คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
เฉลิม การปลื้มจิตต์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 367 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3276/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ บทความหมิ่นประมาท: การใส่ความโจทก์ด้วยถ้อยคำแสดงอคติและใช้อำนาจไม่เป็นธรรม
ข้อความที่จำเลยที่ 1 เขียนลงในบทความทางหนังสือพิมพ์ซึ่งจำเลยที่ 2 เป็นบรรณาธิการมีใจความว่า โจทก์ เทศมนตรีการศึกษาเทศบาลบังอาจใช้อำนาจโยกย้ายหัวหน้าฝ่ายนิเทศกองศึกษาไปอยู่ฝ่ายอื่น และได้ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ว่าผู้ถูกย้ายไม่มีความสามารถและไม่เหมาะสมกับงานนิเทศและได้เข็นเอาเมีย ปลัดเทศบาลซึ่งเป็นครูยืมตัวช่วยราชการขึ้นไปเป็นแทนเป็นเวลาร่วมปีมาแล้วนั้น บัดนี้กาลเวลาได้พิสูจน์แล้วว่าเป็นการกระทำที่ผิดพลาดอย่างมหันต์ เป็นผลงานที่เกิดจากอคติส่วนตัว เหลิงอำนาจ หลงคำเยินยอจากพวกลิ้นสากปากลื่นที่ใกล้ชิด และความมีอายุน้อยด้วยประสบการณ์ของโจทก์เองการศึกษาของเทศบาลต้องตกต่ำเพราะความขัดแย้ง กลั่นแกล้งก้าวก่าย และการใช้อำนาจที่ไม่เป็นธรรมของนักการเมืองต่อข้าราชการประจำ นั้น เป็นข้อความที่ใส่ความโจทก์โดยการโฆษณาด้วยเอกสารอันน่าจะทำให้โจทก์เสียชื่อเสียงถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง อันเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 328 ไม่ใช่เป็นการแสดงความคิดเห็น หรือติชมด้วยความเป็นธรรมอันจะทำให้จำเลยทั้งสองไม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3187/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาฆ่าจากการวิวาทและการใช้อาวุธปืน การอ้างป้องกันตัวเองไม่สมเหตุสมผล
โจทก์ร่วมกับจำเลยมีเรื่องโต้เถียงท้าทายกันก่อน แล้วจำเลยเป็นฝ่ายนัดโจทก์ร่วมไปชกต่อย เมื่อถึงที่เกิดเหตุโจทก์ร่วมซึ่งไม่มีอาวุธใดติดตัวเดินเข้าหาจำเลยห่างประมาณ 1 เมตรจำเลยกลับใช้อาวุธปืนจ้องยิงบริเวณหน้าอกของโจทก์ร่วม 2 นัดโจทก์ร่วมเอี้ยวตัวหลบ กระสุนปืนถูกโจทก์ร่วมที่ต้นแขนซ้ายและต้นขาซ้ายตามลำดับ พฤติการณ์ที่จำเลยสมัครใจวิวาท ท้าทาย และใช้อาวุธปืนยิงโจทก์ร่วม โดยไม่ปรากฏว่าโจทก์ร่วมกำลังจะทำร้ายจำเลยก่อน จึงเป็นการแสดงเจตนาฆ่า จำเลยจะอ้างว่าเป็นการป้องกันหาได้ไม่.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3187/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาฆ่าจากการวิวาทและการใช้อาวุธปืน ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าจำเลยไม่มีสิทธิอ้างเหตุป้องกันตน
โจทก์ร่วมกับจำเลยมีเรื่องโต้เถียงท้าทายกันก่อน แล้วจำเลยเป็นฝ่ายนัดโจทก์ร่วมไปชกต่อย เมื่อถึงที่เกิดเหตุโจทก์ร่วมซึ่งไม่มีอาวุธใดติดตัวเดินเข้าหาจำเลยห่างประมาณ 1 เมตร จำเลยกลับใช้อาวุธปืนจ้องยิงบริเวณหน้าอกของโจทก์ร่วม 2 นัดโจทก์ร่วมเอี้ยวตัวหลบ กระสุนปืนถูกโจทก์ร่วมที่ต้นแขนซ้ายและต้นขาซ้ายตามลำดับ พฤติการณ์ที่จำเลยสมัครใจวิวาท ท้าทาย และใช้อาวุธปืนยิงโจทก์ร่วม โดยไม่ปรากฏว่าโจทก์ร่วมกำลังจะทำร้ายจำเลยก่อน จึงเป็นการแสดงเจตนาฆ่า จำเลยจะอ้างว่าเป็นการป้องกันหาได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3040/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแจ้งอุบัติเหตุผ่านตัวแทนประกันภัย: ถือเป็นการแจ้งให้จำเลยทราบโดยชอบ
โจทก์ทำสัญญาประกันชีวิตกับเพิ่มเติมสัญญาประกันอุบัติเหตุและทุพพลภาพไว้กับจำเลยโดยมีเงื่อนไขว่าโจทก์จะต้องแจ้งรายละเอียดการเกิดเหตุและยื่นคำเรียกร้องค่าทดแทนเป็นหนังสือต่อจำเลย ในระหว่างอายุสัญญา โจทก์ประสบอุบัติเหตุและได้แจ้งขอรับเงินค่าทดแทนต่อ ศ.ตัวแทนหาประกันของจำเลยซึ่งได้โทรศัพท์แจ้งให้จำเลยทราบ ต่อมาโจทก์ได้แจ้งเป็นหนังสือไปยังจำเลยโดยผ่านทาง ศ.อีก เช่นนี้ ตามพฤติการณ์แห่งคดีแสดงว่านอกจาก ศ.จะเป็นตัวแทนหาประกันให้จำเลยแล้ว ยังได้ทำการเป็นตัวแทนของจำเลยภายในขอบอำนาจเกี่ยวกับการรับแจ้งอุบัติเหตุด้วย หาก ศ.ไม่มีอำนาจรับแจ้งเหตุตามสัญญาประกันภัยก็ชอบที่จะชี้แจงหรือแนะนำให้โจทก์แจ้งเหตุต่อจำเลยโดยตรง ถือได้ว่าโจทก์ได้แจ้งให้จำเลยทราบถึงอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นตามเงื่อนไขของสัญญาประกันอุบัติเหตุและทุพพลภาพแล้ว.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3040/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแจ้งอุบัติเหตุผ่านตัวแทนประกันภัย: ถือเป็นการแจ้งให้จำเลยทราบแล้ว หากจำเลยไม่ได้ปฏิเสธอำนาจตัวแทน
โจทก์ทำสัญญาประกันชีวิตกับเพิ่มเติมสัญญาประกันอุบัติเหตุและทุพพลภาพไว้กับจำเลยโดยมีเงื่อนไขว่าโจทก์ จะต้องแจ้งรายละเอียดการเกิดเหตุและยื่นคำเรียกร้องค่าทดแทนเป็นหนังสือต่อจำเลย ในระหว่างอายุสัญญา โจทก์ประสบอุบัติเหตุและได้แจ้งขอรับเงินค่าทดแทนต่อ ศ. ตัวแทนหาประกันของจำเลยซึ่งได้โทรศัพท์แจ้งให้จำเลยทราบ ต่อมาโจทก์ได้แจ้งเป็นหนังสือไปยังจำเลยโดยผ่านทาง ศ.อีก เช่นนี้ ตามพฤติการณ์แห่งคดีแสดงว่านอกจาก ศ.จะเป็นตัวแทนหาประกันให้จำเลยแล้ว ยังได้ทำการเป็นตัวแทนของจำเลยภายในขอบอำนาจเกี่ยวกับการรับแจ้งอุบัติเหตุด้วย หาก ศ.ไม่มีอำนาจรับแจ้งเหตุตามสัญญาประกันภัยก็ชอบที่จะชี้แจงหรือแนะนำให้โจทก์แจ้งเหตุต่อจำเลยโดยตรง ถือได้ว่าโจทก์ได้แจ้งให้จำเลยทราบถึงอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นตามเงื่อนไขของสัญญาประกันอุบัติเหตุและทุพพลภาพแล้ว.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2993/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข่มขืนกระทำชำเราผู้สืบสันดาน แม้ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ก็มีโทษหนักขึ้นได้ และการนับอายุผู้เสียหายเป็นข้อเท็จจริง
แม้โจทก์จะต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 ก็ตาม แต่ฎีกาของโจทก์ที่ว่าศาลอุทธรณ์นับอายุของผู้เสียหายคลาดเคลื่อน เป็นการวินิจฉัยข้อเท็จจริงผิดจากพยานหลักฐานในสำนวน ไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณานั้น เป็นข้อกฎหมายจึงไม่ต้องห้ามฎีกา
การข่มขืนกระทำชำเราผู้สืบสันดานอันจะต้องรับโทษหนักขึ้นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 285 นั้น หมายถึงการกระทำแก่ผู้สืบสันดานในทางสืบสายโลหิตโดยแท้จริง เพราะบทกฎหมายมาตรานี้ไม่ได้มุ่งลงโทษหนักขึ้นเฉพาะการกระทำแก่บุตรชอบด้วยกฎหมายเท่านั้น จึงใช้คำว่า 'กระทำแก่ผู้สืบสันดาน' ดังนั้น การที่จำเลยข่มขืนกระทำชำเราผู้สืบสายโลหิตโดยตรงลงมา แม้ผู้นั้นจะมิใช่เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของจำเลยก็ตาม ก็ถือได้ว่าจำเลยได้กระทำต่อผู้สืบสันดานตามความหมายของ มาตรา 285 นี้แล้ว.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2993/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข่มขืนกระทำชำเราเด็กอายุต่ำกว่า 13 ปี และความผิดฐานข่มขืนผู้สืบสันดาน
แม้โจทก์จะต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 ก็ตาม แต่ฎีกาของโจทก์ที่ว่าศาลอุทธรณ์นับอายุของผู้เสียหายคลาดเคลื่อน เป็นการวินิจฉัยข้อเท็จจริงผิดจากพยานหลักฐานในสำนวน ไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณานั้น เป็นข้อกฎหมายจึงไม่ต้องห้ามฎีกา
การข่มขืนกระทำชำเราผู้สืบสันดานอันจะต้องรับโทษหนักขึ้นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 285 นั้น หมายถึงการกระทำแก่ผู้สืบสันดานในทางสืบสายโลหิตโดยแท้จริง เพราะบทกฎหมายมาตรานี้ไม่ได้มุ่งลงโทษหนักขึ้นเฉพาะการกระทำแก่บุตรชอบด้วยกฎหมายเท่านั้น จึงใช้คำว่า 'กระทำแก่ผู้สืบสันดาน' ดังนั้น การที่จำเลยข่มขืนกระทำชำเราผู้สืบสายโลหิตโดยตรงลงมา แม้ผู้นั้นจะมิใช่เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของจำเลยก็ตาม ก็ถือได้ว่าจำเลยได้กระทำต่อผู้สืบสันดานตามความหมายของ มาตรา 285 นี้แล้ว.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2860/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความชัดเจนในการบรรยายฟ้องกรณีทางพิพาท: ศาลพิจารณาจากข้อหาและคำขอเป็นหลัก
โจทก์บรรยายฟ้องว่า ทางพิพาทนอกจากเป็นถนนสาธารณะแล้วยังเป็นทางภาระจำยอมและทางจำเป็นแก่ที่ดินของโจทก์จำเลยทำรั้วปิดกั้นทางพิพาทโดยไม่มีสิทธิตามกฎหมาย ขอให้รื้อรั้วและทำสภาพที่ดินให้เหมือนเดิม ดังนี้ ข้อหาตามฟ้องคือจำเลยปิดกั้นทางพิพาทโดยจำเลยไม่มีสิทธิตามกฎหมาย และคำขอบังคับคือให้จำเลยรื้อรั้วและทำสภาพที่ดินให้เหมือนเดิม ส่วนข้อความที่ว่าทางพิพาทเป็นถนนสาธารณะ เป็นทางภาระจำยอม และเป็นทางจำเป็นเป็นเพียงข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเท่านั้น ซึ่งเป็นเรื่องที่ศาลจะต้องพิจารณาต่อไปว่าความจริงเป็นอย่างไรคำบรรยายฟ้องของโจทก์ดังกล่าวจึงเป็นการบรรยายโดยแจ้งชัดเท่าที่โจทก์จะกระทำได้ตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏ ตามนัยแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 ฟ้องของโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2860/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องรื้อรั้วปิดทาง: การบรรยายฟ้องทางสาธารณะ ทางภารจำยอม และทางจำเป็น ไม่เคลือบคลุม
โจทก์บรรยายฟ้องว่า ทางพิพาทนอกจากเป็นถนนสาธารณะแล้วยังเป็นทางภารจำยอมและทางจำเป็นแก่ที่ดินของโจทก์ จำเลยทำรั้วปิดกั้นทางพิพาทโดยไม่มีสิทธิตามกฎหมาย ขอให้รื้อรั้วและทำสภาพที่ดินให้เหมือนเดิม ดังนี้ ข้อหาตามฟ้องคือจำเลยปิดกั้นทางพิพาทโดยจำเลยไม่มีสิทธิตามกฎหมาย และคำขอบังคับคือให้จำเลยรื้อรั้วและทำสภาพที่ดินให้เหมือนเดิม ส่วนข้อความที่ว่าทางพิพาทเป็นถนนสาธารณะ เป็นทางภารจำยอม และเป็นทางจำเป็น เป็นเพียงข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเท่านั้น ซึ่งเป็นเรื่องที่ศาลจะต้องพิจารณาต่อไปว่าความจริงเป็นอย่างไร คำบรรยายฟ้องของโจทก์ดังกล่าวจึงเป็นการบรรยายโดยแจ้งชัดเท่าที่โจทก์จะกระทำได้ตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏ ตามนัยแห่ง ป.วิ.พ. มาตรา 172 ฟ้องของโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2852/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองยาเสพติดเพื่อจำหน่าย แม้ไม่เป็นเจ้าของก็มีความผิดตาม พ.ร.บ.ยาเสพติด
การครอบครองโดยมีเจตนายึดถือเพื่อตน เป็นเรื่องการได้สิทธิครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ แต่การมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษเป็นเรื่องความรับผิดอาญา คำว่า มีไว้ในครอบครอง พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มิได้บัญญัติให้มีความหมายพิเศษ จึงต้องถือว่ามีความหมายทั่วไป ซึ่งหมายความว่ายาเสพติดให้โทษนั้นอยู่ในความยึดถือหรือปกครองดูแลของจำเลยโดยจำเลยรู้ว่าเป็นยาเสพติดให้โทษเท่านั้น ส่วนการมีเจตนายึดถือเพื่อตนหรือไม่เพียงใดนั้นไม่ใช่ข้อพิจารณาเด็ดขาดว่าจำเลยมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษ
จำเลยรับจ้างปลิดใบกัญชาหนักเกินกว่า 10 กิโลกรัม ที่บ้านของจำเลย แม้กัญชาดังกล่าวจะไม่ใช่ของจำเลย ก็ถือได้แล้วว่าจำเลยมีกัญชาของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า จำเลยเป็นผู้แบ่งบรรจุหรือรวมบรรจุกัญชาลงในถุงพลาสติกและกระสอบ จำเลยเป็นผู้ผลิตและร่วมกับผู้อื่นผลิตกัญชา แต่ไม่ได้พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานผลิตกัญชา คงลงโทษจำเลยในความผิดฐานมีกัญชาไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่าย จึงไม่เป็นการวินิจฉัยเกินคำขอ
จำเลยให้การต่อสู้คดีในแนวเดียวกันมาตลอดตั้งแต่ถูกจับกุมจนกระทั่งถึงชั้นพิจารณาคดี คำให้การชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนของจำเลยจึงนับว่าเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดีอยู่บ้างมีเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78.
of 37