คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
พลจิตต์ ดียืน

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 238 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3836/2529 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ประกันภัยรถยนต์: การรับประกันภัยค้ำจุนและการไม่รับผิดในผลละเมิดของนายจ้างที่ไม่เกี่ยวข้อง
จำเลยที่ 3 รับประกันภัยรถยนต์ไว้จากห้างหุ้นส่วนจำกัด น.ห้าง ฯ ดังกล่าวได้ให้จำเลยที่ 2 เช่าซื้อรถนั้นไปในขณะเกิดเหตุ ห้าง ฯ มิได้เป็นนายจ้างของจำเลยที่ 1 ที่จำเลยที่ 1 ทำละเมิดต่อโจทก์ ห้าง ฯ หาต้องร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดในผลแห่งละเมิดนั้นไม่ จำเลยที่ 3 ผู้รับประกันภัยไว้กับห้างฯ ในลักษณะประกันภัยค้ำจุนจึงไม่ต้องรับผิดในผลแห่งละเมิดเช่นเดียวกัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3788/2529 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อตกลงชดใช้ค่าเช็คไม่ถือเป็นการยอมความ ต้องรอการชำระเงินก่อนถอนฟ้อง
โจทก์จำเลยแถลงต่อศาลร่วมกันว่าคดีตกลงกันได้ โดยจำเลยยอมชดใช้เงินตามจำนวนที่สั่งจ่ายเช็คแก่โจทก์ แต่จำเลยต้องใช้เวลารวบรวมเงินขอให้ศาลเลื่อนการพิพากษาคดีออกไปหนึ่งนัด หากจำเลยชำระเงินให้โจทก์ครบถ้วนตามกำหนด โจทก์จะถอนฟ้องทันที หากผิดนัดให้ศาลพิพากษาคดีไปได้ทันทีเช่นเดียวกันเช่นนี้ ข้อตกลงดังกล่าวไม่มีข้อความใดแสดงว่าโจทก์ตกลงสละสิทธิในการดำเนินคดีอาญากับจำเลยในทันที แต่กลับมีเงื่อนไขให้จำเลยต้องชำระเงินเสียก่อนโจทก์จึงจะถอนฟ้องให้แสดงว่าในระหว่างนั้นโจทก์ยังติดใจที่จะดำเนินคดีอาญากับจำเลยอยู่การที่จำเลยเตรียมเงินมาครบถ้วนในวันนัดต่อมาแต่โจทก์ไม่ยอมมาศาลก็เป็นเพียงข้อแสดงว่าจำเลยมิได้ผิดนัดเท่านั้น ข้อตกลงดังกล่าวหามีผลเป็นการยอมความตามประมวลกฎหมายหวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (2) ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3788/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อตกลงชดใช้ค่าเช็คไม่ถือเป็นการยอมความ ต้องรอการชำระเงินก่อนถอนฟ้อง
โจทก์จำเลยแถลงต่อศาลร่วมกันว่าคดีตกลงกันได้ โดยจำเลยยอมชดใช้เงินตามจำนวนที่สั่งจ่ายเช็คแก่โจทก์ แต่จำเลยต้องใช้เวลารวบรวมเงินขอให้ศาลเลื่อนการพิพากษาคดีออกไปหนึ่งนัดหากจำเลยชำระเงินให้โจทก์ครบถ้วนตามกำหนด โจทก์จะถอนฟ้องทันที หากผิดนัดให้ศาลพิพากษาคดีไปได้ทันทีเช่นเดียวกันเช่นนี้ ข้อตกลงดังกล่าวไม่มีข้อความใดแสดงว่าโจทก์ตกลงสละสิทธิในการดำเนินคดีอาญากับจำเลยในทันที แต่กลับมีเงื่อนไขให้จำเลยต้องชำระเงินเสียก่อนโจทก์จึงจะถอนฟ้องให้แสดงว่าในระหว่างนั้นโจทก์ยังติดใจที่จะดำเนินคดีอาญากับจำเลยอยู่การที่จำเลยเตรียมเงินมาครบถ้วนในวันนัดต่อมาแต่โจทก์ไม่ยอมมาศาลก็เป็นเพียงข้อแสดงว่าจำเลยมิได้ผิดนัดเท่านั้น ข้อตกลงดังกล่าวหามีผลเป็นการยอมความตามประมวลกฎหมายหวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(2) ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3788/2529

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อตกลงชดใช้ค่าเช็คไม่ถือเป็นการยอมความ ต้องมีเงื่อนไขชำระเงินก่อนจึงจะถอนฟ้องได้
โจทก์จำเลยแถลงต่อศาลร่วมกันว่าคดีตกลงกันได้โดยจำเลยยอมชดใช้เงินตามจำนวนที่สั่งจ่ายเช็คแก่โจทก์แต่จำเลยต้องใช้เวลารวบรวมเงินขอให้ศาลเลื่อนการพิพากษาคดีออกไปหนึ่งนัดหากจำเลยชำระเงินให้โจทก์ครบถ้วนตามกำหนดโจทก์จะถอนฟ้องทันทีหากผิดนัดให้ศาลพิพากษาคดีไปได้ทันทีเช่นเดียวกันเช่นนี้ข้อตกลงดังกล่าวไม่มีข้อความใดแสดงว่าโจทก์ตกลงสละสิทธิในการดำเนินคดีอาญากับจำเลยในทันทีแต่กลับมีเงื่อนไขให้จำเลยต้องชำระเงินเสียก่อนโจทก์จึงจะถอนฟ้องให้แสดงว่าในระหว่างนั้นโจทก์ยังติดใจที่จะดำเนินคดีอาญากับจำเลยอยู่การที่จำเลยเตรียมเงินมาครบถ้วนในวันนัดต่อมาแต่โจทก์ไม่ยอมมาศาลก็เป็นเพียงข้อแสดงว่าจำเลยมิได้ผิดนัดเท่านั้นข้อตกลงดังกล่าวหามีผลเป็นการยอมความตามประมวลกฎหมายหวิธีพิจารณาความอาญามาตรา39(2)ไม่.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3646/2529 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ลำดับการพิจารณาความผิดแจ้งความเท็จ: มาตรา 172 ก่อน 174 วรรคสอง และข้อยกเว้นการอุทธรณ์
การที่จะพิจารณาว่า จำเลยได้กระทำความผิดฐานแจ้งความเท็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 174 วรรคสองหรือไม่ ศาลต้องพิจารณาเสียก่อนว่าจำเลยได้กระทำความผิดฐานแจ้งความเท็จ ตามมาตรา 172 หรือไม่ การกระทำความผิดตาม มาตรา 174 วรรคสองมีอัตราโทษอย่างสูงเกินสามปีไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 193 ทวิในกรณีเช่นนี้สำหรับความผิดฐานแจ้งความเท็จตาม มาตรา 172 จึงไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงด้วย
การกระทำอันจะเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 174 วรรคสองได้นั้น จะต้องกระทำความผิดตาม มาตรา 172 เสียก่อน แม้โจทก์จะได้ฎีกาปัญหาข้อเท็จจริงในความผิดตาม มาตรา 172 มาด้วยและศาลชั้นต้นสั่งรับไว้ก็ตามเมื่อศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัยในปัญหาข้อเท็จจริงดังกล่าว ดังนี้ ศาลฎีกาย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยตามลำดับชั้นของศาลเสียก่อน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3646/2529

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ลำดับการพิจารณาความผิดแจ้งความเท็จ: ต้องพิจารณามาตรา 172 ก่อนมาตรา 174 วรรคสอง และสิทธิอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง
การที่จะพิจารณาว่าจำเลยได้กระทำความผิดฐานแจ้งความเท็จตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา174วรรคสองหรือไม่ศาลต้องพิจารณาเสียก่อนว่าจำเลยได้กระทำความผิดฐานแจ้งความเท็จตามมาตรา172หรือไม่การกระทำความผิดตามมาตรา174วรรคสองมีอัตราโทษอย่างสูงเกินสามปีไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตราS93ทวิในกรณีเช่นนี้สำหรับความผิดฐานแจ้งความเท็จตามมาตรา172จึงไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงด้วย การกระทำอันจะเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา174วรรคสองได้นั้นจะต้องกระทำความผิดตามมาตรา172เสียก่อนแม้โจทก์จะได้ฎีกาปัญหาข้อเท็จจริงในความผิดตามมาตรา172มาด้วยและศาลชั้นต้นสั่งรับไว้ก็ตามเมื่อศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัยในปัญหาข้อเท็จจริงดังกล่าวดังนี้ศาลฎีกาย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยตามลำดับชั้นของศาลเสียก่อน.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3646/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ลำดับการพิจารณาความผิดแจ้งความเท็จ: มาตรา 172 ก่อน 174 วรรคสอง และข้อยกเว้นการห้ามอุทธรณ์
การที่จะพิจารณาว่า จำเลยได้กระทำความผิดฐานแจ้งความเท็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 174 วรรคสองหรือไม่ ศาลต้องพิจารณาเสียก่อนว่าจำเลยได้กระทำความผิดฐานแจ้งความเท็จ ตามมาตรา172 หรือไม่ การกระทำความผิดตาม มาตรา 174 วรรคสองมีอัตราโทษอย่างสูงเกินสามปีไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 ทวิในกรณีเช่นนี้สำหรับความผิดฐานแจ้งความเท็จตาม มาตรา 172 จึงไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงด้วย
การกระทำอันจะเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 174วรรคสองได้นั้น จะต้องกระทำความผิดตาม มาตรา 172 เสียก่อนแม้โจทก์จะได้ฎีกาปัญหาข้อเท็จจริงในความผิดตาม มาตรา 172มาด้วยและศาลชั้นต้นสั่งรับไว้ก็ตามเมื่อศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัยในปัญหาข้อเท็จจริงดังกล่าว ดังนี้ ศาลฎีกาย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยตามลำดับชั้นของศาลเสียก่อน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3636/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบอกเลิกสัญญาเช่านาต้องทำตามเงื่อนไขพ.ร.บ.ควบคุมการเช่านาพ.ศ.2517 แม้ทั้งสองฝ่ายตกลงเลิกสัญญา
การเช่านาและการบอกเลิกการเช่านาพิพาทอยู่ในบังคับของพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ. 2517 เมื่อโจทก์บอกเลิกการเช่านาพิพาทก่อนสิ้นกำหนดระยะเวลาการเช่านา โดยจำเลยรับทราบและไม่ประสงค์จะเช่านาพิพาทเช่นกัน จึงเป็นการแสดงเจตนาของทั้งสองฝ่ายว่า ผู้ให้เช่านากับผู้เช่านาตกลงเลิกการเช่านาพิพาท ซึ่งกรณีนี้มาตรา 31(3) ของพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านาพ.ศ. 2517 ให้ทำเป็นหนังสือต่อหน้านายอำเภอหรือผู้ที่นายอำเภอมอบหมาย การเช่านาจึงจะสิ้นสุดลงก่อนกำหนดระยะเวลาเช่านา ดังนั้น เมื่อหนังสือบอกเลิกการเช่านาพิพาทไม่ได้ทำต่อหน้านายอำเภอหรือผู้ที่นายอำเภอมอบหมายจึงไม่เป็นผลให้การเช่านาพิพาทสิ้นสุดลงก่อนกำหนดระยะเวลาเช่า การบอกเลิกสัญญาเช่าของโจทก์จึงไม่ชอบ
พระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ. 2517 เป็นกฎหมายพิเศษ นอกเหนือกฎหมายธรรมดา จึงต้องบังคับตามกฎหมายพิเศษ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3636/2529 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบอกเลิกสัญญาเช่านาต้องทำตามรูปแบบที่กฎหมายกำหนด (พระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ. 2517) มิเช่นนั้นการบอกเลิกไม่ชอบ
การเช่านาและการบอกเลิกการเช่านาพิพาทอยู่ในบังคับของพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ. 2517 เมื่อโจทก์บอกเลิกการเช่านาพิพาทก่อนสิ้นกำหนดระยะเวลาการเช่านา โดยจำเลยรับทราบและไม่ประสงค์จะเช่านาพิพาทเช่นกัน จึงเป็นการแสดงเจตนาของทั้งสองฝ่ายว่า ผู้ให้เช่านากับผู้เช่านาตกลงเลิกการเช่านาพิพาท ซึ่งกรณีนี้มาตรา 31 (3) ของพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ. 2517 ให้ทำเป็นหนังสือต่อหน้านายอำเภอหรือผู้ที่นายอำเภอมอบหมาย การเช่านาจึงจะสิ้นสุดลงก่อนกำหนดระยะเวลาเช่านา ดังนั้น เมื่อหนังสือบอกเลิกการเช่านาพิพาทไม่ได้ทำต่อหน้านายอำเภอหรือผู้ที่นายอำเภอมอบหมายจึงไม่เป็นผลให้การเช่านาพิพาทสิ้นสุดลงก่อนกำหนดระยะเวลาเช่า การบอกเลิกสัญญาเช่าของโจทก์จึงไม่ชอบ
พระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ. 2517 เป็นกฎหมายพิเศษ นอกเหนือกฎหมายธรรมดา จึงต้องบังคับตามกฎหมายพิเศษ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3636/2529

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบอกเลิกสัญญาเช่านาต้องทำตามรูปแบบที่กฎหมายกำหนด (มาตรา 31(3) พ.ร.บ.ควบคุมการเช่านา) แม้ทั้งสองฝ่ายตกลงเลิกกันเอง
การเช่านาและการบอกเลิกการเช่านาพิพาทอยู่ในบังคับของพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านาพ.ศ.2517เมื่อโจทก์บอกเลิกการเช่านาพิพาทก่อนสิ้นกำหนดระยะเวลาการเช่านาโดยจำเลยรับทราบและไม่ประสงค์จะเช่านาพิพาทเช่นกันจึงเป็นการแสดงเจตนาของทั้งสองฝ่ายว่าผู้ให้เช่านากับผู้เช่านาตกลงเลิกการเช่านาพิพาทซึ่งกรณีนี้มาตรา31(3)ของพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านาพ.ศ.2517ให้ทำเป็นหนังสือต่อหน้านายอำเภอหรือผู้ที่นายอำเภอมอบหมายการเช่านาจึงจะสิ้นสุดลงก่อนกำหนดระยะเวลาเช่านาดังนั้นเมื่อหนังสือบอกเลิกการเช่านาพิพาทไม่ได้ทำต่อหน้านายอำเภอหรือผู้ที่นายอำเภอมอบหมายจึงไม่เป็นผลให้การเช่านาพิพาทสิ้นสุดลงก่อนกำหนดระยะเวลาเช่าการบอกเลิกสัญญาเช่าของโจทก์จึงไม่ชอบ พระราชบัญญัติควบคุมการเช่านาพ.ศ.2517เป็นกฎหมายพิเศษนอกเหนือกฎหมายธรรมดาจึงต้องบังคับตามกฎหมายพิเศษ.
of 24