พบผลลัพธ์ทั้งหมด 124 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4316/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิสูจน์สัญชาติของผู้เกิดในไทยที่มีชื่อในทะเบียนคนญวนอพยพ การใช้สิทธิทางศาลภายใต้ พ.ร.บ.คนเข้าเมือง
ผู้ร้องเป็นบุตรของหญิงสัญชาติไทยกับชายญวนอพยพ ซึ่งเป็นสามีภรรยากันโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ผู้ร้องเกิดในประเทศไทยและต่อมาถูกถอนสัญชาติไทยตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่337 ดังนี้ ผู้ร้องไม่ใช่ ผู้ที่เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรไทย ไม่มีข้อโต้แย้ง เกี่ยวกับการเข้าเมือง จะมาใช้สิทธิทางศาลร้องขอพิสูจน์สัญชาติตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ.2522 มาตรา 57 ไม่ได้ หากเห็นว่า การถูกเพิกถอนสัญชาติเป็นไปโดยมิชอบประการใด ก็ชอบที่จะฟ้อง ผู้ที่โต้แย้งสิทธิเป็นคดีมีข้อพิพาทต่อศาล
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4315/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิซื้อคืนที่ดินเช่าเมื่อมีการขาย - การแจ้งการขายตาม พ.ร.บ.ควบคุมการเช่านา
โจทก์กับจำเลยที่ 1 มีกรรมสิทธิ์ร่วมกันในที่ดินมีโฉนดโจทก์ทำนาในที่ดินทั้งแปลงโดยเช่าส่วนของจำเลยที่ 1ด้วย จำเลยเคยฟ้องขอแบ่งแยกที่พิพาทกับโจทก์ แต่ถอนฟ้องเสีย เพราะต้องใช้เวลานานมากแล้วจำเลยมาขายที่พิพาทให้จำเลยที่ 2 ที่ 3 แทน โดยปกปิดไม่แจ้งความจริงว่าโจทก์เช่าที่พิพาททำนาอยู่ โจทก์จึงมีสิทธิซื้อนาพิพาทจากจำเลยที่ 2 ที่ 3 ซึ่งซื้อมาจากจำเลยที่ 1 ตามพระราชบัญญัติ ควบคุมการเช่านา พ.ศ. 2517 มาตรา 41 วรรคสี่ในราคาเดียวกับจำเลยที่ 1 ได้ขายให้แก่จำเลยที่ 2 ที่ 3
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4286/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องร้องกรณีการเลือกผู้ใหญ่บ้านที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ผู้มีสิทธิฟ้องคือผู้ถูกโต้แย้งสิทธิโดยตรง ไม่ใช่ผู้แพ้การเลือก
พระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พระพุทธศักราช 2457มาตรา 13 แก้ไขแล้ว ได้บัญญัติถึงการเลือกผู้ใหญ่บ้านว่า "การเลือกนั้นให้กรมการอำเภอเป็นประธานพร้อมด้วยกำนันหรือผู้ใหญ่บ้านในตำบลนั้นอย่างน้อยหนึ่งคน ฯลฯ" และตามข้อบังคับกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการเลือกผู้ใหญ่บ้านพ.ศ. 2524 ซึ่งออกตามความในมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่พระพุทธศักราช 2457 ข้อ 8 ได้กำหนดการเลือกผู้ใหญ่บ้านไว้ว่า ให้นายอำเภอหรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายเป็นประธานพร้อมด้วยกำนันหรือผู้ใหญ่บ้านในตำบลนั้นอย่างน้อยหนึ่งคนเป็นคณะกรรมการ ซึ่งจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 ไม่ได้เป็นคณะกรรมการดังกล่าว การดำเนินการเลือกผู้ใหญ่บ้านโดยตลอดจนเป็นผลให้จำเลยที่ 1 ได้เป็นผู้ใหญ่บ้านนั้น ล้วนเกิดจากการดำเนินการของคณะกรรมการเลือกผู้ใหญ่บ้านทั้งสิ้น หาได้เกิดจากจำเลยที่ 1 ผู้ได้รับเลือกเป็นผู้ใหญ่บ้านหรือเกิดจากจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ซึ่งโจทก์อ้างว่าไม่มีคุณสมบัติในการใช้สิทธิเลือกผู้ใหญ่บ้านแต่อย่างใดไม่ แม้หากการกระทำของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 จะมีส่วนทำให้โจทก์ไม่ได้รับเลือกเป็นผู้ใหญ่บ้านจริงตามฟ้อง ก็ไม่ใช่ผลโดยตรงที่เกิดจากการกระทำของจำเลยดังกล่าว แต่เป็นผลโดยตรงที่เกิดจากการกระทำของคณะกรรมการเลือกผู้ใหญ่บ้านดังกล่าวข้างต้น อันเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์โดยตรง หากโจทก์ได้รับความเสียหายก็ชอบที่จะฟ้องร้องผู้โต้แย้งสิทธิของโจทก์ หาชอบที่จะฟ้องร้องจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4281/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดหมิ่นประมาท: ลงโทษตามบทหนักเพียงบทเดียว
ในความผิดฐานหมิ่นประมาท เมื่อจำเลยผิดตามมาตรา 328แล้ว ก็ไม่จำต้องยกมาตรา 326 ขึ้นปรับบทลงโทษอีก (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 3071/2527)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4263/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาจำเลยต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามมาตรา 218 และการพิจารณาความผิดกรรมเดียวต่อผู้เสียหายหลายราย
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยกระทงละ 2 ปี และศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยจึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 จำเลยฎีกาว่าการกระทำของจำเลยไม่เป็นการหลอกลวงผู้เสียหาย จึงไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกง เป็นฎีกาโต้เถียงข้อเท็จจริง และที่จำเลยฎีกาว่าแม้จำเลยจะได้ชำระราคาสินค้าด้วยเช็คและเช็คบางฉบับเรียกเก็บเงินไม่ได้ก็เป็นเรื่องที่ต้องว่ากล่าวในทางแพ่งและเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คอยู่แล้วจึงซ้ำซ้อนกับความผิดฐานฉ้อโกงนั้น ปรากฏว่าศาลอุทธรณ์เพียงหยิบยกข้อเท็จจริงในเรื่องจำเลยจ่ายเช็คชำระราคาสินค้าประกอบการวินิจฉัยเพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยว่าจำเลยกระทำผิดฐานฉ้อโกง หาได้วินิจฉัยในเรื่องความผิดของจำเลยเนื่องจากจำเลยจ่ายเช็คชำระหนี้ไม่ข้อที่จำเลยฎีกาจึงเป็นการหยิบยกข้อเท็จจริงขึ้นฎีกาแตกต่างจากที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย เป็นฎีกาโต้แถียงข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่ข้อกฎหมาย ต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว จำเลยกับพวกได้ร่วมกันตั้งห้างหุ้นส่วนจำกัดโดยไม่ได้จดทะเบียนแล้วนำชื่อห้างดังกล่าวไปอ้างใช้หลอกลวงเพื่อซื้อสินค้าจากผู้เสียหายหลายครั้งการซื้อชำระด้วยเงินสดบ้างชำระด้วยเช็คบ้าง ตอนแรกเช็คเบิกเงินได้บ้างซึ่งเป็นเพียงอุบายของจำเลยกับพวกเพื่อให้ผู้เสียหายหลงเชื่อและขายสินค้าให้โดยจำเลยกับพวกมีเจตนาฉ้อโกงเอาสินค้าของผู้เสียหายโดยไม่ชำระราคามาแต่แรกพฤติการณ์ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าการกระทำของจำเลยกับพวกแม้จะกระทำหลายครั้งแต่ก็โดยมีเจตนาเดียวกันเพื่อจะฉ้อโกงผู้เสียหายการกระทำของจำเลยกับพวกต่อผู้เสียหาย จึงเป็นความผิดกรรมเดียวและเมื่อการกระทำของจำเลยกับพวกต่อผู้เสียหายแต่ละคนเป็นความผิดแต่ละกรรม ดังนั้น การกระทำของจำเลยกับพวกต่อผู้เสียหาย5 รายจึงเป็นความผิด 5 กระทง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4263/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาจำกัดอำนาจการฎีกาในข้อเท็จจริง และการพิจารณาความผิดกรรมเดียวในคดีฉ้อโกง
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยกระทงละ 2 ปี และศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยจึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 จำเลยฎีกาว่าการกระทำของจำเลยไม่เป็นการหลอกลวงผู้เสียหาย จึงไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกง เป็นฎีกาโต้เถียงข้อเท็จจริง และที่จำเลยฎีกาว่าแม้จำเลยจะได้ชำระราคาสินค้าด้วยเช็คและเช็คบางฉบับเรียกเก็บเงินไม่ได้ก็เป็นเรื่องที่ต้องว่ากล่าวในทางแพ่ง และเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คอยู่แล้ว จึงซ้ำซ้อนกับความผิดฐานฉ้อโกงนั้น ปรากฏว่าศาลอุทธรณ์เพียงหยิบยกข้อเท็จจริงในเรื่องจำเลยจ่ายเช็คชำระราคาสินค้า ประกอบการวินิจฉัยเพื่อนำไปสู่การวินิจฉัย ว่าจำเลยกระทำผิดฐานฉ้อโกง หาได้วินิจฉัยในเรื่องความผิดของจำเลยเนื่องจากจำเลยจ่ายเช็คชำระหนี้ไม่ ข้อที่จำเลยฎีกาจึงเป็นการหยิบยกข้อเท็จจริงขึ้นฎีกาแตกต่างจากที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย เป็นฎีกาโต้เถียงข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่ข้อกฎหมาย ต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว
จำเลยกับพวกได้ร่วมกันตั้งห้างหุ้นส่วนจำกัดโดยไม่ได้จดทะเบียนแล้วนำชื่อห้างดังกล่าวไปอ้างใช้หลอกลวงเพื่อซื้อสินค้าจากผู้เสียหายหลายครั้งการซื้อชำระด้วยเงินสดบ้าง ชำระด้วยเช็คบ้าง ตอนแรกเช็คเบิกเงินได้บ้างซึ่งเป็นเพียงอุบายของจำเลยกับพวกเพื่อให้ผู้เสียหายหลงเชื่อและขายสินค้าให้โดยจำเลยกับพวกมีเจตนาฉ้อโกงเอาสินค้าของผู้เสียหายโดยไม่ชำระราคามาแต่แรกพฤติการณ์ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าการกระทำของจำเลยกับพวกแม้จะกระทำหลายครั้งแต่ก็โดยมีเจตนาเดียวกันเพื่อจะฉ้อโกงผู้เสียหายการกระทำของจำเลยกับพวกต่อผู้เสียหาย จึงเป็นความผิดกรรมเดียว และเมื่อการกระทำของจำเลยกับพวกต่อผู้เสียหายแต่ละคนเป็นความผิดแต่ละกรรม ดังนั้น การกระทำของจำเลยกับพวกต่อผู้เสียหาย 5 รายจึงเป็นความผิด 5 กระทง
จำเลยกับพวกได้ร่วมกันตั้งห้างหุ้นส่วนจำกัดโดยไม่ได้จดทะเบียนแล้วนำชื่อห้างดังกล่าวไปอ้างใช้หลอกลวงเพื่อซื้อสินค้าจากผู้เสียหายหลายครั้งการซื้อชำระด้วยเงินสดบ้าง ชำระด้วยเช็คบ้าง ตอนแรกเช็คเบิกเงินได้บ้างซึ่งเป็นเพียงอุบายของจำเลยกับพวกเพื่อให้ผู้เสียหายหลงเชื่อและขายสินค้าให้โดยจำเลยกับพวกมีเจตนาฉ้อโกงเอาสินค้าของผู้เสียหายโดยไม่ชำระราคามาแต่แรกพฤติการณ์ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าการกระทำของจำเลยกับพวกแม้จะกระทำหลายครั้งแต่ก็โดยมีเจตนาเดียวกันเพื่อจะฉ้อโกงผู้เสียหายการกระทำของจำเลยกับพวกต่อผู้เสียหาย จึงเป็นความผิดกรรมเดียว และเมื่อการกระทำของจำเลยกับพวกต่อผู้เสียหายแต่ละคนเป็นความผิดแต่ละกรรม ดังนั้น การกระทำของจำเลยกับพวกต่อผู้เสียหาย 5 รายจึงเป็นความผิด 5 กระทง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4181/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การถอนและตั้งผู้ชำระบัญชีห้างหุ้นส่วนจำกัด กรณีผู้ชำระบัญชีไม่ปฏิบัติหน้าที่ และมีข้อขัดแย้งกับผู้ร้อง
การตั้งผู้ชำระบัญชีห้างหุ้นส่วนนั้น แม้จะเพื่อประโยชน์ของเจ้าหนี้และบรรดาผู้ติดต่อค้าขายกับห้างด้วย แต่ก็เพื่อประโยชน์ของผู้เป็นหุ้นส่วนของห้างเป็นประการสำคัญ ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1251ซึ่งแสดงว่าผู้เป็นหุ้นส่วนอาจตกลงไว้ในสัญญาจัดตั้งห้างหุ้นส่วนให้ใครเป็นผู้ชำระบัญชีก็ได้เมื่อปรากฏว่าห้างหุ้นส่วนจำกัด อ. มีหุ้นส่วนเพียง 2 คน คือผู้ร้องซึ่งเป็นหุ้นส่วนประเภทจำกัดความรับผิดและ ว. สามีผู้ร้องซึ่งเป็นหุ้นส่วนประเภทไม่จำกัดความรับผิดและเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการว. ถึงแก่กรรมมีผลให้ห้างเลิกและต้องตั้งผู้ชำระบัญชีการที่ผู้ร้องร้องขอให้ศาลตั้งผู้ชำระบัญชีเพราะผู้คัดค้านซึ่งเป็นผู้ชำระบัญชีโดยคำสั่งศาลไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1253,1254 และมีข้อขัดแย้งกันอยู่กับผู้ร้องจึงมีเหตุสมควรที่ศาลจะถอนผู้คัดค้านจากการเป็นผู้ชำระบัญชีและตั้ง ส. เป็นผู้ชำระบัญชีคนใหม่แทนตามคำร้องของผู้ร้องได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4181/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การถอนและแต่งตั้งผู้ชำระบัญชีห้างหุ้นส่วน กรณีไม่ปฏิบัติหน้าที่และมีข้อขัดแย้ง
การตั้งผู้ชำระบัญชีห้างหุ้นส่วนนั้น แม้จะเพื่อประโยชน์ของเจ้าหนี้และบรรดาผู้ติดต่อค้าขายกับห้างด้วย แต่ก็เพื่อประโยชน์ของผู้เป็นหุ้นส่วนของห้างเป็นประการสำคัญ ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1251 ซึ่งแสดงว่าผู้เป็นหุ้นส่วนอาจตกลงไว้ในสัญญาจัดตั้งห้างหุ้นส่วนให้ใครเป็นผู้ชำระบัญชีก็ได้ เมื่อปรากฏว่าห้างหุ้นส่วนจำกัด อ. มีหุ้นส่วนเพียง 2 คน คือผู้ร้องซึ่งเป็นหุ้นส่วนประเภทจำกัดความรับผิดและ ว. สามีผู้ร้องซึ่งเป็นหุ้นส่วนประเภทไม่จำกัดความรับผิดและเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ ว. ถึงแก่กรรม มีผลให้ห้างเลิกและต้องตั้งผู้ชำระบัญชี การที่ผู้ร้องร้องขอให้ศาลตั้งผู้ชำระบัญชีเพราะผู้คัดค้านซึ่งเป็นผู้ชำระบัญชีโดยคำสั่งศาลไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1253, 1254 และมีข้อขัดแย้งกันอยู่กับผู้ร้องจึงมีเหตุสมควรที่ศาลจะถอนผู้คัดค้านจากการเป็นผู้ชำระบัญชีและตั้ง ส. เป็นผู้ชำระบัญชีคนใหม่แทนตามคำร้องของผู้ร้องได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4094/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องเรียกคืนเงินสัญญาขายฝากโมฆะ: โจทก์ต้องแสดงว่าไม่รู้/ไม่ควรรู้
เมื่อมีกฎหมายบัญญัติไว้แล้วว่า การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ถ้ามิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ท่านว่าเป็นโมฆะ จึงต้องถือว่าบุคคลทุกคนได้รู้ถึงบทบัญญัตินั้นแล้วผู้ใดอ้างว่า ไม่รู้จะต้องแสดงให้เห็นพฤติการณ์เฉพาะตัวเป็นพิเศษโดยแน่ชัดว่า ตนไม่รู้ และไม่อยู่ในฐานะที่อาจรู้ได้เช่นนั้น
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์รับซื้อฝากที่ดินจากจำเลยทำ หนังสือสัญญาขายฝากกันเองโดยมิได้จดทะเบียนการขายฝาก ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่โจทก์เพิ่งทราบจากทนายความว่าสัญญาขายฝากเป็นโมฆะ จึงฟ้องเรียกเงินค่าซื้อฝากคืนจากจำเลยฐานลาภมิควรได้ จำเลยให้การต่อสู้คดีหลายประการและว่าคดีของโจทก์ขาดอายุความแล้ว ดังนี้ปัญหาจึงมีว่าฝ่ายโจทก์ได้รู้ว่าตนมีสิทธิเรียกคืนเงินนั้นแต่เมื่อใด ปัญหาดังกล่าวโจทก์มีหน้าที่จะต้องสืบแสดงว่าโจทก์ไม่รู้และ ไม่อยู่ในฐานะที่อาจรู้ได้ว่านิติกรรมระหว่างโจทก์จำเลยเป็นโมฆะ อันเป็นปัญหาข้อเท็จจริงที่จะนำไปสู่การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมาย ในข้อที่ว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่การที่ศาลชั้นต้น สั่งงดสืบพยานคู่ความและฟังว่าคดีโจทก์ขาดอายุความแล้ว จึงเป็นการไม่ชอบศาลฎีกาย่อมพิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาแล้วพิพากษาใหม่
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์รับซื้อฝากที่ดินจากจำเลยทำ หนังสือสัญญาขายฝากกันเองโดยมิได้จดทะเบียนการขายฝาก ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่โจทก์เพิ่งทราบจากทนายความว่าสัญญาขายฝากเป็นโมฆะ จึงฟ้องเรียกเงินค่าซื้อฝากคืนจากจำเลยฐานลาภมิควรได้ จำเลยให้การต่อสู้คดีหลายประการและว่าคดีของโจทก์ขาดอายุความแล้ว ดังนี้ปัญหาจึงมีว่าฝ่ายโจทก์ได้รู้ว่าตนมีสิทธิเรียกคืนเงินนั้นแต่เมื่อใด ปัญหาดังกล่าวโจทก์มีหน้าที่จะต้องสืบแสดงว่าโจทก์ไม่รู้และ ไม่อยู่ในฐานะที่อาจรู้ได้ว่านิติกรรมระหว่างโจทก์จำเลยเป็นโมฆะ อันเป็นปัญหาข้อเท็จจริงที่จะนำไปสู่การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมาย ในข้อที่ว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่การที่ศาลชั้นต้น สั่งงดสืบพยานคู่ความและฟังว่าคดีโจทก์ขาดอายุความแล้ว จึงเป็นการไม่ชอบศาลฎีกาย่อมพิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาแล้วพิพากษาใหม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4094/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องลาภมิควรได้จากนิติกรรมโมฆะ: โจทก์ต้องพิสูจน์ความไม่รู้และไม่อยู่ในฐานะที่จะรู้ได้
เมื่อมีกฎหมายบัญญัติไว้แล้วว่า การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ถ้ามิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ท่านว่าเป็นโมฆะ จึงต้องถือว่าบุคคลทุกคนได้รู้ถึงบทบัญญัตินั้นแล้วผู้ใดอ้างว่า ไม่รู้จะต้องแสดงให้เห็นพฤติการณ์เฉพาะตัวเป็นพิเศษโดยแน่ชัดว่า ตนไม่รู้ และไม่อยู่ในฐานะที่อาจรู้ได้เช่นนั้น
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์รับซื้อฝากที่ดินจากจำเลยทำ หนังสือสัญญาขายฝากกันเองโดยมิได้จดทะเบียนการขายฝาก ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่โจทก์เพิ่งทราบจากทนายความว่าสัญญาขายฝากเป็นโมฆะ จึงฟ้องเรียกเงินค่าซื้อฝากคืนจากจำเลยฐานลาภมิควรได้ จำเลยให้การต่อสู้คดีหลายประการและว่าคดีของโจทก์ขาดอายุความแล้ว ดังนี้ปัญหาจึงมีว่าฝ่ายโจทก์ได้รู้ว่าตนมีสิทธิเรียกคืนเงินนั้นแต่เมื่อใด ปัญหาดังกล่าวโจทก์มีหน้าที่จะต้องสืบแสดงว่าโจทก์ไม่รู้และ ไม่อยู่ในฐานะที่อาจรู้ได้ว่านิติกรรมระหว่างโจทก์จำเลยเป็นโมฆะ อันเป็นปัญหาข้อเท็จจริงที่จะนำไปสู่การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมาย ในข้อที่ว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่การที่ศาลชั้นต้น สั่งงดสืบพยานคู่ความและฟังว่าคดีโจทก์ขาดอายุความแล้ว จึงเป็นการไม่ชอบศาลฎีกาย่อมพิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาแล้วพิพากษาใหม่
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์รับซื้อฝากที่ดินจากจำเลยทำ หนังสือสัญญาขายฝากกันเองโดยมิได้จดทะเบียนการขายฝาก ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่โจทก์เพิ่งทราบจากทนายความว่าสัญญาขายฝากเป็นโมฆะ จึงฟ้องเรียกเงินค่าซื้อฝากคืนจากจำเลยฐานลาภมิควรได้ จำเลยให้การต่อสู้คดีหลายประการและว่าคดีของโจทก์ขาดอายุความแล้ว ดังนี้ปัญหาจึงมีว่าฝ่ายโจทก์ได้รู้ว่าตนมีสิทธิเรียกคืนเงินนั้นแต่เมื่อใด ปัญหาดังกล่าวโจทก์มีหน้าที่จะต้องสืบแสดงว่าโจทก์ไม่รู้และ ไม่อยู่ในฐานะที่อาจรู้ได้ว่านิติกรรมระหว่างโจทก์จำเลยเป็นโมฆะ อันเป็นปัญหาข้อเท็จจริงที่จะนำไปสู่การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมาย ในข้อที่ว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่การที่ศาลชั้นต้น สั่งงดสืบพยานคู่ความและฟังว่าคดีโจทก์ขาดอายุความแล้ว จึงเป็นการไม่ชอบศาลฎีกาย่อมพิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาแล้วพิพากษาใหม่