คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
สวัสดิ์ รอดเจริญ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 718 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 58/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เบี้ยปรับสัญญาเช่าซื้อสูงเกินส่วน ศาลมีอำนาจลดค่าเสียหายได้
สัญญาเช่าซื้อ ข้อ 10 ระบุให้ผู้เช่าซื้อต้องรับผิดในกรณีที่ผู้เช่าซื้อผิดสัญญา และผู้ให้เช่าซื้อนำรถยนต์ที่เช่าซื้อออกขายทอดตลาดได้ หากได้ราคาไม่คุ้มกับค่าเช่าซื้อ ผู้เช่าซื้อต้องรับผิดในส่วนที่ขาด ข้อตกลงดังกล่าวเป็นการกำหนดค่าเสียหายล่วงหน้า ในกรณีที่ผู้เช่าซื้อผิดสัญญา ถือว่าเป็นเบี้ยปรับอย่างหนึ่ง ดังนั้น เมื่อจำเลยเช่าซื้อรถยนต์จากโจทก์เป็นเงิน884,016 บาท กำหนดชำระค่าเช่าซื้อ 48 เดือน เดือนละ 18,417 บาทแต่จำเลยชำระค่าเช่าซื้อได้เพียง 6 งวด ก็ผิดสัญญา โจทก์เรียกร้องเอาเงินจำนวน 353,298 บาท ที่ขาดจำนวนตามราคาเต็มในสัญญาเช่าซื้อหลังจากนำรถยนต์ขายทอดตลาดแล้ว โดยที่จำเลยมิได้รับประโยชน์ตอบแทนจากการใช้ทรัพย์ที่เช่าซื้อ จึงเป็นการเรียกร้องค่าปรับที่สูงเกินส่วน ศาลมีอำนาจลดค่าปรับลงเป็นจำนวนตามที่เห็นสมควรได้.(ที่มา-เนติ)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 57/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อจำกัดการอุทธรณ์คดีล้มละลาย: จำนวนทุนทรัพย์เกินเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด
ในคดีล้มละลายที่ผู้ร้องขอให้ศาลมีคำสั่งจำหน่ายชื่อผู้ร้องออกจากบัญชีลูกหนี้ตามที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยืนยันและเรียกให้ชำระหนี้นั้น ถือเป็นคดีมีทุนทรัพย์ หากหนี้ซึ่งเป็นทุนทรัพย์ที่พิพาทมีจำนวนไม่เกิน 20,000 บาท ย่อมต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 ประกอบกับพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 153 การที่ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยข้อเท็จจริงให้ จึงไม่ชอบด้วยบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าว และถือไม่ได้ว่าเป็นข้อที่ได้ว่ากล่าวกันมาแล้วโดยชอบในชั้นอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลฎีกาจึงไม่อาจรับไว้พิจารณาได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 57/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อจำกัดการอุทธรณ์ในคดีล้มละลายที่มีทุนทรัพย์น้อยกว่า 20,000 บาท ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาต้องปฏิบัติตาม
ในคดีล้มละลายที่ผู้ร้องขอให้ศาลมีคำสั่งจำหน่ายชื่อผู้ร้องออกจากบัญชีลูกหนี้ตามที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยืนยันและเรียกให้ชำระหนี้นั้น ถือเป็นคดีมีทุนทรัพย์ หากหนี้ซึ่งเป็นทุนทรัพย์ที่พิพาทมีจำนวนไม่เกิน 20,000 บาท ย่อมต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 ประกอบกับพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 153 การที่ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยข้อเท็จจริงให้ จึงไม่ชอบด้วยบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวและถือไม่ได้ว่าเป็นข้อที่ได้ว่ากล่าวกันมาแล้วโดยชอบในชั้นอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249ศาลฎีกาจึงไม่อาจรับไว้พิจารณาได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4820/2529 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การโอนสิทธิการเช่าอาคารบนที่ดินราชพัสดุ แม้ยังมิได้จดทะเบียน ก็มีผลผูกพันเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา
กระทรวงการคลังตกลงให้เทศบาลเมืองสมุทรปราการเช่าที่ดินราชพัสดุจัดทำประโยชน์สร้างอาคารพาณิชย์ให้บุคคลอื่นเช่าทำการค้าจำเลยเป็นผู้ก่อสร้างอาคารพิพาทบนที่ดินดังกล่าวแล้วยกกรรมสิทธิ์ให้กระทรวงการคลัง โดยกระทรวงการคลังยินยอมให้จำเลยเป็นผู้เช่าอาคารหรือโอนสิทธิการเช่าอาคารพิพาทได้สิทธิการเช่าจึงเกิดขึ้นจากนิติกรรมหรือข้อตกลงมิใช่เป็นทรัพยสิทธิ แต่เป็นสิทธิเกี่ยวกับทรัพย์สินซึ่งอาจจำหน่ายจ่ายโอนกันได้
จำเลยผู้มีสิทธิการเช่าอาคารที่พิพาทได้โอนสิทธินั้นให้แก่ผู้ร้องผู้ร้องได้ชำระเงินให้ครบถ้วนตามสัญญาและเข้าครอบครองอาคารแล้วแม้ข้อตกลงโอนสิทธิการเช่าจะมิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ และยังมิได้มีการจดทะเบียนยกกรรมสิทธิ์อาคารให้แก่กระทรวงการคลังและยังไม่ได้ชำระค่าเช่าให้แก่เทศบาลเมืองสมุทรปราการผู้เช่าที่ดินดังกล่าวก็หาทำให้ข้อตกลงการโอนสิทธิการเช่านั้นเป็นโมฆะไม่ผู้ร้องจึงอยู่ในฐานะที่จะเรียกร้องให้จดทะเบียนการเช่าและขอชำระค่าเช่าได้ตามสัญญาโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาจะนำยึดสิทธิการเช่าดังกล่าวโดยอ้างว่ายังเป็นของจำเลยหาได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4820/2529

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การโอนสิทธิการเช่าอาคารบนที่ดินราชพัสดุ แม้มิได้จดทะเบียนก็มีผลผูกพันเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา
กระทรวงการคลังตกลงให้เทศบาลเมืองสมุทรปราการเช่าที่ดินราชพัสดุจัดทำประโยชน์สร้างอาคารพาณิชย์ให้บุคคลอื่นเช่าทำการค้าจำเลยเป็นผู้ก่อสร้างอาคารพิพาทบนที่ดินดังกล่าวแล้วยกกรรมสิทธิ์ให้กระทรวงการคลังโดยกระทรวงการคลังยินยอมให้จำเลยเป็นผู้เช่าอาคารหรือโอนสิทธิการเช่าอาคารพิพาทได้สิทธิการเช่าจึงเกิดขึ้นจากนิติกรรมหรือข้อตกลงมิใช่เป็นทรัพยสิทธิแต่เป็นสิทธิเกี่ยวกับทรัพย์สินซึ่งอาจจำหน่ายจ่ายโอนกันได้ จำเลยผู้มีสิทธิการเช่าอาคารที่พิพาทได้โอนสิทธินั้นให้แก่ผู้ร้องผู้ร้องได้ชำระเงินให้ครบถ้วนตามสัญญาและเข้าครอบครองอาคารแล้วแม้ข้อตกลงโอนสิทธิการเช่าจะมิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่และยังมิได้มีการจดทะเบียนยกกรรมสิทธิ์อาคารให้แก่กระทรวงการคลังและยังไม่ได้ชำระค่าเช่าให้แก่เทศบาลเมืองสมุทรปราการผู้เช่าที่ดินดังกล่าวก็หาทำให้ข้อตกลงการโอนสิทธิการเช่านั้นเป็นโมฆะไม่ผู้ร้องจึงอยู่ในฐานะที่จะเรียกร้องให้จดทะเบียนการเช่าและขอชำระค่าเช่าได้ตามสัญญาโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาจะนำยึดสิทธิการเช่าดังกล่าวโดยอ้างว่ายังเป็นของจำเลยหาได้ไม่.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4820/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิการเช่าเป็นสิทธิเกี่ยวกับทรัพย์สิน โอนได้แม้ไม่จดทะเบียน เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาไม่สามารถยึดได้
สิทธิการเช่าอาคารมิใช่เป็นทรัพยสิทธิที่เกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์แต่เป็นสิทธิเกี่ยวกับทรัพย์สินซึ่งอาจจำหน่ายจ่ายโอนกันได้โดยไม่ต้องจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เมื่อจำเลยผู้มีสิทธิการเช่าอาคารพิพาทได้โอนสิทธินั้นให้แก่ผู้ร้องไปแล้วโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของจำเลยจะนำยึดสิทธิการเช่าดังกล่าวหาได้ไม่.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4820/2529 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การโอนสิทธิการเช่าอาคารบนที่ดินราชพัสดุ แม้ยังมิได้จดทะเบียน ก็มีผลผูกพันเจ้าหนี้
กระทรวงการคลังตกลงให้เทศบาลเมืองสมุทรปราการเช่าที่ดินราชพัสดุจัดทำประโยชน์สร้างอาคารพาณิชย์ให้บุคคลอื่นเช่าทำการค้า จำเลยเป็นผู้ก่อสร้างอาคารพิพาทบนที่ดินดังกล่าวแล้วยกกรรมสิทธิ์ให้กระทรวงการคลัง โดยกระทรวงการคลังยินยอมให้จำเลยเป็นผู้เช่าอาคารหรือโอนสิทธิการเช่าอาคารพิพาทได้สิทธิการเช่าจึงเกิดขึ้นจากนิติกรรมหรือข้อตกลง มิใช่เป็นทรัพยสิทธิ แต่เป็นสิทธิเกี่ยวกับทรัพย์สินซึ่งอาจจำหน่ายจ่ายโอนกันได้
จำเลยผู้มีสิทธิการเช่าอาคารที่พิพาทได้โอนสิทธินั้นให้แก่ผู้ร้อง ผู้ร้องได้ชำระเงินให้ครบถ้วนตามสัญญา และเข้าครอบครองอาคารแล้ว แม้ข้อตกลงโอนสิทธิการเช่าจะมิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ และยังมิได้มีการจดทะเบียนยกกรรมสิทธิ์อาคารให้แก่กระทรวงการคลังและยังไม่ได้ชำระค่าเช่าให้แก่เทศบาลเมืองสมุทรปราการผู้เช่าที่ดินดังกล่าว ก็หาทำให้ข้อตกลงการโอนสิทธิการเช่านั้นเป็นโมฆะไม่ผู้ร้องจึงอยู่ในฐานะที่จะเรียกร้องให้จดทะเบียนการเช่าและขอชำระค่าเช่าได้ตามสัญญา โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาจะนำยึดสิทธิการเช่าดังกล่าวโดยอ้างว่ายังเป็นของจำเลยหาได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4770/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เขตควบคุมการแปรรูปไม้ & การฟ้องที่ไม่สมบูรณ์: ฎีกาห้ามในข้อเท็จจริง & อำนาจสอบสวน
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย 3 ปี ริบของกลางทั้งหมดศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้คืนของกลางบางส่วนแก่จำเลย เป็นการแก้ไขเล็กน้อย ศาลอุทธรณ์คงลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 5 ปีจึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218
บรรยายฟ้องว่าจำเลยมีไม้แปรรูปไว้ในความครอบครองในเขตควบคุมการแปรรูปไม้โดยไม่ได้รับอนุญาต โดยจำเลยได้ทราบประกาศเขตควบคุมการแปรรูปไม้ของทางราชการแล้ว ดังนี้โจทก์ได้ระบุมาในฟ้องแล้วว่าสถานที่ซึ่งจำเลยมีไม้แปรรูปไว้ในครอบครองอยู่ในเขตควบคุมการแปรรูปไม้แม้โจทก์มิได้แนบประกาศเขตควบคุมการแปรรูปไม้มาพร้อมฟ้องก็เป็นคำฟ้องที่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 158(5) เขตควบคุมมีอาณาบริเวณเพียงใด จำเลยกระทำผิดภายในเขตควบคุมหรือไม่ เป็นข้อเท็จจริงที่โจทก์สามารถนำสืบในชั้นพิจารณาได้
อำนาจของพนักงานสอบสวนจะมีประการใดย่อมเป็นไปตามกฎหมายและข้อบังคับทั้งหลายของทางราชการที่ระบุถึงอำนาจหน้าที่ของพนักงานสอบสวนนั้น ๆ ไว้ ดังนั้นการที่จะฟังว่าพนักงานสอบสวนผู้ใดมีอำนาจในการสอบสวนหรือไม่จึงเป็นปัญหาข้อเท็จจริง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4770/2529 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เขตควบคุมการแปรรูปไม้, ความสมบูรณ์ของฟ้อง, อำนาจสอบสวน: ศาลฎีกายืนตามศาลอุทธรณ์
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย 3 ปี ริบของกลางทั้งหมดศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้คืนของกลางบางส่วนแก่จำเลย เป็นการแก้ไขเล็กน้อย ศาลอุทธรณ์คงลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 5 ปี จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218
บรรยายฟ้องว่าจำเลยมีไม้แปรรูปไว้ในความครอบครองในเขตควบคุมการแปรรูปไม้โดยไม่ได้รับอนุญาต โดยจำเลยได้ทราบประกาศเขตควบคุมการแปรรูปไม้ของทางราชการแล้ว ดังนี้โจทก์ได้ระบุมาในฟ้องแล้วว่า สถานที่ซึ่งจำเลยมีไม้แปรรูปไว้ในครอบครองอยู่ในเขตควบคุมการแปรรูปไม้ แม้โจทก์มิได้แนบประกาศเขตควบคุมการแปรรูปไม้มาพร้อมฟ้อง ก็เป็นคำฟ้องที่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5) เขตควบคุมมีอาณาบริเวณเพียงใด จำเลยกระทำผิดภายในเขตควบคุมหรือไม่ เป็นข้อเท็จจริงที่โจทก์สามารถนำสืบในชั้นพิจารณาได้
อำนาจของพนักงานสอบสวนจะมีประการใดย่อมเป็นไปตามกฎหมาย และข้อบังคับทั้งหลายของทางราชการที่ระบุถึงอำนาจหน้าที่ของพนักงานสอบสวนนั้น ๆ ไว้ ดังนั้นการที่จะฟังว่าพนักงานสอบสวนผู้ใดมีอำนาจในการสอบสวนหรือไม่จึงเป็นปัญหาข้อเท็จจริง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4770/2529

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความสมบูรณ์ของคำฟ้องคดีไม้แปรรูปและการห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย3ปีริบของกลางทั้งหมดศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าให้คืนของกลางบางส่วนแก่จำเลยเป็นการแก้ไขเล็กน้อยศาลอุทธรณ์คงลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน5ปีจึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา218 บรรยายฟ้องว่าจำเลยมีไม้แปรรูปไว้ในความครอบครองในเขตควบคุมการแปรรูปไม้โดยไม่ได้รับอนุญาตโดยจำเลยได้ทราบประกาศเขตควบคุมการแปรรูปไม้ของทางราชการแล้วดังนี้โจทก์ได้ระบุมาในฟ้องแล้วว่าสถานที่ซึ่งจำเลยมีไม้แปรรูปไว้ในครอบครองอยู่ในเขตควบคุมการแปรรูปไม้แม้โจทก์มิได้แนบประกาศเขตควบคุมการแปรรูปไม้มาพร้อมฟ้องก็เป็นคำฟ้องที่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา158(5)เขตควบคุมมีอาณาบริเวณเพียงใดจำเลยกระทำผิดภายในเขตควบคุมหรือไม่เป็นข้อเท็จจริงที่โจทก์สามารถนำสืบในชั้นพิจารณาได้ อำนาจของพนักงานสอบสวนจะมีประการใดย่อมเป็นไปตามกฎหมายและข้อบังคับทั้งหลายของทางราชการที่ระบุถึงอำนาจหน้าที่ของพนักงานสอบสวนนั้นๆไว้ดังนั้นการที่จะฟังว่าพนักงานสอบสวนผู้ใดมีอำนาจในการสอบสวนหรือไม่จึงเป็นปัญหาข้อเท็จจริง.
of 72