คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
อุทิศ บุญชู

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 243 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4070/2528

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความฟ้องร้องสัญญากู้ และอัตราดอกเบี้ยตามกฎหมาย กรณีสัญญามิได้ระบุอัตราดอกเบี้ย
สัญญากู้มีข้อความว่า "ข้าพเจ้าจะนำดอกเบี้ยมาชำระให้ท่านตามกำหนดระยะเวลา 1 เดือนต่อครั้ง และจะนำต้นเงินมาชำระให้ภายในวันที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2515 ถ้าข้าพเจ้าไม่นำดอกเบี้ยและต้นเงินมาชำระให้ตามกำหนดด้วยเหตุใดๆ ก็ดีข้าพเจ้ายอมให้ท่านฟ้องร้องเรียกเอาต้นเงินและดอกเบี้ยจากข้าพเจ้าได้ตามกฎหมาย"ตีความได้ว่าสิทธิฟ้องร้องเรียกเงินต้นคืนจะเกิดขึ้นเมื่อผู้กู้ผิดนัดในการนำเงินต้นมาชำระคืนด้วยเพราะข้อความในสัญญาระบุว่าจะต้องผิดนัดทั้งในการนำดอกเบี้ยและเงินต้นมาชำระให้ตามกำหนด สิทธิฟ้องร้องของโจทก์ในการเรียกเงินต้นและดอกเบี้ยจึงจะเกิดขึ้นเหตุนี้อายุความฟ้องร้องเรียกเงินต้นของโจทก์จึงเริ่มนับแต่วันที่22 เมษายน 2515 โจทก์ฟ้องคดีนี้วันที่ 20 เมษายน 2525คดีจึงไม่ขาดอายุความ สัญญากู้มิได้ระบุอัตราดอกเบี้ยไว้จึงต้องบังคับตามมาตรา 7 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์คือคิดอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ดังนั้นการที่โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยตกลงให้ดอกเบี้ยโจทก์ในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จึงเป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติและสัญญากู้ดังกล่าว โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องเรียกดอกเบี้ยในอัตราดังกล่าวได้ อำนาจฟ้องเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลย่อมมีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้ในเมื่อเห็นสมควรตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3912/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อตกลงการใช้ที่ดินร่วมกัน และประเด็นการแบ่งที่ดินพิพาท โดยไม่มีประเด็นทางจำเป็น
โจทก์ฟ้องขอให้แบ่งที่ดินพิพาทซึ่งโจทก์กับจำเลยร่วมกันซื้อ และเป็นเจ้าของร่วมกัน โดยแต่เดิมโจทก์ยอมให้จำเลยใช้เป็นทางผ่าน ได้ชั่วคราวและบัดนี้จำเลยหมดความจำเป็นแล้วจำเลยให้การและ ฟ้องแย้งว่าได้ร่วมกับโจทก์ซื้อที่ดินตามฟ้อง แต่ตกลงกันไว้ว่า ให้กันที่ดินพิพาทไว้เป็นถนนเพื่อใช้เป็นทางเข้าออกร่วมกันตลอดไป เนื่องจากที่ดินของจำเลยถูกที่ดินแปลงอื่นปิดล้อมไม่มีทางออกสู่ ถนนสาธารณะที่ดินพิพาทด้านทิศใต้ที่อยู่ติดกับทางสาธารณะ มีกำแพงปิดอยู่เมื่อจำเลยแสดงเจตนาจะใช้ที่ดินพิพาททำเป็นถนนโจทก์คัดค้านไม่ให้จำเลยรื้อกำแพงและใช้สิทธิทำถนนเพื่อเป็นทาง เข้าออกอันเป็นการผิดข้อตกลงขอให้ยกฟ้องและให้โจทก์หรือ บุคคลภายนอกรื้อถอนกำแพงโดยโจทก์เป็นผู้เสียค่าใช้จ่ายเอง โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่าที่ดินของจำเลยมีทางออกสู่ ทางสาธารณะโจทก์ไม่เคยตกลงกับจำเลยดังจำเลยฟ้องแย้ง ดังนี้คดีคงมีประเด็นเพียงว่าโจทก์กับจำเลยได้ตกลงกันให้ใช้ ที่ดินพิพาทเป็นทางเข้าออกร่วมกันเป็นการถาวรตลอดไปหรือ เป็นการชั่วคราวไม่มีประเด็นเรื่องทางจำเป็น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3912/2528

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อตกลงการใช้ที่ดินร่วมกัน และประเด็นการพิสูจน์ข้อตกลงในการใช้ทางเข้าออก
โจทก์ฟ้องขอให้แบ่งที่ดินพิพาทซึ่งโจทก์กับจำเลยร่วมกันซื้อ และเป็นเจ้าของร่วมกัน โดยแต่เดิมโจทก์ยอมให้จำเลยใช้เป็นทางผ่าน ได้ชั่วคราวและบัดนี้จำเลยหมดความจำเป็นแล้วจำเลยให้การและ ฟ้องแย้งว่าได้ร่วมกับโจทก์ซื้อที่ดินตามฟ้อง แต่ตกลงกันไว้ว่า ให้กันที่ดินพิพาทไว้เป็นถนนเพื่อใช้เป็นทางเข้าออกร่วมกันตลอดไป เนื่องจากที่ดินของจำเลยถูกที่ดินแปลงอื่นปิดล้อมไม่มีทางออกสู่ ถนนสาธารณะที่ดินพิพาทด้านทิศใต้ที่อยู่ติดกับทางสาธารณะ มีกำแพงปิดอยู่เมื่อจำเลยแสดงเจตนาจะใช้ที่ดินพิพาททำเป็นถนน โจทก์คัดค้านไม่ให้จำเลยรื้อกำแพงและใช้สิทธิทำถนนเพื่อเป็นทาง เข้าออกอันเป็นการผิดข้อตกลงขอให้ยกฟ้องและให้โจทก์หรือ บุคคลภายนอกรื้อถอนกำแพงโดยโจทก์เป็นผู้เสียค่าใช้จ่ายเอง โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่าที่ดินของจำเลยมีทางออกสู่ ทางสาธารณะโจทก์ไม่เคยตกลงกับจำเลยดังจำเลยฟ้องแย้ง ดังนี้คดีคงมีประเด็นเพียงว่าโจทก์กับจำเลยได้ตกลงกันให้ใช้ ที่ดินพิพาทเป็นทางเข้าออกร่วมกันเป็นการถาวรตลอดไปหรือ เป็นการชั่วคราวไม่มีประเด็นเรื่องทางจำเป็น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3899/2528

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การค้ำประกันในฐานะนายอำเภอ: สัญญาผูกพันเฉพาะตำแหน่ง ไม่ผูกพันส่วนตัว
ปัญหาว่าจำเลยที่ 5 ลงลายมือชื่อเป็นผู้ค้ำประกันในหนังสือสัญญาค้ำประกันในฐานะตำแหน่งนายอำเภอ มิใช่ลงลายมือชื่อในฐานะส่วนตัวและมิได้มีเจตนาให้ผูกพันเป็นการส่วนตัว เป็นปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องซึ่งเป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏจากคำฟ้องและพยานหลักฐานของโจทก์ชัดแจ้งว่าการที่จำเลยที่ 5 ค้ำประกันจำเลยที่ 1 ต่อโจทก์ในหนี้รายนี้เป็นการกระทำในฐานะนายอำเภอบางเลนมิใช่ในฐานะส่วนตัว ซึ่งโจทก์ทราบดีอยู่แล้ว สัญญาค้ำประกันดังกล่าวย่อมผูกพันผู้ดำรงตำแหน่งนายอำเภอในขณะดำรงตำแหน่งเท่านั้น จำเลยที่ 5 ซึ่งพ้นจากตำแหน่งนายอำเภอบางเลนไปแล้ว จึงหาต้องรับผิดเป็นส่วนตัวไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3811/2528

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาต้องห้ามในปัญหาข้อเท็จจริง: การโต้เถียงอำนาจผู้ร้องทุกข์และดุลพินิจการรับฟังพยาน
จำเลยฎีกาว่าผู้ร้องทุกข์แทนโจทก์ร่วมเป็นเพียงลูกจ้างมิใช่ตัวแทน ของโจทก์ร่วม และโจทก์ร่วมก็ไม่ได้มอบอำนาจให้ไว้ในขณะร้องทุกข์ การร้องทุกข์จึงไม่ถูกต้องการสอบสวนคดีนี้จึงไม่ชอบเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมายที่ว่าการสอบสวน ไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
จำเลยฎีกาว่าพยานโจทก์สร้างพยานหลักฐานเท็จขึ้นมาเป็นเหตุให้ ศาลหลงเชื่อข้อเท็จจริงในทางที่เป็นผลร้ายแก่จำเลยไม่ชอบด้วย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา227 เป็นการโต้เถียงดุลพินิจ ในการวินิจฉัยชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานของศาลจึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3811/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาต้องห้ามในปัญหาข้อเท็จจริง: การโต้เถียงการมอบอำนาจและดุลพินิจชั่งน้ำหนักพยาน
จำเลยฎีกาว่าผู้ร้องทุกข์แทนโจทก์ร่วมเป็นเพียงลูกจ้างมิใช่ตัวแทน ของโจทก์ร่วม และโจทก์ร่วมก็ไม่ได้มอบอำนาจให้ไว้ในขณะร้องทุกข์ การร้องทุกข์จึงไม่ถูกต้อง การสอบสวนคดีนี้จึงไม่ชอบ เป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมายที่ว่าการสอบสวนไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
จำเลยฎีกาว่าพยานโจทก์สร้างพยานหลักฐานเท็จขึ้นมาเป็นเหตุให้ศาลหลงเชื่อข้อเท็จจริงในทางที่เป็นผลร้ายแก่จำเลย ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 เป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการวินิจฉัยชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานของศาลจึง เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3807/2528

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเลื่อนคดีและการถือว่าจำเลยไม่มีพยาน เนื่องจากทนายจำเลยป่วยและไม่แจ้งเหตุขอเลื่อนคดี
ศาลชั้นต้นนั่งพิจารณาสืบพยานโจทก์เสร็จและนัดสืบพยานจำเลย ถึงวันนัดทนายจำเลยมอบฉันทะให้เสมียนทนายมายื่นคำร้องขอเลื่อนคดี อ้างเหตุว่าป่วยโดยไม่มีพยานฝ่ายจำเลยมาศาลเมื่อปรากฏว่าจำเลย มีทนายความสองคนแม้ธ.ทนายจำเลยคนหนึ่งป่วยไม่สามารถ มาปฏิบัติหน้าที่ได้ส.ทนายจำเลยอีกคนหนึ่งก็ยังอยู่และไม่ปรากฏว่า มีเหตุจำเป็นที่จะมาปฏิบัติหน้าที่ไม่ได้จึงไม่มีเหตุที่จำเลยจะขอเลื่อนคดี เพราะความเจ็บป่วยของทนายจำเลยข้ออ้างที่ว่าส.ทนายจำเลย ประสงค์จะขอถอนตัวจากการเป็นทนายจำเลยและฝากคำร้องไว้แก่ธ. แต่ธ.ยังมิได้ยื่นต่อศาลแม้จะเป็นความจริงศาลก็ยังมิได้มีคำสั่งอนุญาต ส.จึงยังคงเป็นทนายจำเลยอยู่เมื่อจำเลยและพยานจำเลยไม่มาศาลในวันนัดสืบพยานจำเลยย่อมถือได้ว่าจำเลยไม่มีพยานมาสืบตามข้อต่อสู้และไม่อนุญาตให้เลื่อนคดี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3807/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การไม่อนุญาตเลื่อนคดีและการถือว่าจำเลยไม่มีพยาน เนื่องจากทนายความยังไม่ถอนตัวและมีทนายความอีกคนพร้อมปฏิบัติหน้าที่
ศาลชั้นต้นนั่งพิจารณาสืบพยานโจทก์เสร็จและนัดสืบพยานจำเลย ถึงวันนัดทนายจำเลยมอบฉันทะให้เสมียนทนายมายื่นคำร้องขอเลื่อนคดีอ้างเหตุว่าป่วยโดยไม่มีพยานฝ่ายจำเลยมาศาล เมื่อปรากฏว่าจำเลยมีทนายความสองคน แม้ ธ.ทนายจำเลยคนหนึ่งป่วยไม่สามารถมาปฏิบัติหน้าที่ได้ ้ส.ทนายจำเลยอีกคนหนึ่งก็ยังอยู่และไม่ปรากฏว่า มีเหตุจำเป็นที่จะมาปฏิบัติหน้าที่ไม่ได้ จึงไม่มีเหตุที่จำเลยจะขอเลื่อนคดีเพราะความเจ็บป่วยของทนายจำเลยข้ออ้างที่ว่า ส.ทนายจำเลยประสงค์จะขอถอนตัวจากการเป็นทนายจำเลยและฝากคำร้องไว้แก่ ธ. แต่ ธ. ยังมิได้ยื่นต่อศาล แม้จะเป็นความจริงศาลก็ยังมิได้มีคำสั่งอนุญาต ส.จึงยังคงเป็นทนายจำเลยอยู่เมื่อจำเลยและพยานจำเลยไม่มาศาลในวันนัดสืบพยานจำเลย ย่อมถือได้ว่าจำเลยไม่มีพยานมาสืบตามข้อต่อสู้และไม่อนุญาตให้เลื่อนคดี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3777/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจ อธิบดีกรมศุลกากร ตีความพิกัดอัตราศุลกากร และการจัดพิกัดสินค้า (ยาอม) เป็นลูกกวาดเพื่อเสียภาษี
พระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ.2503 มาตรา12 ให้อำนาจ อธิบดีกรมศุลกากร ตีความสั่งเปลี่ยนแปลงพิกัดอัตราศุลกากรให้ถูกต้องได้ ถ้าหากการจัดพิกัดอัตราศุลกากรตามที่ถือปฏิบัติกันมายังไม่ถูกต้อง
เดิมจำเลยเคยเรียกเก็บภาษีอากรขาเข้าสำหรับสินค้ายาอมแฮคส์ของโจทก์ตามพิกัดอัตราศุลกากรประเภทที่ 30.03 ง. (32) ในลักษณะยาอื่น ๆ ในอัตราร้อยละ 10 ของราคาสินค้าที่โจทก์นำเข้ามาในราชอาณาจักร แต่ต่อมาอธิบดีกรมจำเลยได้มีคำวินิจฉัยพิกัดอัตราใหม่ตามคำวินิจฉัยพิกัดอัตราที่ 151/2519 ให้จัดสินค้ายาอมแก้โรคเจ็บคอและหวัดประเภทเดียวกับสินค้ายาอมแฮคส์ของโจทก์ เข้าพิกัดอัตราศุลกากรประเภทที่ 17.04 โดยถือเป็นลูกกวาด ซึ่งต้องเสียภาษี ในอัตราร้อยละ 65 ของราคาสินค้าหรือกิโลกรัมละ 22 บาท เมื่อคำวินิจฉัยพิกัดอัตราของอธิบดีกรมจำเลยเป็นการตีความพิกัดอัตราศุลกากรโดยชอบ. การประเมินเรียกเก็บภาษีอากรของจำเลยย่อมชอบด้วยกฎหมาย. แม้โจทก์จะขึ้นทะเบียนตำรับยาสำหรับยาอมแฮคส์ไว้ต่อกองอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข ก็เป็นการ ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติยาพ.ศ.2510 ซึ่งเป็นกฎหมายคนละฉบับ และมีวัตถุประสงค์ต่างกัน จะอ้างมาเป็นหลักในการตีความ พิกัดอัตราศุลกากรเพื่อการจัดเก็บภาษีอากรหาได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3777/2528

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจตีความพิกัดอัตราศุลกากรของอธิบดีกรมศุลกากร และการจัดประเภทสินค้า (ยาอม) เพื่อการจัดเก็บภาษี
พระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากรพ.ศ.2503 มาตรา12 ให้อำนาจ อธิบดีกรมศุลกากร ตีความสั่งเปลี่ยนแปลงพิกัดอัตราศุลกากรให้ถูกต้องได้ ถ้าหากการจัดพิกัดอัตราศุลกากรตามที่ถือปฏิบัติกันมายังไม่ถูกต้อง
เดิมจำเลยเคยเรียกเก็บภาษีอากรขาเข้าสำหรับสินค้ายาอมแฮคส์ของโจทก์ตามพิกัดอัตราศุลกากรประเภทที่ 30.03ง.(32) ในลักษณะยาอื่นๆ ในอัตราร้อยละ 10 ของราคาสินค้าที่โจทก์นำเข้ามา ในราชอาณาจักรแต่ต่อมาอธิบดีกรมจำเลยได้มีคำวินิจฉัยพิกัดอัตราใหม่ ตามคำวินิจฉัยพิกัดอัตราที่ 151/2519ให้จัดสินค้ายาอมแก้โรคเจ็บคอ และหวัดประเภทเดียวกับสินค้ายาอมแฮคส์ของโจทก์ เข้า พิกัดอัตราศุลกากรประเภทที่17.04 โดยถือเป็นลูกกวาดซึ่งต้องเสียภาษี ในอัตราร้อยละ 65 ของราคาสินค้าหรือกิโลกรัมละ 22 บาท เมื่อคำวินิจฉัยพิกัดอัตราของอธิบดีกรมจำเลยเป็นการตีความพิกัดอัตราศุลกากรโดยชอบ. การประเมินเรียกเก็บภาษีอากรของจำเลยย่อมชอบด้วยกฎหมาย. แม้โจทก์จะขึ้นทะเบียนตำรับยาสำหรับยาอมแฮคส์ไว้ต่อกองอาหารและยากระทรวงสาธารณสุขก็เป็นการ ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติยาพ.ศ.2510 ซึ่งเป็นกฎหมายคนละฉบับ และมีวัตถุประสงค์ต่างกันจะอ้างมาเป็นหลักในการตีความ พิกัดอัตราศุลกากรเพื่อการจัดเก็บภาษีอากรหาได้ไม่
of 25