พบผลลัพธ์ทั้งหมด 718 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 259/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลายต้องยื่นภายในกำหนด หากพ้นกำหนดแล้วไม่อาจแก้ไขเพิ่มเติมได้
การขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้ในคดีล้มละลาย พ.ร.บ. ล้มละลายฯมาตรา 91 บัญญัติไว้เป็นกรณีพิเศษแล้วว่า เจ้าหนี้ต้องยื่นคำขอต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ ภายในกำหนดเวลา 2 เดือน นับแต่วันโฆษณาคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด จึงไม่อาจนำบทบัญญัติแห่งป.วิ.พ. มาตรา 180 มาใช้โดยอนุโลม ดังนั้น การที่เจ้าหนี้ยื่นคำร้องขอเพิ่มเติมจำนวนหนี้เมื่อล่วงเลยระยะเวลา 2 เดือนจึงกระทำไม่ได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 259/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลาย: ไม่อาจแก้ไขเพิ่มเติมได้หลังยื่นคำขอ
การขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้ในคดีล้มละลายนั้น พระราชบัญญัติล้มละลาย ฯ ได้บัญญัติไว้เป็นพิเศษใน มาตรา 104 โดยกำหนดเงื่อนไขให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์นัดหมายเจ้าหนี้และลูกหนี้มาพร้อมกันเพื่อตรวจคำขอรับชำระหนี้ ทั้งนี้เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ที่ประสงค์จะคัดค้านหนี้รายใดว่าไม่สมบูรณ์ไม่มีสิทธิ หรือไม่ถูกต้องประการใด ได้กระทำเสียแต่ในชั้นแรกก่อนเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เริ่มทำการสอบสวนคำขอรับชำระหนี้ในแต่ละราย ดังนั้นหากจะถือว่าการขอรับชำระหนี้เป็นกรณีเดียวกับการยื่นฟ้องในคดีแพ่งทั่วไปซึ่งเจ้าหนี้มีสิทธิที่จะขอแก้ไขเพิ่มเติมได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา180 แล้ว การดำเนินคดีของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ก็จะเต็มไปด้วยความยุ่งยากและไม่มีที่สิ้นสุด เมื่อพระราชบัญญัติล้มละลาย ฯ ได้กำหนดไว้เป็นพิเศษเช่นนี้แล้วจึงไม่อาจนำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาอนุโลมใช้ในกรณีขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้ในคดีล้มละลายได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 259/2530 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลาย: ไม่อาจแก้ไขเพิ่มเติมได้หลังยื่นคำขอ
การขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้ในคดีล้มละลายนั้น พระราชบัญญัติล้มละลาย ฯ ได้บัญญัติไว้เป็นพิเศษใน มาตรา 104 โดยกำหนดเงื่อนไขให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์นัดหมายเจ้าหนี้และลูกหนี้มาพร้อมกันเพื่อตรวจคำขอรับชำระหนี้ ทั้งนี้เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ที่ประสงค์จะคัดค้านหนี้รายใดว่าไม่สมบูรณ์ไม่มีสิทธิ หรือไม่ถูกต้องประการใด ได้กระทำเสียแต่ในชั้นแรกก่อนเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เริ่มทำการสอบสวนคำขอรับชำระหนี้ในแต่ละราย ดังนั้นหากจะถือว่าการขอรับชำระหนี้เป็นกรณีเดียวกับการยื่นฟ้องในคดีแพ่งทั่วไปซึ่งเจ้าหนี้มีสิทธิที่จะขอแก้ไขเพิ่มเติมได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 180 แล้ว การดำเนินคดีของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ก็จะเต็มไปด้วยความยุ่งยากและไม่มีที่สิ้นสุด เมื่อพระราชบัญญัติล้มละลาย ฯ ได้กำหนดไว้เป็นพิเศษเช่นนี้แล้วจึงไม่อาจนำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาอนุโลมใช้ในกรณีขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้ในคดีล้มละลายได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 247/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การประวิงคดีโดยจำเลยและการงดสืบพยาน: ศาลมีอำนาจงดสืบพยานได้หากจำเลยแสดงพฤติการณ์ประวิงคดี
การที่จำเลยขอเลื่อนคดี ในชั้นสืบพยานจำเลยไปถึงสี่นัด โดยนัดแรกอ้างว่ายังไม่ได้ระบุพยานเอกสาร นัดที่สองและนัดที่สามอ้างว่าทนายจำเลยติดว่าความคดีอื่นและพยานจำเลยไม่มาศาล และนัดที่สี่อ้างว่า พยานจำเลยไม่มาศาล เพราะทนายจำเลยยังไม่ได้แจ้งวันนัดให้ทราบเป็นพฤติการณ์ที่แสดงว่า จำเลยประวิงคดี ศาลสั่งงดสืบพยานจำเลยได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 203/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความประมาทเลินเล่อของทั้งสองฝ่าย ทำให้เกิดความเสียหาย ศาลแบ่งความรับผิดชอบค่าเสียหาย
โจทก์ย้ายเสาไฟฟ้าของโจทก์แล้วถอดสายเคเบิลโทรศัพท์ออกจากเสาไฟฟ้าโดยมิได้ติดตั้งกับเสาต้นใหม่ ให้อยู่ในสภาพที่ปลอดภัย คงปล่อยให้สายเคเบิลบางส่วน พาดไว้กับต้นหูกวางและหย่อน ลงมาขวางถนน นับเป็น ความประมาทเลินเล่อของพนักงานของโจทก์ ส่วนการที่ลูกจ้าง จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์ขาเข้าลอดผ่านไปได้ และมาเกี่ยวสายเคเบิลดังกล่าวตอนขาออกทำให้เกิดความเสียหาย นับเป็นความประมาทเลินเล่อของลูกจ้างจำเลยที่ 1 ที่ขาดความระมัดระวังเช่นเดียวกัน เมื่อทั้งฝ่ายโจทก์และจำเลยต่างประมาทเลินเล่อด้วยกัน จึงต้องรับผิดค่าเสียหายไปคนละส่วน จำเลยจึงต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เพียงกึ่งหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 203/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความประมาทเลินเล่อของทั้งสองฝ่าย ทำให้เกิดความเสียหาย จึงต้องรับผิดชอบค่าเสียหายร่วมกัน
โจทก์ย้ายเสาไฟฟ้าของโจทก์แล้วถอดสายเคเบิลโทรศัพท์ออกจากเสาไฟฟ้าโดยมิได้ติดตั้งกับเสาต้นใหม่ ให้อยู่ในสภาพที่ปลอดภัย คงปล่อยให้สายเคเบิลบางส่วน พาดไว้กับต้นหูกวางและหย่อน ลงมาขวางถนน นับเป็น ความประมาทเลินเล่อของพนักงานของโจทก์ ส่วนการที่ลูกจ้าง จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์ขาเข้าลอดผ่านไปได้ และมาเกี่ยวสายเคเบิลดังกล่าวตอนขาออกทำให้เกิดความเสียหาย นับเป็นความประมาทเลินเล่อของลูกจ้างจำเลยที่ 1 ที่ขาดความระมัดระวังเช่นเดียวกัน เมื่อทั้งฝ่ายโจทก์และจำเลยต่างประมาทเลินเล่อด้วยกัน จึงต้องรับผิดค่าเสียหายไปคนละส่วน จำเลยจึงต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เพียงกึ่งหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 162/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องคดีอาญาซ้ำหลังถอนฟ้องคดีเดิม: การกระทำต่างกรรมต่างวาระไม่ขัดมาตรา 36
โจทก์เคยฟ้องจำเลยในข้อหาความผิดฐานยักยอกเงินของโจทก์มาครั้งหนึ่งแต่ถอนฟ้องไป แล้วโจทก์จึงมาฟ้องคดีนี้กล่าวหาว่าจำเลยกระทำผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิใช้เอกสารสิทธิปลอมและยักยอกเงินของโจทก์ ซึ่งเป็นการยักยอกเงินคนละคราวและคนละรายกับที่ฟ้องในคดีก่อน แม้จะเป็นการกระทำในขณะปฏิบัติหน้าที่ประธานสวัสดิการอันเป็นมูลกรณีเดียวกับคดีก่อนแต่เป็นการกระทำที่ต่างกรรมต่างวาระกับที่จำเลยถูกฟ้องในคดีก่อนโจทก์จึงฟ้องได้ ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 36
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 162/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องซ้ำในคดีอาญา: การพิจารณาความต่างกรรมต่างวาระของการยักยอกทรัพย์และการปลอมแปลงเอกสาร
โจทก์เคยฟ้องจำเลยในข้อหาความผิดฐานยักยอกเงินของโจทก์มาครั้งหนึ่งแต่ถอนฟ้องไป แล้วโจทก์จึงมาฟ้องคดีนี้กล่าวหาว่าจำเลยกระทำผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิใช้เอกสารสิทธิปลอมและยักยอกเงินของโจทก์ ซึ่งเป็นการยักยอกเงินคนละคราวและคนละรายกับที่ฟ้องในคดีก่อน แม้จะเป็นการกระทำในขณะปฏิบัติหน้าที่ประธานสวัสดิการอันเป็นมูลกรณีเดียวกับคดีก่อนแต่เป็นการกระทำที่ต่างกรรมต่างวาระกับที่จำเลยถูกฟ้องในคดีก่อนโจทก์จึงฟ้องได้ ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 36.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 153/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การชำระหนี้ของผู้ค้ำประกันหลังการพิทักษ์ทรัพย์: ผู้ค้ำประกันหลุดพ้นความรับผิดเมื่อหนี้ของผู้รับประกันได้ชำระเสร็จสิ้น
ผู้ค้ำประกันซึ่งถูกเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แจ้งให้ชำระหนี้ของลูกหนี้ผู้ถูกพิทักษ์ทรัพย์นั้น แม้จะไม่ได้ปฏิเสธหนี้ภายในกำหนดอันจะต้องถือว่าเป็นหนี้กองทรัพย์สินของลูกหนี้เป็นการเด็ดขาด ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 119แต่ก็คงรับผิดในฐานะผู้ค้ำประกันเท่านั้น เมื่อปรากฏว่าหนี้ที่ค้ำประกันได้มีการชำระเสร็จสิ้นแล้ว ผู้ค้ำประกันก็ย่อมหลุดพ้นความรับผิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 698.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 153/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การระงับหนี้ของผู้ค้ำประกันเมื่อหนี้ที่ค้ำประกันได้ถูกชำระแล้ว แม้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แจ้งหนี้
ผู้ค้ำประกันซึ่งถูกเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แจ้งให้ชำระหนี้ของลูกหนี้ผู้ถูกพิทักษ์ทรัพย์นั้น แม้จะไม่ได้ปฏิเสธหนี้ภายในกำหนดอันจะต้องถือว่าเป็นหนี้กองทรัพย์สินของลูกหนี้เป็นการเด็ดขาด ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 119 แต่ก็คงรับผิดในฐานะผู้ค้ำประกันเท่านั้น เมื่อปรากฏว่าหนี้ที่ค้ำประกันได้มีการชำระเสร็จสิ้นแล้ว ผู้ค้ำประกันก็ย่อมหลุดพ้นความรับผิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 698