พบผลลัพธ์ทั้งหมด 124 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2033/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับสารภาพเป็นเหตุบรรเทาโทษ และอำนาจศาลอุทธรณ์ในการลดโทษแม้ไม่มีการอุทธรณ์
จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนว่าได้ใช้อาวุธปืนยิงและตีผู้ตายจนถึงแก่ความตายจริง โดยมิได้อ้างเหตุในเรื่องป้องกันตัวขึ้นต่อสู้ ในชั้นพิจารณาจำเลยก็เบิกความรับข้อเท็จจริงดังกล่าวและรับด้วยว่าได้ลงชื่อไว้ในคำให้การจริงทั้งศาลชั้นต้นก็ได้ยกเอาคำให้การดังกล่าวขึ้นมารับฟังประกอบการวินิจฉัยคดีด้วยดังนี้ ถือได้ว่าคำให้การของจำเลยในชั้นสอบสวนและคำเบิกความของจำเลยในชั้นพิจารณาเป็นการให้ความรู้แก่ศาลอันเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา เป็นเหตุบรรเทาโทษ
การที่ศาลลงโทษจำเลยน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดเพราะจำเลยกระทำความผิดโดยบันดาลโทสะแล้วนั้น. ศาลยังลดโทษให้จำเลยในกรณีที่มีเหตุบรรเทาโทษในประการอื่นได้อีก
เมื่อคดีขึ้นมาสู่การพิจารณาของศาลอุทธรณ์แล้วหากศาลอุทธรณ์เห็นว่ามีเหตุบรรเทาโทษแก่จำเลยในข้อหาความผิดที่มิได้อุทธรณ์ขึ้นมาด้วยเพราะจำเลยให้การรับสารภาพศาลอุทธรณ์ก็มีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยและลดโทษให้แก่จำเลยได้
การที่ศาลลงโทษจำเลยน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดเพราะจำเลยกระทำความผิดโดยบันดาลโทสะแล้วนั้น. ศาลยังลดโทษให้จำเลยในกรณีที่มีเหตุบรรเทาโทษในประการอื่นได้อีก
เมื่อคดีขึ้นมาสู่การพิจารณาของศาลอุทธรณ์แล้วหากศาลอุทธรณ์เห็นว่ามีเหตุบรรเทาโทษแก่จำเลยในข้อหาความผิดที่มิได้อุทธรณ์ขึ้นมาด้วยเพราะจำเลยให้การรับสารภาพศาลอุทธรณ์ก็มีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยและลดโทษให้แก่จำเลยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2033/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาและเหตุบรรเทาโทษ ศาลมีอำนาจลดโทษได้แม้ไม่มีการอุทธรณ์
จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนว่าได้ใช้อาวุธปืนยิงและตีผู้ตายจนถึงแก่ความตายจริง โดยมิได้อ้างเหตุในเรื่องป้องกันตัวขึ้นต่อสู้ในชั้นพิจารณาจำเลยก็เบิกความรับข้อเท็จจริงดังกล่าวและรับด้วยว่าได้ลงชื่อไว้ในคำให้การจริงทั้งศาลชั้นต้นก็ได้ยกเอาคำให้การดังกล่าวขึ้นมารับฟังประกอบการวินิจฉัยคดีด้วยดังนี้ ถือได้ว่าคำให้การของจำเลยในชั้นสอบสวนและคำเบิกความของจำเลยในชั้นพิจารณาเป็นการให้ความรู้แก่ศาลอันเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา เป็นเหตุบรรเทาโทษ
การที่ศาลลงโทษจำเลยน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดเพราะจำเลยกระทำความผิดโดยบันดาลโทสะแล้วนั้น ศาลยังลดโทษให้จำเลยในกรณีที่มีเหตุบรรเทาโทษในประการอื่นได้อีก
เมื่อคดีขึ้นมาสู่การพิจารณาของศาลอุทธรณ์แล้วหากศาลอุทธรณ์เห็นว่ามีเหตุบรรเทาโทษแก่จำเลยในข้อหาความผิดที่มิได้อุทธรณ์ขึ้นมาด้วยเพราะจำเลยให้การรับสารภาพศาลอุทธรณ์ก็มีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยและลดโทษให้แก่จำเลยได้
การที่ศาลลงโทษจำเลยน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดเพราะจำเลยกระทำความผิดโดยบันดาลโทสะแล้วนั้น ศาลยังลดโทษให้จำเลยในกรณีที่มีเหตุบรรเทาโทษในประการอื่นได้อีก
เมื่อคดีขึ้นมาสู่การพิจารณาของศาลอุทธรณ์แล้วหากศาลอุทธรณ์เห็นว่ามีเหตุบรรเทาโทษแก่จำเลยในข้อหาความผิดที่มิได้อุทธรณ์ขึ้นมาด้วยเพราะจำเลยให้การรับสารภาพศาลอุทธรณ์ก็มีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยและลดโทษให้แก่จำเลยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1986/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การระบุพยานเพิ่มเติมต้องไม่ขัดต่อกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง และต้องเป็นพยานที่จำเป็นต่อการวินิจฉัยข้อพิพาท
โจทก์เป็นฝ่ายนำสืบก่อนและสืบพยานเสร็จไปแล้วระหว่างสืบพยานจำเลย โจทก์ยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมเมื่อเอกสารที่โจทก์ขอระบุเพิ่มเติมเป็นเพียงคำอธิบายวิธีปฏิบัติต่าง ๆ ซึ่งโจทก์ได้นำสืบไปแล้วไม่ใช่เอกสารที่มีกฎหมายบังคับให้นำมาแสดงพยานที่โจทก์ระบุเพิ่มเติมจึงมิได้เป็นพยาน เพื่อให้การวินิจฉัยชี้ขาดข้อสำคัญแห่งประเด็นเป็นไปโดยเที่ยงธรรมจำเป็นต้องสืบพยานเช่นว่านั้นทั้งเป็นการระบุอ้างเพิ่มเติมฝ่าฝืน ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 88 จึงไม่ควรรับไว้พิจารณา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1986/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การระบุพยานเพิ่มเติมต้องไม่ขัดต่อข้อจำกัดตามกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง และต้องเป็นพยานที่จำเป็นต่อการวินิจฉัยข้อพิพาท
โจทก์เป็นฝ่ายนำสืบก่อนและสืบพยานเสร็จไปแล้วระหว่างสืบพยานจำเลย โจทก์ยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมเมื่อเอกสารที่โจทก์ขอระบุเพิ่มเติมเป็นเพียงคำอธิบายวิธีปฏิบัติต่างๆซึ่งโจทก์ได้นำสืบไปแล้วไม่ใช่เอกสารที่มีกฎหมายบังคับให้นำมาแสดงพยานที่โจทก์ระบุเพิ่มเติมจึงมิได้เป็นพยานเพื่อให้การวินิจฉัยชี้ขาดข้อสำคัญแห่งประเด็นเป็นไปโดยเที่ยงธรรมจำเป็นต้องสืบพยานเช่นว่านั้นทั้งเป็นการระบุอ้างเพิ่มเติมฝ่าฝืน ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา88 จึงไม่ควรรับไว้พิจารณา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1966/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ดุลพินิจศาลในการตั้งผู้จัดการมรดก พิจารณาประโยชน์กองมรดกและความขัดแย้งระหว่างทายาท
การตั้งผู้จัดการมรดกนั้น ศาลย่อมใช้ดุลพินิจถึงความเหมาะสม หรือในพฤติการณ์เพื่อประโยชน์แก่กองมรดกด้วยเมื่อ ข้อเท็จจริงปรากฏว่าผู้ร้อง ซึ่งเป็นทายาทมีความขัดแย้งกับทายาทอื่นอยู่ ถ้าตั้งผู้ร้องให้เป็นผู้จัดการมรดกอาจก่อให้เกิดความเสียหายได้ ถึงแม้ผู้ร้อง จะไม่เป็นบุคคล ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1718 ก็ตามศาลก็ไม่จำต้องตั้งผู้ร้องตามคำร้องทุกกรณีเสมอไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1966/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ดุลพินิจศาลในการตั้งผู้จัดการมรดก พิจารณาประโยชน์กองมรดกและความขัดแย้งระหว่างทายาท
การตั้งผู้จัดการมรดกนั้น ศาลย่อมใช้ดุลพินิจถึงความเหมาะสม หรือในพฤติการณ์เพื่อประโยชน์แก่กองมรดกด้วยเมื่อ ข้อเท็จจริงปรากฏว่าผู้ร้อง ซึ่งเป็นทายาทมีความขัดแย้งกับทายาทอื่นอยู่ ถ้าตั้งผู้ร้อง ให้เป็นผู้จัดการมรดกอาจก่อ ให้เกิดความเสียหายได้ ถึงแม้ผู้ร้อง จะไม่เป็นบุคคล ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1718 ก็ตามศาลก็ไม่จำต้องตั้งผู้ร้องตามคำร้องทุกกรณีเสมอไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1879/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การปลูกและครอบครองกัญชา: ศาลฎีกาวินิจฉัยกรรมเดียวหรือหลายกรรม
จำเลยปลูกกัญชา 16 ต้น และมีกัญชาสด 16 ต้น กับมีกัญชาแห้ง 3 ต้นไว้ในครอบครองกัญชาสด 16 ต้นเป็นจำนวนเดียวกับกัญชาที่จำเลย ปลูกจึงเป็นผลที่เกิดจากการ ผลิตกัญชาโดยการปลูกของจำเลยนั่นเอง ในส่วนกัญชา 16 ต้นย่อมเป็นความผิดกรรมเดียว ส่วนกัญชาแห้งอีก 3 ต้นเป็นอีกส่วนหนึ่งที่จำเลยมีไว้ในครอบครองซึ่งไม่เกี่ยวกับการปลูกกัญชา16 ต้น ดังกล่าวเลยจึงเป็นความผิดอีกกรรมหนึ่งต่างหาก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1879/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงโทษจำเลยฐานปลูกและครอบครองกัญชา: แยกความผิดกรรมเดียวกับกรรมต่างหาก
จำเลยปลูกกัญชา 16 ต้น และมีกัญชาสด 16 ต้น กับมีกัญชาแห้ง 3 ต้นไว้ในครอบครอง กัญชาสด 16 ต้นเป็นจำนวนเดียวกับกัญชาที่จำเลย ปลูกจึงเป็นผลที่เกิดจากการ ผลิตกัญชาโดยการปลูกของจำเลยนั่นเอง ในส่วนกัญชา 16 ต้นย่อมเป็นความผิดกรรมเดียว ส่วนกัญชาแห้งอีก 3 ต้นเป็นอีกส่วนหนึ่งที่จำเลยมีไว้ในครอบครองซึ่งไม่เกี่ยวกับการปลูกกัญชา16 ต้น ดังกล่าวเลย จึงเป็นความผิดอีกกรรมหนึ่งต่างหาก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1876/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาในการขอเงินและพฤติการณ์หลังได้รับเงิน ไม่ถือเป็นความผิดฐานชิงทรัพย์
ขณะผู้เสียหายนั่งคุยกับ จ. จำเลยที่ 2 ได้เข้าไปขอเงิน 5 บาท ผู้เสียหายพูดว่าไม่มีให้จำเลยที่ 1 ใช้มีดจี้คอผู้เสียหายและพูดว่า ถ้าไม่ให้เจ็บตัว จ. ส่งเงิน 10 บาท ให้ผู้เสียหายแล้วผู้เสียหายส่งให้จำเลยที่ 2 รับไป เมื่อได้เงินแล้วจำเลยที่ 2 ได้เดินไปพร้อมกับจำเลยที่ 1 และถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับ ค้นตัวได้เงินเพียง10 บาทที่ จ.ให้ไปเท่านั้น จ.ตอบคำถามค้านว่าให้เงินแก่จำเลยที่ 2 ด้วยความสมัครใจ เต็มใจ เพราะสงสาร ดังนี้ พฤติการณ์แห่งคดีเห็นได้ว่า จำเลยที่ 2 กระทำโดยสุจริตมิได้มีเจตนา ร่วมกับจำเลยที่ 1 เพื่อทำการชิงทรัพย์ผู้เสียหายมาแต่แรก เมื่อได้เงินตามที่ขอแล้วก็ไม่ขู่เอาทรัพย์อื่นต่อไปอีก การเอา เงินไปจึงถือไม่ได้ว่า เกิดจากการลักทรัพย์จึง ไม่เป็น ความผิดฐานชิงทรัพย์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1876/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาชิงทรัพย์ - การขอเงินโดยสุจริต ไม่ถือเป็นความผิดฐานชิงทรัพย์
ขณะผู้เสียหายนั่งคุยกับ จ. จำเลยที่ 2 ได้เข้าไปขอเงิน 5 บาท ผู้เสียหายพูดว่าไม่มีให้จำเลยที่1 ใช้มีดจี้คอผู้เสียหายและพูดว่า ถ้าไม่ให้เจ็บตัวจ. ส่งเงิน 10 บาท ให้ผู้เสียหายแล้วผู้เสียหายส่งให้จำเลยที่ 2 รับไป เมื่อได้เงินแล้วจำเลยที่ 2 ได้เดินไปพร้อมกับจำเลยที่ 1 และถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับ ค้นตัวได้เงินเพียง10 บาทที่ จ.ให้ไปเท่านั้นจ.ตอบคำถามค้านว่าให้เงินแก่จำเลยที่ 2 ด้วยความสมัครใจเต็มใจ เพราะสงสาร ดังนี้ พฤติการณ์แห่งคดีเห็นได้ว่าจำเลยที่ 2 กระทำโดยสุจริตมิได้มีเจตนา ร่วมกับจำเลยที่ 1 เพื่อทำการชิงทรัพย์ผู้เสียหายมาแต่แรกเมื่อได้เงินตามที่ขอแล้วก็ไม่ขู่เอาทรัพย์อื่นต่อไปอีกการเอา เงินไปจึงถือไม่ได้ว่า เกิดจากการลักทรัพย์จึงไม่เป็น ความผิดฐานชิงทรัพย์