค่าธรรมเนียมศาล
เมื่อทุนทรัพย์ของโจทก์แต่ละคนแยกกันได้ แต่โจทก์ฟ้องรวมกันมาเป็นคดีเดียว ดังนี้ จะต้องคำนวณค่าขึ้นศาลตามทุนทรัพย์ที่โจทก์แต่ละคนเรียกร้อง มิใช่เสียค่าขึ้นศาลรวมกัน โจทก์บรรยายฟ้องข้อ 5 ว่าจำเลยยักย้ายทรัพย์มรดกคิดเป็นเงิน 76,000,000 บาท ข้อ 6 ราคาทรัพย์มรดกตามบัญชีท้ายฟ้องอันดับ 8-15 รวมเป็นเงิน 52,180,000 บาท โจทก์ได้ตามข้อนี้คนละ 4,348,333.33 บาท รวมทั้งข้อ 5 ข้อ 6 โจทก์ 5 คนได้รวมกัน 97,741,666.66 บาทเห็นได้ชัดว่า โจทก์เรียกร้องมาคนละ 19,548,333.33 บาท ซึ่งโจทก์แต่ละคนต้องเสียค่าขึ้นศาลตามตาราง 1 (ก) คนละ 200,000 บาท.
กรณีทิ้งฟ้องไม่เข้าเหตุใดเหตุหนึ่งตามมาตรา 151 ที่ศาลจะมีอำนาจสั่งคืนค่าธรรมเนียมศาล
เมื่อทุนทรัพย์ของโจทก์แต่ละคนแยกกันได้ แต่โจทก์ฟ้องรวมกันมาเป็นคดีเดียว ดังนี้ จะต้องคำนวณค่าขึ้นศาลตามทุนทรัพย์ที่โจทก์แต่ละคนเรียกร้อง มิใช่เสียค่าขึ้นศาลรวมกัน โจทก์บรรยายฟ้องข้อ 5 ว่าจำเลยยักย้ายทรัพย์มรดกคิดเป็นเงิน 76,000,000 บาท ข้อ 6 ราคาทรัพย์มรดกตามบัญชีท้ายฟ้องอันดับ 8-15 รวมเป็นเงิน 52,180,000 บาท โจทก์ได้ตามข้อนี้คนละ 4,348,333.33 บาท รวมทั้งข้อ 5 ข้อ 6 โจทก์ 5 คนได้รวมกัน 97,741,666.66 บาทเห็นได้ชัดว่า โจทก์เรียกร้องมาคนละ 19,548,333.33 บาท ซึ่งโจทก์แต่ละคนต้องเสียค่าขึ้นศาลตามตาราง 1 (ก) คนละ 200,000 บาท.