พบผลลัพธ์ทั้งหมด 718 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1820/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผลผูกพันของคำพิพากษาถึงที่สุดในคดีล้มละลาย และการสันนิษฐานเรื่องหนี้สินล้นพ้นตัว
คำพิพากษาที่ถึงที่สุดแล้วในคดีแพ่งย่อมผูกพันคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 แม้จำเลยจะถูกฟ้องล้มละลาย จำเลยก็จะต่อสู้ว่าคำพิพากษาดังกล่าวไม่ถูกต้องไม่ได้
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์ต่อมาจำเลยทราบคำบังคับและศาลออกหมายบังคับคดีแล้ว จำเลยไม่มีทรัพย์สินอย่างหนึ่งอย่างใดที่จะพึงยึดมาชำระหนี้ได้ กรณีต้องสันนิษฐานตาม พระราชบัญญัติ ล้มละลาย พุทธศักราช 2483 มาตรา 8(5)ว่า จำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัวโดยที่โจทก์ไม่จำเป็นต้องไปยึดทรัพย์จำเลยก่อน.(ที่มา-ส่งเสริม)
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์ต่อมาจำเลยทราบคำบังคับและศาลออกหมายบังคับคดีแล้ว จำเลยไม่มีทรัพย์สินอย่างหนึ่งอย่างใดที่จะพึงยึดมาชำระหนี้ได้ กรณีต้องสันนิษฐานตาม พระราชบัญญัติ ล้มละลาย พุทธศักราช 2483 มาตรา 8(5)ว่า จำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัวโดยที่โจทก์ไม่จำเป็นต้องไปยึดทรัพย์จำเลยก่อน.(ที่มา-ส่งเสริม)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1648/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้ามในข้อเท็จจริง: การโต้แย้งการวินิจฉัยข้อเท็จจริงของศาลอุทธรณ์เกี่ยวกับเจตนาฆ่า
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานร่วมกันฆ่าคนตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289,288,83ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83,288 จึงมีผลเท่ากับศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ในข้อหาฆ่าคนตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(4)โดยอาศัยข้อเท็จจริง โจทก์จึงฎีกาข้อหานี้ในปัญหาข้อเท็จจริงไม่ได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1648/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาจำเลยถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานร่วมกันฆ่า แต่ฎีกาข้อหาฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อนไม่ได้ เพราะเป็นปัญหาข้อเท็จจริง
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานร่วมกันฆ่าคนตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289, 288, 83 ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 288 จึงมีผลเท่ากับศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ในข้อหาฆ่าคนตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (4) โดยอาศัยข้อเท็จจริง โจทก์จึงฎีกาข้อหานี้ในปัญหาข้อเท็จจริงไม่ได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1645/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พรากผู้เยาว์เพื่อการอนาจาร: อำนาจฟ้องเริ่มตั้งแต่ในไทย แม้ความผิดสำเร็จต่างประเทศ
แม้ผู้เสียหายจะยอมให้จำเลยร่วมประเวณีซึ่งถือไม่ได้ว่าเป็นการข่มขืนกระทำชำเราก็ตาม แต่การที่จำเลยพาผู้เสียหายซึ่งมีอายุยังไม่เกิน 18 ปี ไปเสียจากบิดามารดา ก็เป็นการล่วงละเมิดต่ออำนาจปกครองของบิดามารดา ขณะเกิดเหตุจำเลยอายุ 38 ปี และมีภริยาอยู่แล้ว ไม่ได้มีเจตนาจะเลี้ยงดูผู้เสียหายเป็นภริยา การกระทำของจำเลยจึงเป็นการพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 319 วรรคหนึ่งแล้ว
การกระทำความผิดฐานพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 319 วรรคหนึ่ง เริ่มขึ้นตั้งแต่จำเลยพาผู้เสียหายขึ้นรถยนต์ที่ปากซอยหน้าบ้านในประเทศไทย แม้จำเลยจะไปร่วมประเวณีกับผู้เสียหายที่ประเทศญี่ปุ่น การกระทำของจำเลยส่วนหนึ่งก็ได้เกิดขึ้นในประเทศไทยแล้ว โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 5
การกระทำความผิดฐานพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 319 วรรคหนึ่ง เริ่มขึ้นตั้งแต่จำเลยพาผู้เสียหายขึ้นรถยนต์ที่ปากซอยหน้าบ้านในประเทศไทย แม้จำเลยจะไปร่วมประเวณีกับผู้เสียหายที่ประเทศญี่ปุ่น การกระทำของจำเลยส่วนหนึ่งก็ได้เกิดขึ้นในประเทศไทยแล้ว โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 5
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1645/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พรากผู้เยาว์เพื่ออนาจาร: การกระทำเริ่มในไทย แม้สำเร็จที่ต่างประเทศ โจทก์มีอำนาจฟ้อง
แม้ผู้เสียหายจะยอมให้จำเลยร่วมประเวณีซึ่งถือไม่ได้ว่า เป็นการข่มขืนกระทำชำเราก็ตาม แต่การที่จำเลยพาผู้เสียหาย ซึ่งมีอายุยังไม่เกิน 18 ปีไปเสียจากบิดามารดา ก็เป็นการล่วงละเมิดต่ออำนาจปกครองของบิดามารดา ขณะเกิดเหตุจำเลยอายุ 38 ปีและมีภริยาอยู่แล้ว ไม่ได้มีเจตนาจะเลี้ยงดูผู้เสียหายเป็นภริยาการกระทำของจำเลยจึงเป็นการพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 319 วรรคหนึ่ง แล้ว เมื่อการกระทำความผิดฐานพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารเริ่มขึ้นตั้งแต่จำเลยพาผู้เสียหายขึ้นรถยนต์ที่ปากซอยหน้าบ้านในประเทศไทยแม้จำเลยจะไปร่วมประเวณีกับผู้เสียหายที่ประเทศญี่ปุ่นการกระทำของจำเลยส่วนหนึ่งก็ได้เกิดขึ้นในประเทศไทยแล้วโจทก์จึงมีอำนาจฟ้องตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 5
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1644/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดทางอาญาจากการขับรถประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายและได้รับบาดเจ็บ พยานหลักฐานสนับสนุนการกระทำผิด
บันทึกการตรวจสถานที่เกิดเหตุระบุว่าพบกองเศษกระจกห่างทางเท้าประมาณ 3 เมตร แม้เป็นเอกสารที่ทำขึ้นฝ่ายเดียว แต่เป็นหลักฐานที่เจ้าพนักงานตำรวจตรวจพบและบันทึกไว้ ดังนี้เป็นเอกสารที่รับฟังได้
การที่จำเลยลงชื่อในแผนที่เกิดเหตุเพราะพนักงานสอบสวนบอกว่าลงชื่อแล้วกลับบ้านได้ ไม่ได้หมายความว่า จำเลยถูกบังคับหรือหลอกลวง แต่เป็นการลงชื่อโดยความสมัครใจของจำเลยเอง
เมื่อศาลเห็นไม่สมควรสั่งพักใช้หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่ของจำเลยก็ไม่จำต้องปรับบทตาม พระราชบัญญัติ จราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 162 อีก.(ที่มา-ส่งเสริมฯ)
การที่จำเลยลงชื่อในแผนที่เกิดเหตุเพราะพนักงานสอบสวนบอกว่าลงชื่อแล้วกลับบ้านได้ ไม่ได้หมายความว่า จำเลยถูกบังคับหรือหลอกลวง แต่เป็นการลงชื่อโดยความสมัครใจของจำเลยเอง
เมื่อศาลเห็นไม่สมควรสั่งพักใช้หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่ของจำเลยก็ไม่จำต้องปรับบทตาม พระราชบัญญัติ จราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 162 อีก.(ที่มา-ส่งเสริมฯ)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1604/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หลักฐานพยานแวดล้อมเพียงพอรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 ร่วมกระทำผิดปล้นทรัพย์ แม้ไม่มีพยานเห็นเหตุการณ์
แม้โจทก์ไม่มีประจักษ์พยานมายืนยันว่าจำเลยที่ 2 เป็นคนร้ายแต่จำเลยที่ 1 รับต่อเจ้าพนักงานตำรวจในคืนเกิดเหตุว่าจำเลยที่ 2ร่วมปล้นทรัพย์ด้วย ขณะเจ้าพนักงานตำรวจไปจับจำเลยที่ 2 ในคืนนั้นจำเลยที่ 2 ก็พยายามหลบหนีอันเป็นพฤติการณ์ที่ส่อพิรุธ ทั้งจำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพในคืนถูกจับและนำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพให้ถ่ายภาพไว้หลังถูกจับเพียง 3 วัน ซึ่งเป็นระยะเวลาใกล้ชิดกับวันเกิดเหตุ และจำเลยที่ 2 รับว่าเป็นผู้เช่ารถแท็กซี่ที่คนร้ายใช้เป็นยานพาหนะหลบหนี พยานแวดล้อมของโจทก์สอดคล้องกันดีมีน้ำหนัก พอฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 ได้ร่วมกระทำผิดกับจำเลยที่ 1และพวก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1556/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเปลี่ยนแปลงคำขอรับชำระหนี้: คำให้การพยานไม่ผูกพันเจ้าหนี้, ศาลต้องพิจารณาตามสิทธิที่ควรได้รับ
คำให้การของพยานเจ้าหนี้จะเปลี่ยนแปลงหรือสละคำขอรับชำระหนี้บางส่วนของเจ้าหนี้ไม่ได้ เพราะการให้การเป็นพยานถือไม่ได้ว่ากระทำแทนเจ้าหนี้ดังนี้เจ้าหนี้ต้องได้รับชำระหนี้ตามสิทธิที่ควรได้รับ.(ที่มา-ส่งเสริมฯ)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1500/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาค้ำประกันของบริษัทเครดิตฟองซิเอร์: ผลบังคับใช้เมื่อทำนอกขอบอนุญาต แต่มีวัตถุประสงค์ในหนังสือบริคณห์สนธิ
จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ทำสัญญาค้ำประกันหนี้จำเลยที่ 1 ที่กู้เงินจากโจทก์ เมื่อการค้ำประกันหนี้เป็นกิจการที่จำเลยที่ 2 อาจได้รับอนุญาตให้กระทำได้ และอยู่ในขอบวัตถุที่ประสงค์ของจำเลยที่ 2 ตามหนังสือบริคณห์สนธิที่จดทะเบียนไว้ด้วยฉะนั้น หากโจทก์ซึ่งเป็นคู่สัญญากับจำเลยที่ 2 มิได้ร่วมรู้ด้วยว่าจำเลยที่ 2 ทำสัญญาค้ำประกันโดยไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมาย ก็จะถือว่า นิติกรรมสัญญานั้นมีวัตถุที่ประสงค์เป็นการฝ่าฝืนต้องห้ามโดยกฎหมาย ไม่ได้ สัญญาค้ำประกันดังกล่าวจึงมีผลใช้บังคับได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1500/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาค้ำประกันของบริษัทเครดิตฟองซิเอร์: ผลบังคับใช้เมื่อไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมาย แต่เป็นกิจการที่อยู่ในวัตถุประสงค์ของบริษัท
จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ทำสัญญาค้ำประกันหนี้จำเลยที่ 1 ที่กู้เงินจากโจทก์ เมื่อการค้ำประกันหนี้เป็นกิจการที่จำเลยที่ 2 อาจได้รับอนุญาตให้กระทำได้ และอยู่ในขอบวัตถุที่ประสงค์ของจำเลยที่ 2 ตามหนังสือบริคณห์สนธิที่จดทะเบียนไว้ด้วย ฉะนั้น หากโจทก์ซึ่งเป็นคู่สัญญากับจำเลยที่ 2 มิได้ร่วมรู้ด้วยว่าจำเลยที่ 2 ทำสัญญาค้ำประกันโดยไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมาย ก็จะถือว่านิติกรรมสัญญานั้นมีวัตถุที่ประสงค์เป็นการฝ่าฝืนต้องห้ามโดยกฎหมายไม่ได้ สัญญาค้ำประกันดังกล่าวจึงมีผลใช้บังคับได้
(วินิจฉัยโดยมติที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 6/2531)
(วินิจฉัยโดยมติที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 6/2531)