พบผลลัพธ์ทั้งหมด 202 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4511-4512/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเข้ามาในคดีของจำเลยที่ 1 (นิติบุคคล) ผ่านตัวแทน แม้ไม่ได้แต่งตั้งทนายโดยตรง
จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคล การดำเนินกิจการทั้งหลายของจำเลยที่ 1 ย่อมต้องอาศัย ช. หุ้นส่วนผู้จัดการดำเนินการแทน เมื่อ ช. มอบหมายให้จำเลยที่ 2 ติดต่อกับโจทก์ คิดบัญชีหนี้สินที่เกี่ยวค้างกัน และยังมอบงานบางอย่างให้จำเลยที่ 2 ทำ โดยให้ใช้ตราของห้างได้ในชั้นส่งหมายเรียกสำเนาฟ้องให้แก่จำเลยทั้งสอง เจ้าพนักงานก็ได้ส่งไปยังภูมิลำเนาของจำเลยทั้งสองตามที่ปรากฏในหนังสือรับรองของนายทะเบียน ในคำร้องขอให้ปล่อยชั่วคราวของจำเลยที่ 2 ก็ระบุว่าจำเลยที่ 2 ในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 ในวันเดียวกันนั้น ช. ได้ยื่นคำร้องขอให้ปล่อยชั่วคราวจำเลยที่ 2 ด้วย เมื่อศาลอนุญาต ช.ได้ทำสัญญาประกันตัวจำเลยที่ 2 ตามคำร้องดังกล่าวมีข้อความระบุชื่อจำเลยที่ 1 ว่าเป็นจำเลยไว้อย่างชัดแจ้ง ช.ย่อมทราบดีว่าจำเลยที่ 1 ถูกฟ้อง และที่จำเลยที่ 2ต่อสู้คดีในนามของจำเลยที่ 1 มาแต่แรก ช. ก็ไม่ได้คัดค้านการกระทำของจำเลยที่ 2 พฤติการณ์ของ ช. ดังกล่าวแสดงว่า ช. ได้มอบหมายให้จำเลยที่ 2 ต่อสู้คดีแทนตนในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการจำเลยที่ 1 แล้วดังนั้นที่จำเลยที่ 2แต่งทนายความต่อสู้คดีในนามของจำเลยที่ 1 จึงถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้เข้ามาในคดีแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4475/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาจะซื้อขายที่ดินและข้อตกลงเพิ่มเติม การนำสืบพยานบุคคลขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
โจทก์ผู้ซื้อและจำเลยที่ 1 ผู้ขายตกลงทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินรายพิพาทโดยอาศัยหลักฐานเป็นหนังสือ แม้มีการวางมัดจำด้วยการวางมัดจำก็เป็นแต่เพียงข้อสัญญาข้อหนึ่งเท่านั้นหาใช่ตกลงทำสัญญากันด้วยการวางมัดจำแต่อย่างใดไม่ กรณีจึงต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94(ข) ที่ห้ามมิให้คู่ความนำสืบพยานบุคคลว่ายังมีข้อความเพิ่มเติมนอกเหนือจากสัญญาอยู่อีก การที่โจทก์นำสืบพยานบุคคลว่ายังมีข้อตกลงด้วยวาจาเพิ่มเติมนอกเหนือจากสัญญาที่ทำไว้ต่อกันว่าจำเลยที่ 1 จะต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดและเงื่อนไขของกรมทางหลวงในทุกประการเกี่ยวกับการยื่นคำร้องขออนุญาตทำนิติกรรมซื้อขายที่ดินรายพิพาทต่ออธิบดีกรมทางหลวง จึงต้องห้ามมิให้รับฟังและถือไม่ได้ว่ามีข้อตกลงดังที่โจทก์กล่าวอ้างดังนั้นเมื่อจำเลยที่ 1 และโจทก์ยื่นคำร้องขออนุญาตทำนิติกรรมซื้อขายที่ดินรายนี้ตามสัญญาจะซื้อขายต่ออธิบดีกรมทางหลวงตามแบบพิมพ์ของกรมทางหลวง แม้จำเลยจะได้แก้ไขข้อความตามแบบพิมพ์นั้น จนเป็นเหตุให้กรมทางหลวงไม่อนุญาตให้โจทก์และจำเลยที่ 1 ทำนิติกรรมรายนี้ ก็เป็นสิทธิของจำเลยที่ 1 ผู้ขายที่จะกระทำได้โดยชอบ ถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นฝ่ายผิดสัญญา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4356/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิกถอนการให้ (การให้โดยเสน่หา) และอายุความฟ้องร้องกรณีประพฤติเนรคุณ
โจทก์เป็นย่าจำเลย ได้รับจำเลยมาอยู่ร่วมบ้าน เมื่อแต่งงานแล้วจำเลยและสามีก็อยู่ที่บ้านโจทก์ โจทก์ให้ที่นาที่อยู่อาศัยพร้อมบ้านแก่จำเลยการที่โจทก์ออกจากบ้านตั้งแต่ต้นปี 2525 เพราะจำเลยไม่เลี้ยงดู ด่าและไล่โจทก์ออกจากบ้าน. ซึ่งเป็นเวลาที่โจทก์ทราบถึงการประพฤติเนรคุณของจำเลย เมื่อนับถึงวันที่ 3 มีนาคม 2526ที่โจทก์ฟ้องจึงเกิน 6 เดือน โจทก์หาอาจจะถอนคืนการให้ได้ไม่ ฟ้องโจทก์ขาดอายุความแล้วตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 533
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4097/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องเรียกทรัพย์คืนจากจำเลยที่ข่มขู่ให้โอนทรัพย์สิน และประเด็นเรื่องฟ้องซ้ำ
คดีก่อนโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 แต่ผู้เดียวขอแบ่งที่ดินและตึกพิพาท อ้างว่าเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 ประเด็นในคดีจึงมีว่า ที่ดินและตึกพิพาทเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 หรือไม ่ศาลพิพากษายกฟ้องโดยวินิจฉัยว่าทั้งสองฝ่ายมีข้อตกลงที่จะไม่ใช้สิทธิเรียกร้องใด ๆ ต่อกันอีก เพราะไม่มีสินสมรสระหว่างที่เป็นสามีภรรยากันโจทก์จึงฟ้องจำเลยที่ 2 ไม่ได้ ซึ่งยังมิได้วินิจฉัย ในประเด็นแห่งคดี ส่วนคดีนี้โจทก์ฟ้องเรียกที่ดินและตึกพิพาทกับทรัพย์สินในตึกพิพาทที่เป็นของตนทั้งหมดคืนมา อ้างว่าจำเลยที่ 2 ข่มขู่ เอาที่ดินและตึกไปเป็นของตน และกีดกันขัดขวาง มิให้โจทก์ได้ครอบครองใช้สอยทรัพย์สินภายในตึกพิพาท เป็นฟ้อง กรณีละเมิดและเรียกทรัพย์คืน ประเด็นที่จะวินิจฉัย จึงอาศัยเหตุที่ต่างกันกับคดีก่อนไม่เป็นฟ้องซ้ำ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4097/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องเรียกทรัพย์คืนกรณีละเมิดและการเพิกถอนการโอนที่ดินที่ได้มาจากการข่มขู่ ไม่เป็นฟ้องซ้ำ
คดีก่อนโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 แต่ผู้เดียวขอแบ่งที่ดินและตึกพิพาท อ้างว่าเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2ประเด็นในคดีจึงมีว่า ที่ดินและตึกพิพาทเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 หรือไม่ ศาลพิพากษายกฟ้องโดยวินิจฉัยว่าทั้งสองฝ่ายมีข้อตกลงที่จะ ไม่ใช้สิทธิเรียกร้องใดๆ ต่อกันอีก เพราะไม่มีสินสมรสระหว่าง ที่เป็นสามีภรรยากันโจทก์จึงฟ้องจำเลยที่ 2 ไม่ได้ ซึ่งยังมิได้วินิจฉัย ในประเด็นแห่งคดี ส่วนคดีนี้โจทก์ฟ้องเรียกที่ดินและตึกพิพาทกับทรัพย์สินในตึกพิพาทที่เป็นของตนทั้งหมดคืนมา อ้างว่าจำเลยที่ 2 ข่มขู่ เอาที่ดินและตึกไปเป็นของตน และกีดกันขัดขวาง มิให้โจทก์ได้ครอบครองใช้สอยทรัพย์สินภายในตึกพิพาท เป็นฟ้องกรณีละเมิดและเรียกทรัพย์คืน ประเด็นที่จะวินิจฉัย จึงอาศัยเหตุที่ต่างกันกับคดีก่อนไม่เป็นฟ้องซ้ำ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4071/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การงดบังคับคดีเมื่อทรัพย์สินที่อายัดเป็นตัวเงิน ไม่ใช่ทรัพย์สินที่ต้องขายทอดตลาด
จำเลยไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษาซึ่งถึงที่สุดแล้วแก่โจทก์ศาลชั้นต้นจึงออกหมายบังคับคดีตามคำขอของโจทก์อายัดเงินจำนวนหนึ่ง ซึ่งเก็บรักษาอยู่ที่กรมบังคับคดีในคดีที่จำเลยชนะคดีบุคคลภายนอก เมื่อทรัพย์สินที่ศาลอายัดไว้ดังกล่าวเป็นตัวเงินมิใช่ทรัพย์สินที่จะต้อง มีการขายทอดตลาดหรือจำหน่ายโดยวิธีอื่นย่อมไม่มีกรณีที่จะต้องบังคับ ตามคำพิพากษาเพื่อให้มีการขายทอดตลาดหรือจำหน่ายทรัพย์สิน ของจำเลยโดยวิธีอื่นจึงมิใช่กรณีที่จำเลยจะขอให้งดการบังคับคดี ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 293 และปัญหานี้ เป็นเรื่องอำนาจยื่นคำร้องซึ่งเป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วย ความสงบเรียบร้อยของประชาชนแม้โจทก์มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นก็ย่อมอ้างอิงปัญหาเช่นว่านี้ในชั้นอุทธรณ์ฎีกา ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4071/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การงดบังคับคดีเมื่อทรัพย์สินที่อายัดเป็นตัวเงิน มิใช่ทรัพย์สินที่ต้องขายทอดตลาด
จำเลยไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษาซึ่งถึงที่สุดแล้วแก่โจทก์ศาลชั้นต้นจึงออกหมายบังคับคดีตามคำขอของโจทก์อายัดเงินจำนวนหนึ่ง ซึ่งเก็บรักษาอยู่ที่กรมบังคับคดีในคดีที่จำเลยชนะคดีบุคคลภายนอก เมื่อทรัพย์สินที่ศาลอายัดไว้ดังกล่าวเป็นตัวเงินมิใช่ทรัพย์สินที่จะต้อง มีการขายทอดตลาดหรือจำหน่ายโดยวิธีอื่นย่อมไม่มีกรณีที่จะต้องบังคับ ตามคำพิพากษาเพื่อให้มีการขายทอดตลาดหรือจำหน่ายทรัพย์สิน ของจำเลยโดยวิธีอื่นจึงมิใช่กรณีที่จำเลยจะขอให้งดการบังคับคดี ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 293 และปัญหานี้ เป็นเรื่องอำนาจยื่นคำร้องซึ่งเป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วย ความสงบเรียบร้อยของประชาชนแม้โจทก์มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นก็ย่อมอ้างอิงปัญหาเช่นว่านี้ในชั้นอุทธรณ์ฎีกา ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4004/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความอุทธรณ์คำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดในคดีล้มละลาย การโต้แย้งต้องทำภายใน 1 เดือนนับแต่วันอ่านคำสั่ง
ลูกหนี้อุทธรณ์โต้แย้งว่า ลูกหนี้มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สินไม่ต้องล้มละลาย มิได้อุทธรณ์ว่า คำพิพากษาของศาลชั้นต้นไม่ตรงกับรายงานของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ หรือเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์รายงานต่อศาลไม่ตรงกับมติที่ประชุมเจ้าหนี้หรือไม่ตรงต่อข้อเท็จจริงที่เกี่ยวกับพฤติการณ์ของเจ้าหนี้ตามที่ระบุไว้ในพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช 2483 มาตรา 61 จึงมิใช่เป็นการโต้แย้งคำพิพากษาศาลชั้นต้นแต่เป็นการโต้แย้งคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด คำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดเป็นการวินิจฉัยชี้ขาดคดี มีสภาพบังคับและมีความหมายเช่นเดียวกับคำพิพากษา ตามนัยแห่งพระราชบัญญัติล้มละลายพุทธศักราช 2483 มาตรา 6 เมื่อลูกหนี้ประสงค์จะโต้แย้งคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ ก็ต้องอุทธรณ์ภายใน 1 เดือนนับแต่วันอ่านคำสั่งนั้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229 ประกอบด้วยพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช 2483 มาตรา 153
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3787/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การตีความพิกัดอัตราอากรขาเข้าสำหรับเครื่องอีวาปอเรเตอร์: ส่วนประกอบเครื่องปรับอากาศหรือเครื่องจักร?
โจทก์สั่งเครื่องอีวาปอเรเตอร์เข้ามาเพื่อใช้เป็นส่วนประกอบของเครื่องปรับอากาศรถยนต์โดยเฉพาะ หาได้นำมาใช้เป็นส่วนประกอบของ เครื่องทำความเย็นแต่ประการใดไม่ แม้เครื่องอีวาปอเรเตอร์มีส่วนประกอบของชิ้นส่วนต่าง ๆ ครบถ้วนสมบูรณ์ในตัวเองก็ไม่อาจถือได้ว่าเป็นเครื่องจักร และเครื่องอีวาปอเรเตอร์โดยลำพังไม่สามารถทำให้เกิดความเย็นขึ้นได้ ทั้งไม่อาจใช้ประโยชน์ในการผลิตสิ่งใดสิ่งหนึ่ง จึงมิใช่เป็นเครื่องจักรที่ใช้กับเครื่องทำความเย็นตามพิกัดอัตราอากรขาเข้าประเภทที่ 84.17 ก. แต่เป็นส่วนประกอบของเครื่องปรับอากาศอันจะต้องเสียอากรขาเข้าในพิกัดประเภทที่ 84.15ข.
โจทก์จะอ้างเอาการที่โจทก์เคยสั่งสินค้าเครื่องอีวาปอเรเตอร์เข้ามาและจำเลยเรียกเก็บภาษีอากรจากโจทก์อันเป็นการไม่ถูกต้องชอบด้วยกฎหมายมาเป็นข้อให้จำเลยยึดถือปฏิบัติหาได้ไม่
โจทก์จะอ้างเอาการที่โจทก์เคยสั่งสินค้าเครื่องอีวาปอเรเตอร์เข้ามาและจำเลยเรียกเก็บภาษีอากรจากโจทก์อันเป็นการไม่ถูกต้องชอบด้วยกฎหมายมาเป็นข้อให้จำเลยยึดถือปฏิบัติหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3787/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การตีความพิกัดอัตราอากรขาเข้าสำหรับเครื่องอีวาปอเรเตอร์: ส่วนประกอบเครื่องปรับอากาศไม่ใช่เครื่องจักร
โจทก์สั่งเครื่องอีวาปอเรเตอร์เข้ามาเพื่อใช้เป็นส่วนประกอบของ เครื่องปรับอากาศรถยนต์โดยเฉพาะ หาได้นำมาใช้เป็นส่วนประกอบของ เครื่องทำความเย็นแต่ประการใดไม่แม้ เครื่องอีวาปอเรเตอร์มีส่วนประกอบ ของชิ้นส่วนต่างๆครบถ้วนสมบูรณ์ในตัวเองก็ไม่อาจถือได้ว่าเป็นเครื่องจักรและเครื่องอีวาปอเรเตอร์ โดยลำพังไม่สามารถทำให้เกิดความเย็นขึ้นได้ ทั้งไม่อาจใช้ประโยชน์ในการผลิตสิ่งใดสิ่งหนึ่งจึงมิใช่เป็นเครื่องจักร ที่ใช้กับเครื่องทำความเย็นตามพิกัดอัตราอากรขาเข้าประเภทที่ 84.17ก. แต่เป็นส่วนประกอบของเครื่องปรับอากาศอันจะต้องเสียอากรขาเข้า ในพิกัดประเภทที่84.15ข.
โจทก์จะอ้างเอาการที่โจทก์เคยสั่งสินค้าเครื่องอีวาปอเรเตอร์เข้ามา และจำเลยเรียกเก็บภาษีอากรจากโจทก์อันเป็นการไม่ถูกต้องชอบด้วยกฎหมาย มาเป็นข้อให้จำเลยยึดถือปฏิบัติหาได้ไม่
โจทก์จะอ้างเอาการที่โจทก์เคยสั่งสินค้าเครื่องอีวาปอเรเตอร์เข้ามา และจำเลยเรียกเก็บภาษีอากรจากโจทก์อันเป็นการไม่ถูกต้องชอบด้วยกฎหมาย มาเป็นข้อให้จำเลยยึดถือปฏิบัติหาได้ไม่