พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,313 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 681/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลเมื่อรับอุทธรณ์: การร้องต่อศาลอุทธรณ์โดยตรงและการส่งสำเนาอุทธรณ์ให้คู่ความ
เมื่อศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์ของจำเลยที่โต้แย้งคำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งให้สำเนาอุทธรณ์แก่โจทก์ กระบวนพิจารณาต่อจากนั้นย่อมถือว่าเป็นกระบวนพิจารณาของศาลอุทธรณ์โดยศาลชั้นต้นทำแทนฉะนั้น เมื่อคู่ความไม่พอใจคำสั่งศาลชั้นต้น ที่สั่งในฐานะดำเนินการแทนศาลอุทธรณ์ ก็ชอบที่จะร้องต่อศาลอุทธรณ์ หรือรอจนกว่าศาลชั้นต้นจะส่งสำนวนไปยังศาลอุทธรณ์แล้วไปร้องต่อศาลอุทธรณ์ก็ได้ หากศาลอุทธรณ์ไม่พอใจคำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าว ศาลอุทธรณ์ชอบที่จะสั่งใหม่ได้ตามอำนาจศาลอุทธรณ์ ที่ศาลอุทธรณ์สั่งว่ากรณีดังกล่าวจะยื่นคำร้องโดยตรงไปยังศาลอุทธรณ์ไม่ได้ จึงมิชอบ โจทก์เป็นคู่ความฝ่ายที่เกี่ยวข้องในการที่จำเลยร้องคัดค้านผู้พิพากษาโดยตรง ศาลชอบที่จะมีคำสั่งให้ส่งสำเนาอุทธรณ์แก่โจทก์ได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 665/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกำหนดค่าเสียหายจากค่าโอเวอร์เฮดชาร์จในกรณีที่รายละเอียดการคิดค่าใช้จ่ายไม่ชัดเจน ศาลมีอำนาจกำหนดตามควรได้
ค่าใช้จ่ายในโรงงานที่เรียกว่า ค่าโอเวอร์เฮดชาร์จในการซ่อมแซมรถจักรดีเซลและรถพ่วง แม้จะเป็นค่าใช้จ่ายที่เป็นต้นทุนชนิดหนึ่งและเป็นค่าใช้จ่ายโดยตรงคิดจากผลงานที่ได้รับ ซึ่งหากไม่มีค่าใช้จ่ายดังกล่าวก็ไม่สามารถทำงานสำเร็จไปได้ก็ตาม แต่เมื่อไม่ปรากฏรายละเอียดว่า โจทก์คิดค่าโอเวอร์เฮดชาร์จในแต่ละรายการอย่างใดเพียงใด และมีความจำเป็นเพียงใดที่โจทก์จำเป็นจะต้องใช้จ่ายในแต่ละรายการ โจทก์คงอ้างแต่เพียงบัญชีรายละเอียดของค่าโอเวอร์เฮดชาร์จโดยคิดเป็นอัตราร้อยละเท่านั้น และแม้จำเลยทั้งสองจะไม่นำสืบโต้แย้งเป็นอย่างอื่นก็ตามแต่โจทก์ก็มีหน้าที่นำสืบให้ได้ความตามที่โจทก์อ้าง เมื่อโจทก์ไม่สามารถนำสืบค่าเสียหายในส่วนนี้เป็นจำนวนแน่นอนได้ ศาลจึงมีอำนาจกำหนดให้ตามควรได้.(ที่มา-ส่งเสริม)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 665/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ค่าเสียหายจากอุบัติเหตุทางรถไฟ: การกำหนดจำนวนค่าโอเวอร์เฮดชาร์จที่เหมาะสมเมื่อรายละเอียดไม่ชัดเจน
ค่าใช้จ่ายในโรงงานที่เรียกว่า ค่าโอเวอร์เฮดชาร์จในการซ่อมแซมรถจักรดีเซล และรถพ่วง แม้จะเป็นค่าใช้จ่ายที่เป็นต้นทุนชนิดหนึ่งและเป็นค่าใช้จ่ายโดยตรงคิดจากผลงานที่ได้รับ ซึ่งหากไม่มีค่าใช้จ่ายดังกล่าวก็ไม่สามารถทำงานสำเร็จไปได้ก็ตามแต่เมื่อไม่ปรากฏรายละเอียดว่า โจทก์คิดค่าโอเวอร์เฮดชาร์จในแต่ละรายการอย่างใดเพียงใด และมีความจำเป็นเพียงใดที่โจทก์จำเป็นจะต้องใช้จ่ายในแต่ละรายการ โจทก์คงอ้างแต่เพียงบัญชีรายละเอียดของค่าโอเวอร์เฮดชาร์จโดยคิดเป็นอัตราร้อยละเท่านั้นและแม้จำเลยทั้งสองจะไม่นำสืบโต้แย้งเป็นอย่างอื่นก็ตาม แต่โจทก์ก็มีหน้าที่นำสืบให้ได้ความตามที่โจทก์อ้าง เมื่อโจทก์ไม่สามารถนำสืบค่าเสียหายในส่วนนี้เป็นจำนวนแน่นอนได้ ศาลจึงมีอำนาจกำหนดให้ตามควรได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 506/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิส่วนบุคคลจากการยินยอมให้ใช้ที่ดินไม่ตกทอดเป็นมรดกเมื่อผู้รับประโยชน์ถึงแก่กรรม
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลย แล้วโจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันความว่า จำเลยยินยอมให้ที่พิพาทเป็นของโจทก์ โจทก์ตกลงชำระเงินแก่จำเลย 2,500 บาท และยินยอมให้จำเลยปลูกผักบุ้งชาย คลองหน้าคันดินพิพาทด้วย ศาลพิพากษาตามยอมดังนี้ เมื่อที่พิพาทเป็นที่มีโฉนด มีชื่อ โจทก์ เป็นเจ้าของ การที่โจทก์ยินยอมให้จำเลยสอดเข้ามาเกี่ยวข้อง ย่อมหมายความว่า ยินยอมให้เฉพาะตัวจำเลย และการที่โจทก์ได้ชำระเงิน 2,500 บาท ตอบแทนความยินยอมของจำเลยแล้ว ยังยินยอมให้จำเลยปลูกผักบุ้งที่ชาย คลองหน้าที่พิพาทอีก แสดงว่าไม่ใช่เป็นการยินยอมที่ให้ผูกพันตลอดไป ฉะนั้น เมื่อจำเลยตาย สิทธิของจำเลยย่อมระงับไปไม่ตก ทอดแก่ทายาท ผู้ร้องซึ่งเป็นบุตรจึงจะขอรับมรดกความต่อไปมิได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 506/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิเฉพาะตัวในการปลูกผักบุ้งบนที่ดินของผู้อื่น สิ้นสุดเมื่อเจ้าของสิทธิเสียชีวิต ไม่ตกทอดเป็นมรดก
โจทก์จำเลยเคยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน โดยจำเลยยอมให้ที่พิพาทเป็นของโจทก์ และโจทก์ให้เงินแก่จำเลยจำนวนหนึ่งกับยินยอมให้จำเลยปลูกผักบุ้งชายคลองหน้าคันดินพิพาทดังนี้เป็นการยินยอมให้เฉพาะตัวจำเลยเท่านั้น เมื่อจำเลยตายสิทธิดังกล่าวจึงระงับไป ไม่ตกทอดแก่ทายาท.(ที่มา-เนติ)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 460/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์คดีทรัพย์สิน: แม้คดีทุนทรัพย์น้อยกว่า 20,000 บาท หากเป็นอสังหาริมทรัพย์ก็ไม่อยู่ในข้อห้ามอุทธรณ์
ทรัพย์ที่ถูกยึดเป็นเรือนทรงไทย 2 หลังแฝดเป็นอสังหาริมทรัพย์แม้คดีจะมีทุนทรัพย์ไม่เกิน 20,000 บาท ก็ไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 224.(ที่มา-ส่งเสริมฯ)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 460/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์คดีอสังหาริมทรัพย์แม้ทุนทรัพย์น้อยกว่า 20,000 บาท ย่อมทำได้ตามกฎหมาย
ทรัพย์ที่ถูกยึดเป็นเรือนทรงไทย 2 หลังแฝด เป็นอสังหาริมทรัพย์แม้คดีจะมีทุนทรัพย์ไม่เกิน 20,000 บาท ก็ไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 224.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 452/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การไม่มาศาลตามนัดและเหตุยกฟ้องคดีอาญา: ความรับผิดของโจทก์และทนาย, การแจ้งเหตุจำเป็น
โจทก์เคยขอเลื่อนคดีหลายครั้ง โดย 3 ครั้งหลังขอเลื่อนคดีติดต่อกัน ครั้งนี้โจทก์ทราบนัดโดยชอบแล้ว โจทก์และทนายโจทก์ไม่มาศาลศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 166 โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ยกคดีขึ้นพิจารณาใหม่ อ้างว่าทนายโจทก์ป่วย เช่นนี้ แม้การเจ็บป่วยจะถือเป็นเหตุอันสมควรในการมาศาลไม่ได้ แต่ก็ไม่หมายความว่า หากทนายโจทก์เจ็บป่วยแล้วจะถือเป็นเหตุให้ศาลต้องเลื่อนคดีให้โจทก์เองโดยปริยาย เป็นเรื่องที่โจทก์หรือทนายโจทก์จะต้องแจ้งให้ศาลทราบถึงเหตุที่ไม่อาจดำเนินคดีตามกำหนดนัดของศาล ทั้งข้อเท็จจริงก็ไม่ปรากฏว่า ตัวโจทก์ไม่สามารถมาศาลด้วย พฤติการณ์แสดงให้เห็นว่า โจทก์ไม่มาศาลเพราะไม่สนใจต่อเวลานัดของศาล หาใช่เพราะมีเหตุอันสมควรไม่ จึงไม่มีเหตุจะยกคดีขึ้นพิจารณาใหม่.(ที่มา-ส่งเสริม)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 442/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอนุญาตอ้างพยานเพิ่มเติมหลังวันชี้สองสถาน หากมีเหตุสมควรและเป็นพยานสำคัญต่อประเด็นคดี
เมื่อมีเหตุอันสมควรแสดงได้ว่าพยานหลักฐานที่โจทก์ขออนุญาตอ้างเพิ่มเติมภายหลังวันชี้สองสถาน โจทก์ไม่ทราบว่าได้มีอยู่ก่อนวันชี้สองสถาน และปรากฏว่าพยานหลักฐานนั้นเป็นพยานหลักฐานสำคัญเกี่ยวกับประเด็นแห่งคดี จำเป็นจะต้องสืบเพื่อให้การวินิจฉัยชี้ขาดข้อสำคัญแห่งประเด็นเป็นไปโดยเที่ยงธรรม ศาลก็ควรอนุญาตให้โจทก์อ้างพยานหลักฐานดังกล่าวเพิ่มเติมได้.(ที่มา-ส่งเสริม)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 403/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับคดีรื้อถอนอาคาร: เหตุขอขยายเวลาต้องสมเหตุสมผลและไม่ใช่การจงใจชะลอการปฏิบัติตามคำพิพากษา
เมื่อศาลพิพากษาถึงที่สุดให้จำเลยรื้อถอนอาคารพิพาท จำเลยจะต้องปฏิบัติตามคำบังคับ และหมายบังคับคดีของศาล การที่จำเลยขอขยายกำหนดการบังคับคดี โดยอ้างว่าการรื้อถอนอาคารพิพาทจำต้องใช้การคำนวณของนักวิชาการและต้องใช้เวลาถึง 502 วัน และในอาคารพิพาทมีคนงานทำงานอยู่เกือบ 60 คน ต้องให้เวลาหาสถานที่ให้แก่คนงานเหล่านั้นด้วย ยังไม่เป็นเหตุพ้นวิสัยอันจะเป็นมูลให้จำเลยไม่สามารถปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลได้ พฤติการณ์ของจำเลยส่อไปในทางจงใจไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา จึงไม่มีเหตุที่จะไต่สวนคำร้องของจำเลยต่อไป.