พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,313 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2638/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจประเมินภาษีตามมาตรา 71(1) มิได้หมายความว่าผู้เสียภาษีไม่ต้องส่งเอกสารใดๆ เลย แม้ส่งเอกสารบางส่วนที่ไม่เป็นประโยชน์ เจ้าพนักงานประเมินก็ยังมีอำนาจ
เมื่อนำความในมาตรา 19 และมาตรา 71(1) แห่ง ป.รัษฎากรมาพิเคราะห์ประกอบกันแล้ว มิได้หมายความถึงกับว่า บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลจะต้องมิได้นำบัญชี เอกสาร หรือหลักฐานใด ๆ มาแสดงต่อเจ้าพนักงานประเมินเลย เจ้าพนักงานประเมินจึงจะใช้อำนาจประเมินตามที่บัญญัติไว้ในมาตราดังกล่าวได้ เพราะไม่เช่นนั้นแล้วหากผู้ยื่นรายการนำเอกสารหลักฐานแต่เพียงบางส่วนที่ไม่เป็นประโยชน์ในการตรวจสอบความถูกต้องแท้จริงของแบบรายการที่ยื่นมาแสดงเจ้าพนักงานประเมินก็ไม่มีโอกาสที่จะใช้อำนาจประเมินตามมาตรา 71(1)ได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2580/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การได้กรรมสิทธิ์ที่ดินโดยการครอบครองปรปักษ์ แม้บางส่วนรุกล้ำที่ดินของผู้อื่น
ที่ดินและตึกแถวของโจทก์จำเลยอยู่ติดกันและเดิมเป็นของเจ้าของคนเดียวกันโจทก์จำเลยต่างเช่าจากเจ้าของเดิม ต่อมาที่ดินและตึกแถวที่โจทก์เช่าตกเป็นของ ม. ส่วนที่ดินและตึกแถวที่จำเลยเช่าตกเป็นของ ช. แล้วต่อมาที่ดินและตึกแถวที่โจทก์เช่าได้โอนกรรมสิทธิ์เป็นของโจทก์และส่วนที่จำเลยเช่าโอนกรรมสิทธิ์เป็นของจำเลย ระหว่างที่ดินและตึกแถวยังเป็นกรรมสิทธิ์ของ ม. และ ช. นั้น จำเลยได้รื้อตึกแถวเก่าของตนแล้วปลูกสร้างขึ้นใหม่ภายในเขตแนวเดิม โจทก์รื้อครัวที่อยู่ด้านหลังตึกแถวของโจทก์และติดกับผนังตึกด้านข้างตึกแถวจำเลยแล้วปลูกสร้างขึ้นใหม่พร้อมกันโดยใช้ผนังด้านหลังของห้องครัวโจทก์กับผนังด้านข้างของตึกแถวจำเลยร่วมกัน และจ้างช่างปลูกสร้างคนเดียวกัน โดยไม่ปรากฏว่าโจทก์หรือ ม. ทักท้วงห้ามปราม แม้ว่าบางส่วนของที่ดินที่จำเลยปลูกสร้างตึกแถวนั้นจะอยู่ในโฉนดที่โจทก์ซื้อ แต่จำเลยเข้าใจในขณะปลูกสร้างว่าที่ดินตรงที่ปลูกสร้างนั้นเป็นที่ดินที่อยู่ในโฉนดที่จำเลยเช่า จึงเป็นกรณีที่จำเลยอาศัยสิทธิของเจ้าของที่ดินตามสภาพที่เป็นอยู่ปลูกสร้างตึกแถวในที่ดินโจทก์ที่จำเลยเข้าใจว่าจำเลยมีสิทธิปลูกสร้างได้ เป็นการปลูกโดยสุจริต เมื่อจำเลยเข้าครอบครองที่ดินในส่วนที่รุกล้ำที่ดินโจทก์สืบสิทธิของ ช. โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของตั้งแต่จำเลยได้ปลูกสร้างตึกแถวนับถึงวันฟ้องเป็นเวลาเกินกว่า 10 ปีแล้ว จำเลยย่อมได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินโจทก์ส่วนที่ถูกตึกแถวจำเลยปลูกรุกล้ำโดยการครอบครองปรปักษ์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1382.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2580/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินโดยการครอบครองปรปักษ์ แม้จะรุกล้ำที่ดินของผู้อื่น โดยสุจริตและเปิดเผย
ที่ดินและตึกแถวของโจทก์จำเลยอยู่ติดกันและเดิม เป็นของเจ้าของคนเดียวกัน โจทก์จำเลยต่างเช่า จากเจ้าของเดิม ต่อมาที่ดินและตึกแถวที่โจทก์เช่า ตก เป็นของ ม. ส่วนที่ดินและตึกแถวที่จำเลยเช่าตก เป็นของ ช. แล้วต่อมาที่ดินและตึกแถวที่โจทก์เช่า ได้โอนกรรมสิทธิ์เป็นของโจทก์และส่วนที่จำเลยเช่า โอนกรรมสิทธิ์เป็นของจำเลย ระหว่างที่ดินและตึกแถวยังเป็นกรรมสิทธิ์ของ ม.และ ช. นั้น จำเลยได้รื้อตึกแถวเก่าของตน แล้วปลูกสร้างขึ้นใหม่ภายในเขตแนวเดิม โจทก์รื้อครัวที่อยู่ด้าน หลังตึกแถวของโจทก์และติดกับผนังตึกด้าน ข้างตึกแถวจำเลยแล้วปลูกสร้างขึ้นใหม่พร้อมกันโดยใช้ผนังด้าน หลังของห้องครัวโจทก์กับผนังด้าน ข้างของตึกแถวจำเลยร่วมกัน และจ้างช่าง ปลูกสร้างคนเดียวกัน โดยไม่ปรากฏว่าโจทก์หรือ ม. ทักท้วงห้ามปราม แม้ว่าบางส่วนของที่ดินที่จำเลยปลูกสร้างตึกแถวนั้นจะอยู่ในโฉนด ที่โจทก์ซื้อ แต่จำเลยเข้าใจในขณะปลูกสร้างว่า ที่ดินตรงที่ปลูกสร้างนั้นเป็นที่ดินที่อยู่ในโฉนด ที่จำเลยเช่าจึงเป็นกรณีที่จำเลยอาศัยสิทธิของเจ้าของที่ดินตามสภาพที่เป็นอยู่ปลูกสร้างตึกแถวในที่ดินโจทก์ที่จำเลยเข้าใจว่าจำเลยมีสิทธิปลูกสร้างได้ เป็นการปลูกโดยสุจริต เมื่อจำเลยเข้าครอบครองที่ดินในส่วนที่รุกล้ำที่ดินโจทก์สืบสิทธิของ ช. โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของตั้งแต่จำเลยได้ปลูกสร้างตึกแถวนับถึงวันฟ้องเป็นเวลาเกินกว่า 10 ปีแล้ว จำเลยย่อมได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินโจทก์ส่วนที่ถูกตึกแถวจำเลยปลูกรุกล้ำโดยการครอบครองปรปักษ์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1382.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2528/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับซื้อทรัพย์สินที่ได้มาจากการลักทรัพย์ด้วยราคาที่ต่ำกว่าตลาดอย่างผิดปกติ แสดงถึงเจตนาในการรับของโจร
การที่จำเลยซื้อรถจักรยานยนต์ราคา 10,000 กว่าบาท ด้วยราคาเพียง 5,000 บาท โดยไม่มีการโอนทะเบียนรถกันให้ถูกต้อง เป็นพฤติการณ์ที่แสดงให้เห็นว่าจำเลยรับซื้อรถจักรยานยนต์ไว้จากคนร้ายโดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นทรัพย์อันได้มาจากการกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ จำเลยจึงมีความผิดฐานรับของโจร.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2528/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับซื้อทรัพย์สินราคาถูกโดยรู้อยู่แล้วว่าได้มาจากการลักทรัพย์ มีความผิดฐานรับของโจร
การที่จำเลยซื้อรถจักรยานยนต์ราคา 10,000 กว่าบาท ด้วยราคาเพียง 5,000 บาท โดยไม่มีการโอนทะเบียนรถกันให้ถูกต้อง เป็นพฤติการณ์ที่แสดงให้เห็นว่าจำเลยรับซื้อรถจักรยานยนต์ไว้จากคนร้ายโดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นทรัพย์อันได้มาจากการกระทำความผิดฐานลักทรัพย์จำเลยจึงมีความผิดฐานรับของโจร.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2525/2530 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้าม – การยึดทรัพย์ขัดคำสั่งศาล – อำนาจแก้ไขคำสั่ง – การบังคับคดี
ฎีกาที่มิได้โต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์แต่ประการใดเป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้ง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งคำร้องของจำเลยที่ขอให้ถอนการยึดทรัพย์โดยวินิจฉัยว่าการยึดทรัพย์จำเลยกระทำ ก่อนเจ้าพนักงานบังคับคดีทราบคำสั่งศาลที่ให้งดการบังคับคดีไว้ระหว่างรอคำสั่งศาลอุทธรณ์ เป็นการยึดทรัพย์ที่ชอบด้วยกฎหมายไม่อาจเพิกถอนการยึดทรัพย์ได้ ไม่ใช่คำสั่งระหว่างพิจารณาแต่เป็นคำสั่งโดยทั่วไป ซึ่งคู่ความมีสิทธิอุทธรณ์ฎีกาได้เพราะไม่มีบทกฎหมายจำกัดห้ามไว้
ในวันที่ศาลชั้นต้นแจ้งให้ศาลซึ่งได้รับมอบหมายให้บังคับคดีแทนให้สั่งเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์จำเลยตามคำแถลงของผู้แทนโจทก์ จำเลยก็ได้ยื่นคำร้องขอให้งดหรือยกเลิกการออกหมายบังคับคดีเพราะได้ยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับคดีต่อศาลอุทธรณ์ไว้แล้ว และศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งในวันรุ่งขึ้นว่าให้งดการบังคับคดีไว้ระหว่างรอคำสั่งศาลอุทธรณ์ เรื่องทุเลาการบังคับคดี คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้งดการบังคับคดีเป็นคำสั่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 292 (2) และมีความหมายเพียงว่าเมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีทราบคำสั่งดังกล่าวก็ให้งดการบังคับคดีตามคำสั่ง เมื่อศาลชั้นต้นแจ้งคำสั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีกรมบังคับคดีงดการบังคับคดีแล้ว คำสั่งดังกล่าวย่อมเกิดผลแล้ว การที่เจ้าพนักงานบังคับคดีของศาลซึ่งดำเนินการบังคับคดีแทนทำการยึดทรัพย์ในภายหลัง แม้จะอ้างว่าเพิ่งทราบคำสั่งให้งดการบังคับคดี ก็เป็นการยึดทรัพย์ที่ไม่ได้ปฏิบัติตามคำสั่งให้งดการบังคับคดีของศาลชั้นต้น ศาลย่อมมีอำนาจยกเลิกเพิกถอนหรือแก้ไขให้ถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27.
คำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งคำร้องของจำเลยที่ขอให้ถอนการยึดทรัพย์โดยวินิจฉัยว่าการยึดทรัพย์จำเลยกระทำ ก่อนเจ้าพนักงานบังคับคดีทราบคำสั่งศาลที่ให้งดการบังคับคดีไว้ระหว่างรอคำสั่งศาลอุทธรณ์ เป็นการยึดทรัพย์ที่ชอบด้วยกฎหมายไม่อาจเพิกถอนการยึดทรัพย์ได้ ไม่ใช่คำสั่งระหว่างพิจารณาแต่เป็นคำสั่งโดยทั่วไป ซึ่งคู่ความมีสิทธิอุทธรณ์ฎีกาได้เพราะไม่มีบทกฎหมายจำกัดห้ามไว้
ในวันที่ศาลชั้นต้นแจ้งให้ศาลซึ่งได้รับมอบหมายให้บังคับคดีแทนให้สั่งเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์จำเลยตามคำแถลงของผู้แทนโจทก์ จำเลยก็ได้ยื่นคำร้องขอให้งดหรือยกเลิกการออกหมายบังคับคดีเพราะได้ยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับคดีต่อศาลอุทธรณ์ไว้แล้ว และศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งในวันรุ่งขึ้นว่าให้งดการบังคับคดีไว้ระหว่างรอคำสั่งศาลอุทธรณ์ เรื่องทุเลาการบังคับคดี คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้งดการบังคับคดีเป็นคำสั่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 292 (2) และมีความหมายเพียงว่าเมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีทราบคำสั่งดังกล่าวก็ให้งดการบังคับคดีตามคำสั่ง เมื่อศาลชั้นต้นแจ้งคำสั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีกรมบังคับคดีงดการบังคับคดีแล้ว คำสั่งดังกล่าวย่อมเกิดผลแล้ว การที่เจ้าพนักงานบังคับคดีของศาลซึ่งดำเนินการบังคับคดีแทนทำการยึดทรัพย์ในภายหลัง แม้จะอ้างว่าเพิ่งทราบคำสั่งให้งดการบังคับคดี ก็เป็นการยึดทรัพย์ที่ไม่ได้ปฏิบัติตามคำสั่งให้งดการบังคับคดีของศาลชั้นต้น ศาลย่อมมีอำนาจยกเลิกเพิกถอนหรือแก้ไขให้ถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2525/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยึดทรัพย์ที่ขัดต่อคำสั่งศาล: อำนาจศาลในการแก้ไขและถอนการยึดทรัพย์ที่ไม่ถูกต้อง
ฎีกาที่มิได้โต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ เป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้งต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ว่า การยึดทรัพย์ของเจ้าพนักงานบังคับคดีชอบด้วยกฎหมาย ไม่อาจเพิกถอนการยึดทรัพย์รายพิพาทได้ ดังนี้ไม่ใช่คำสั่งระหว่างพิจารณา แต่เป็นคำสั่งโดยทั่วไปซึ่งคู่ความย่อมมีสิทธิอุทธรณ์ฎีกาได้ เพราะไม่มีบทบัญญัติจำกัดห้ามไว้ คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้งดการบังคับคดีไว้ระหว่างรอคำสั่งศาลอุทธรณ์เรื่องทุเลาการบังคับคดีนั้น เป็นคำสั่งตาม ป.วิ.พ. มาตรา292(2) แม้บทกฎหมายมาตรานี้จะใช้คำว่าให้เจ้าพนักงานบังคับคดีงดการบังคับคดีเมื่อศาลได้ส่งคำสั่งนั้นไปให้เจ้าพนักงานบังคับคดีทราบก็ตาม แต่ก็มีความหมายเพียงว่าเมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีทราบคำสั่งดังกล่าวก็ให้งดการบังคับคดีตามคำสั่ง หาได้มีความหมายว่าคำสั่งให้งดการบังคับคดีจะมีผลต่อเมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ทราบคำสั่งแล้วเท่านั้นไม่ เจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์จำเลยโดยฝ่าฝืนคำสั่งให้งดการบังคับคดี ศาลย่อมมีอำนาจยกเลิกเพิกถอนหรือแก้ไขให้ถูกต้องได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 27.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2525/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยึดทรัพย์หลังมีคำสั่งงดบังคับคดี: ศาลมีอำนาจแก้ไขให้ถูกต้อง แม้เจ้าพนักงานบังคับคดีอ้างว่าเพิ่งทราบคำสั่ง
ฎีกาที่มิได้โต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์แต่ประการใดเป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้ง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งคำร้องของจำเลยที่ขอให้ถอนการยึดทรัพย์โดยวินิจฉัยว่าการยึดทรัพย์จำเลยกระทำก่อนเจ้าพนักงานบังคับคดีทราบคำสั่งศาลที่ให้งดการบังคับคดีไว้ระหว่างรอคำสั่งศาลอุทธรณ์ เป็นการยึดทรัพย์ที่ชอบด้วยกฎหมายไม่อาจเพิกถอนการยึดทรัพย์ได้ ไม่ใช่คำสั่งระหว่างพิจารณาแต่เป็นคำสั่งโดยทั่วไป ซึ่งคู่ความมีสิทธิอุทธรณ์ฎีกาได้เพราะไม่มีบทกฎหมายจำกัดห้ามไว้
ในวันที่ศาลชั้นต้นแจ้งให้ศาลซึ่งได้รับมอบหมายให้บังคับคดีแทนให้สั่งเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์จำเลยตามคำแถลงของผู้แทนโจทก์ จำเลยก็ได้ยื่นคำร้องขอให้งดหรือยกเลิกการออกหมายบังคับคดีเพราะได้ยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับคดีต่อศาลอุทธรณ์ไว้แล้ว และศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งในวันรุ่งขึ้นว่าให้งดการบังคับคดีไว้ระหว่างรอคำสั่งศาลอุทธรณ์ เรื่องทุเลาการบังคับคดี คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้งดการบังคับคดีเป็นคำสั่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 292(2) และมีความหมายเพียงว่าเมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีทราบคำสั่งดังกล่าวก็ให้งดการบังคับคดีตามคำสั่ง เมื่อศาลชั้นต้นแจ้งคำสั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีกรมบังคับคดีงดการบังคับคดีแล้ว คำสั่งดังกล่าวย่อมเกิดผลแล้ว การที่เจ้าพนักงานบังคับคดีของศาลซึ่งดำเนินการบังคับคดีแทนทำการยึดทรัพย์ในภายหลัง แม้จะอ้างว่าเพิ่งทราบคำสั่งให้งดการบังคับคดี ก็เป็นการยึดทรัพย์ที่ไม่ได้ปฏิบัติตามคำสั่งให้งดการบังคับคดีของศาลชั้นต้น ศาลย่อมมีอำนาจยกเลิกเพิกถอนหรือแก้ไขให้ถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27.
คำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งคำร้องของจำเลยที่ขอให้ถอนการยึดทรัพย์โดยวินิจฉัยว่าการยึดทรัพย์จำเลยกระทำก่อนเจ้าพนักงานบังคับคดีทราบคำสั่งศาลที่ให้งดการบังคับคดีไว้ระหว่างรอคำสั่งศาลอุทธรณ์ เป็นการยึดทรัพย์ที่ชอบด้วยกฎหมายไม่อาจเพิกถอนการยึดทรัพย์ได้ ไม่ใช่คำสั่งระหว่างพิจารณาแต่เป็นคำสั่งโดยทั่วไป ซึ่งคู่ความมีสิทธิอุทธรณ์ฎีกาได้เพราะไม่มีบทกฎหมายจำกัดห้ามไว้
ในวันที่ศาลชั้นต้นแจ้งให้ศาลซึ่งได้รับมอบหมายให้บังคับคดีแทนให้สั่งเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์จำเลยตามคำแถลงของผู้แทนโจทก์ จำเลยก็ได้ยื่นคำร้องขอให้งดหรือยกเลิกการออกหมายบังคับคดีเพราะได้ยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับคดีต่อศาลอุทธรณ์ไว้แล้ว และศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งในวันรุ่งขึ้นว่าให้งดการบังคับคดีไว้ระหว่างรอคำสั่งศาลอุทธรณ์ เรื่องทุเลาการบังคับคดี คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้งดการบังคับคดีเป็นคำสั่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 292(2) และมีความหมายเพียงว่าเมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีทราบคำสั่งดังกล่าวก็ให้งดการบังคับคดีตามคำสั่ง เมื่อศาลชั้นต้นแจ้งคำสั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีกรมบังคับคดีงดการบังคับคดีแล้ว คำสั่งดังกล่าวย่อมเกิดผลแล้ว การที่เจ้าพนักงานบังคับคดีของศาลซึ่งดำเนินการบังคับคดีแทนทำการยึดทรัพย์ในภายหลัง แม้จะอ้างว่าเพิ่งทราบคำสั่งให้งดการบังคับคดี ก็เป็นการยึดทรัพย์ที่ไม่ได้ปฏิบัติตามคำสั่งให้งดการบังคับคดีของศาลชั้นต้น ศาลย่อมมีอำนาจยกเลิกเพิกถอนหรือแก้ไขให้ถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2522/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีของสาขาบริษัทต่างประเทศ: ผู้จัดการสาขาต้องได้รับมอบอำนาจเฉพาะเจาะจง
โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดจดทะเบียนในประเทศออสเตรเลีย แต่มีสาขาอยู่ในประเทศไทย โดยมี อ.ผู้รับมอบอำนาจคดีนี้เป็นผู้จัดการสาขาในกรุงเทพมหานคร แสดงว่า อ.ไม่ใช่ผู้จัดการบริษัทโจทก์ในประเทศออสเตรเลีย อ. จึงไม่ใช่ผู้แทนนิติบุคคลตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 75 เมื่อไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าบริษัทโจทก์มอบอำนาจให้ อ. ฟ้องคดี ดังนี้ อ. ซึ่งเป็นเพียงผู้จัดการสาขาของบริษัทโจทก์ในประเทศไทย จึงไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้แทนโจทก์ได้ (เทียบเคียงคำพิพากษาฎีกาที่ 925/2503)
ในคดีฟ้องขอให้เพิกถอนการประเมินภาษีอากร เมื่อศาลพิพากษายกฟ้องโจทก์ ศาลจะกำหนดไว้ในคำพิพากษาว่า ไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะนำคดีมาฟ้องใหม่ภายในกำหนด 30 วัน นับแต่วันฟังคำพิพากษาก็ได้.
ในคดีฟ้องขอให้เพิกถอนการประเมินภาษีอากร เมื่อศาลพิพากษายกฟ้องโจทก์ ศาลจะกำหนดไว้ในคำพิพากษาว่า ไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะนำคดีมาฟ้องใหม่ภายในกำหนด 30 วัน นับแต่วันฟังคำพิพากษาก็ได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2522/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีของสาขาบริษัทต่างประเทศ ผู้รับมอบอำนาจต้องได้รับมอบอำนาจเฉพาะเพื่อฟ้องคดี
โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดจดทะเบียนในประเทศออสเตรเลีย แต่มีสาขาอยู่ในประเทศไทย โดยมี อ.ผู้รับมอบอำนาจคดีนี้เป็นผู้จัดการสาขาในกรุงเทพมหานครแสดงว่า อ.ไม่ใช่ผู้จัดการบริษัทโจทก์ในประเทศออสเตรเลียอ.จึงไม่ใช่ผู้แทนนิติบุคคลตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 75 เมื่อไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าบริษัทโจทก์มอบอำนาจให้ อ.ฟ้องคดีดังนี้อ. ซึ่งเป็นเพียงผู้จัดการสาขาของบริษัทโจทก์ในประเทศไทย จึงไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้แทนโจทก์ได้ (เทียบเคียงคำพิพากษาฎีกาที่925/2503)
ในคดีฟ้องขอให้เพิกถอนการประเมินภาษีอากร เมื่อศาลพิพากษายกฟ้องโจทก์ ศาลจะกำหนดไว้ในคำพิพากษาว่า ไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะนำคดีมาฟ้องใหม่ภายในกำหนด 30 วัน นับแต่วันฟังคำพิพากษาก็ได้.
ในคดีฟ้องขอให้เพิกถอนการประเมินภาษีอากร เมื่อศาลพิพากษายกฟ้องโจทก์ ศาลจะกำหนดไว้ในคำพิพากษาว่า ไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะนำคดีมาฟ้องใหม่ภายในกำหนด 30 วัน นับแต่วันฟังคำพิพากษาก็ได้.