คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
สวัสดิ์ รอดเจริญ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 718 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 377/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานแปรรูปไม้และมีไม้แปรรูปในเขตควบคุม และความรับรู้เขตอุทยานแห่งชาติ
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยแปรรูปไม้และมีไม้แปรรูปไว้ในความครอบครองในเขตควบคุมการแปรรูปไม้ตามประกาศกระทรวงเกษตร เรื่อง กำหนดเขตควบคุมการแปรรูปไม้ ฯ ซึ่งได้กำหนดเขตควบคุมการแปรรูปไม้ ตลอดเขตท้องที่ทุกจังหวัด หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง การแปรรูปไม้หรือมีไม้แปรรูปไว้ในความครอบครอง ณ ที่ใด ภายในราชอาณาจักรถือเป็นความผิดทั้งสิ้น สำหรับในท้องที่เกิดเหตุจำเลยแถลงยอมรับว่า ม. ป่าไม้อำเภอ และ จ. กำนันได้ดำเนินการปิดประกาศเพื่อแจ้งให้ประชาชนทราบแล้วและจำเลยมิได้นำสืบปฏิเสธความข้อนี้ จึงฟังได้ว่าจำเลยได้ทราบประกาศกระทรวงเกษตรดังกล่าวแล้ว
พระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ ฯ มาตรา 8 บัญญัติให้พนักงานเจ้าหน้าที่จัดให้มีหลักเขตและป้ายหรือเครื่องหมายอื่นแสดงไว้เพื่อให้ประชาชนได้ทราบว่าเป็นเขตอุทยานแห่งชาติ การที่ทางกระทรวงเกษตรแจ้งให้ทางอำเภอ กำนันและผู้ใหญ่บ้าน แจ้งให้ราษฎรในท้องที่ทราบถึงเขตของอุทยานแห่งชาติ ฯ โดยไม่ปรากฏว่าได้มีการปักหลักเขต ติดป้ายหรือเครื่องหมายอื่นใดที่พอแสดงให้ทราบอาณาเขตของอุทยานแห่งชาติดังกล่าว จึงยังไม่พอฟังว่าจำเลยได้ทราบว่า ท้องที่ซึ่งตนกระทำความผิดนั้นอยู่ในอาณาเขตของอุทยานแห่งชาติ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 377/2529

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดแปรรูปไม้และครอบครองไม้ในเขตควบคุม, ความรับรู้เขตอุทยานแห่งชาติมีผลต่อความผิด
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยแปรรูปไม้และมีไม้แปรรูปไว้ในความครอบครองในเขตควบคุมการแปรรูปไม้ตามประกาศกระทรวงเกษตรเรื่องกำหนดเขตควบคุมการแปรรูปไม้ฯซึ่งได้กำหนดเขตควบคุมการแปรรูปไม้ตลอดเขตท้องที่ทุกจังหวัดหรือกล่าวอีกนัยหนึ่งการแปรรูปไม้หรือมีไม้แปรรูปไว้ในความครอบครองณที่ใดภายในราชอาณาจักรถือเป็นความผิดทั้งสิ้นสำหรับในท้องที่เกิดเหตุจำเลยแถลงยอมรับว่าม.ป่าไม้อำเภอและจ.กำนันได้ดำเนินการปิดประกาศเพื่อแจ้งให้ประชาชนทราบแล้วและจำเลยมิได้นำสืบปฏิเสธความข้อนี้จึงฟังได้ว่าจำเลยได้ทราบประกาศกระทรวงเกษตรดังกล่าวแล้ว. พระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติฯมาตรา8บัญญัติให้พนักงานเจ้าหน้าที่จัดให้มีหลักเขตและป้ายหรือเครื่องหมายอื่นแสดงไว้เพื่อให้ประชาชนได้ทราบว่าเป็นเขตอุทยานแห่งชาติการที่ทางกระทรวงเกษตรแจ้งให้ทางอำเภอกำนันและผู้ใหญ่บ้านแจ้งให้ราษฎรในท้องที่ทราบถึงเขตของอุทยานแห่งชาติฯโดยไม่ปรากฏว่าได้มีการปักหลักเขตติดป้ายหรือเครื่องหมายอื่นใดที่พอแสดงให้ทราบอาณาเขตของอุทยานแห่งชาติดังกล่าวจึงยังไม่พอฟังว่าจำเลยได้ทราบว่าท้องที่ซึ่งตนกระทำความผิดนั้นอยู่ในอาณาเขตของอุทยานแห่งชาติ.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 77/2529

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกระทำผิด พ.ร.บ.ขนส่งทางบกฯ สาระสำคัญอยู่ที่การไม่มีใบอนุญาต ไม่ใช่ตัวรถยนต์
ความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้ประจำรถยนต์(ผู้ขับรถ)โดยไม่ได้รับใบอนุญาตจากนายทะเบียนและใช้รถยนต์ขนส่งคนโดยสารเพื่อสินจ้างนอกเส้นทางหรือนอกท้องที่ที่ได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติการขนส่งทางบกฯนั้นสาระสำคัญในการกระทำผิดอยู่ที่จำเลยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่รถยนต์ไม่ใช่ทรัพย์สินที่จำเลยใช้ในการกระทำผิดจึงไม่ริบ.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 54/2529

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การซื้ออาวุธปืนที่มีทะเบียนโดยไม่โอนทะเบียน การริบของกลาง
จำเลยซื้ออาวุธปืนลูกซองยาวของกลางซึ่งเป็นอาวุธปืนที่มีทะเบียนมาจากผู้ที่ได้รับอนุญาตให้มีอาวุธปืนโดยมิได้มีการโอนทางทะเบียนให้ถูกต้องความผิดของจำเลยเป็นความผิดในส่วนที่ไม่ได้รับอนุญาตให้มีอาวุธปืนจากนายทะเบียนทอ้งที่เท่านั้นอาวุธปืนดังกล่าวจึงมิใช่ทรัพย์สินที่มีไว้เป็นความผิดอันจะพึงต้องริบตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา32.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 54/2529 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การมีอาวุธปืนโดยไม่แจ้งการโอน ไม่เข้าข่ายทรัพย์สินที่ต้องริบ หากเป็นปืนที่มีทะเบียน
จำเลยซื้ออาวุธปืนลูกซองยาวของกลางซึ่งเป็นอาวุธปืนที่มีทะเบียนมาจากผู้ที่ได้รับอนุญาตให้มีอาวุธปืนโดยมิได้มีการโอนทางทะเบียนให้ถูกต้อง ความผิดของจำเลยเป็นความผิดในส่วนที่ไม่ได้รับอนุญาตให้มีอาวุธปืนจากนายทะเบียนทอ้งที่เท่านั้น อาวุธปืนดังกล่าวจึงมิใช่ทรัพย์สินที่มีไว้เป็นความผิดอันจะพึงต้องริบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 54/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การซื้ออาวุธปืนที่มีทะเบียนโดยไม่แจ้งโอน การริบของกลาง
จำเลยซื้ออาวุธปืนลูกซองยาวของกลางซึ่งเป็นอาวุธปืนที่มีทะเบียนมาจากผู้ที่ได้รับอนุญาตให้มีอาวุธปืนโดยมิได้มีการโอนทางทะเบียนให้ถูกต้อง ความผิดของจำเลยเป็นความผิดในส่วนที่ไม่ได้รับอนุญาตให้มีอาวุธปืนจากนายทะเบียนท้องที่เท่านั้นอาวุธปืนดังกล่าวจึงมิใช่ทรัพย์สินที่มีไว้เป็นความผิดอันจะพึงต้องริบตาม ป.อ.มาตรา32.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4941/2528

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ขอบเขตความรับผิดทางอาญาของผู้ใช้จ้างวานเมื่อผลร้ายแรงเกินกว่าที่สั่งใช้ และการรับผิดฐานทำร้ายร่างกายเป็นเหตุให้คนตาย
จำเลยที่ 1 ที่ 2 เป็นหญิงโสเภณี โกรธแค้น ว. และบ. ผู้ตาย เรื่องจะสับเปลี่ยนคู่นอนร่วมประเวณี จึงมาเล่าเรื่องและขอให้จำเลยที่ 3 กับพวกไปช่วยสั่งสอนให้หน่อยซึ่งหมายถึงการทำร้ายให้เจ็บตัวเพียงเพื่อ สั่งสอนเท่านั้นหาได้มีเจตนามุ่งหมายถึงกับจะฆ่าให้ตายไม่ ทั้งนี้โดยจำเลยที่ 1 ที่ 2 ก็ร่วมไปยังที่เกิดเหตุกับจำเลยที่3 กับพวกด้วย เพื่อชี้ตัวให้ดูว่าใครคือ ว. และ บ.การที่จำเลยที่ 3 กระทำรุนแรง ถึงขั้นเจตนาฆ่าโดยใช้มีดแทง บ. ผู้ตายถึงแก่ความตาย ย่อมเป็นการเกินเลยไปจากขอบเขตที่ใช้ของจำเลยที่ 1 ที่ 2 จำเลยที่ 1 ที่2 ต้องรับผิดทางอาญาเพียงสำหรับความผิดเท่าที่อยู่ในขอบเขตที่ใช้ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 87 แต่เมื่อการทำร้าย บ. ผู้ตาย เกิดผลรุนแรงถึงตายดังกล่าวจำเลยที่ 1ที่ 2 ย่อมต้องรับผิดฐาน ทำร้ายร่างกายเป็นเหตุให้คนตายตาม มาตรา 290 เพราะการตาย เป็นผลธรรมดาอันย่อมเกิดขึ้นได้จากการทำร้ายตามที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 ได้ใช้จำเลยที่ 1 ที่ 2 จึงมีความผิดตามมาตรา 290,84ประกอบด้วย มาตรา 87 วรรคสอง หมายเหตุ ประชุมใหญ่ครั้งที่ 13/2528

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4941/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ขอบเขตความรับผิดร่วมของตัวการสั่งการ เมื่อผลการกระทำเกินเลยไปจากที่สั่งการ และการเปลี่ยนแปลงฐานความผิดจากทำร้ายร่างกายเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย
จำเลยที่ 1 ที่ 2 เป็นหญิงโสเภณี โกรธแค้น ว. และ บ. ผู้ตาย เรื่องจะสับเปลี่ยนคู่นอนร่วมประเวณี จึงมาเล่าเรื่องและขอให้จำเลยที่ 3 กับพวกไปช่วยสั่งสอนให้หน่อยซึ่งหมายถึงการทำร้ายให้เจ็บตัวเพียงเพื่อสั่งสอนเท่านั้นหาได้มีเจตนามุ่งหมายถึงกับจะฆ่าให้ตายไม่ ทั้งนี้โดยจำเลยที่ 1 ที่ 2 ก็ร่วมไปยังที่เกิดเหตุกับจำเลยที่ 3 กับพวกด้วย เพื่อชี้ตัวให้ดูว่าใครคือ ว. และ บ. การที่จำเลยที่ 3 กระทำรุนแรง ถึงขั้นเจตนาฆ่าโดยใช้มีดแทง บ. ผู้ตายถึงแก่ความตาย ย่อมเป็นการเกินเลยไปจากขอบเขตที่ใช้ของจำเลยที่ 1 ที่ 2 จำเลยที่ 1 ที่ 2 ต้องรับผิดทางอาญาเพียงสำหรับความผิดเท่าที่อยู่ในขอบเขตที่ใช้ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 87 แต่เมื่อการทำร้าย บ. ผู้ตาย เกิดผลรุนแรงถึงตายดังกล่าวจำเลยที่ 1 ที่ 2 ย่อมต้องรับผิดฐาน ทำร้ายร่างกายเป็นเหตุให้คนตายตาม มาตรา 290 เพราะการตาย เป็นผลธรรมดาอันย่อมเกิดขึ้นได้จากการทำร้ายตามที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 ได้ใช้จำเลยที่ 1 ที่ 2 จึงมีความผิดตามมาตรา 290, 84 ประกอบด้วย มาตรา 87 วรรคสอง
หมายเหตุ ประชุมใหญ่ครั้งที่ 13/2528

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4905/2528

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การหักภาษี ณ ที่จ่ายซ้ำซ้อนจากเงินชดเชยกรณีเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมและขัดกฎหมาย
การหักภาษี ณ ที่จ่ายส่งอำเภอตามที่บัญญัติไว้ในประมวลรัษฎากรมาตรา 50,52 นั้นย่อมมีความหมายอยู่ในตัวว่าหมายถึงกรณีที่เงินได้นั้นยังไม่มีการหักภาษีไว้แต่เงินได้จากค่าชดเชยของคนงานรายนี้ได้มีการหักภาษีเงินได้ไว้ที่กระทรวงการคลังตั้งแต่ตอนที่เบิกเงินค่าชดเชยนั้นมาเพื่อจ่ายให้คนงานแล้ว ฉะนั้นจึงไม่มีเหตุที่โจทก์ซึ่งเป็นผู้เลิกจ้างคนงานเหล่านั้นจะหักภาษีจากเงินได้รายนี้ซ้ำอีกครั้งหนึ่งในตอนจ่าย ซึ่งถ้าหากทำเช่นนั้นก็จะกลายเป็นการหักภาษีจากผู้มีเงินได้ซ้ำสองหนจากรายได้ค่าชดเชยจำนวนเดียวกัน อันไม่เป็นธรรมแก่ผู้มีเงินได้ และไม่มีกฎหมายสนับสนุนให้ทำเช่นนั้นได้ดังนั้นการที่โจทก์ไม่หักภาษีเงินได้จากค่าชดเชยดังกล่าวส่งอำเภอจึงไม่มีเหตุที่จะเรียกเงินเพิ่มจากโจทก์ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 27 ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4415/2528

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิภารจำยอมโดยอายุความ แม้มีป้าย 'ทางส่วนตัว' ก็ไม่ปลดภาระติดพัน
การที่มีป้ายปิดไว้ ณ ที่พิพาทว่าเป็นทางส่วนตัว จะมีผลเป็นเพียงการสงวนไว้ซึ่งกรรมสิทธิ์ในที่พิพาทมิให้ต้องตกไปเป็นทางสาธารณะอันจะกลายเป็นทรัพย์สินของแผ่นดินเท่านั้น มิใช่มีผลเลยไปถึงว่า ที่พิพาทจะปลอดจากภาระติดพันใดๆ ทั้งสิ้น โจทก์และบริวารได้ใช้ที่พิพาทเป็นทางสัญจรเข้าออกมาสู่ถนนสาธารณะเป็นเวลากว่า 10 ปีแล้ว โดยที่เจ้าของเดิมมิได้ห้ามปรามหรือขัดขวางแต่ประการใด ทั้งตามพฤติการณ์ไม่อาจถือได้ว่าเป็นเรื่องโจทก์และบริวารใช้เส้นทางพิพาทโดยการถือวิสาสะ โจทก์ย่อมได้สิทธิในทางภาระจำยอมโดยอายุความแล้วจำเลยซึ่งเป็นผู้รับโอนต่อมาจึงมีความผูกพันที่จะต้องงดเว้นจากการกระทำใดๆ อันเป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์
of 72