พบผลลัพธ์ทั้งหมด 451 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4714/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิอุทธรณ์คำสั่งศาล: การพิจารณาประเภทคำสั่งและกำหนดเวลาอุทธรณ์ที่ถูกต้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ผู้ร้องเลื่อนคดีและถือว่าผู้ร้องไม่มีพยานมาสืบในชั้นไต่สวนคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาแล้วมีคำสั่งยกคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาของผู้ร้องในวันเดียวกันผู้ร้องจึงมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งที่ไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีได้แม้จะมิได้โต้แย้งไว้ การอุทธรณ์ดังกล่าวมีกำหนดเวลาหนึ่งเดือนนับแต่วันที่ศาลได้มีคำสั่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา226(2)มิใช่เป็นการอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ยกคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาซึ่งต้องอุทธรณ์ภายในกำหนดเจ็ดวันนับแต่วันมีคำสั่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา156 ศาลอุทธรณ์พิพากษายกอุทธรณ์ของผู้ร้องโดยไม่วินิจฉัยประเด็นที่ผู้ร้องอุทธรณ์เรื่องการขอเลื่อนคดีศาลฎีกาให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาใหม่ในประเด็นที่ผู้ร้องอุทธรณ์ได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4714/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิอุทธรณ์คำสั่งศาล: การแยกพิจารณาคำสั่งเลื่อนคดีและคำสั่งยกคำร้องดำเนินคดีอนาถา
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ผู้ร้องเลื่อนคดีและถือว่าผู้ร้องไม่มีพยานมาสืบในชั้นไต่สวนคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถา แล้วมีคำสั่งยกคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาของผู้ร้องในวันเดียวกัน ผู้ร้องจึงมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งที่ไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีได้ แม้จะมิได้โต้แย้งไว้
การอุทธรณ์ดังกล่าวมีกำหนดเวลาหนึ่งเดือนนับแต่วันที่ศาลได้มีคำสั่ง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา226(2) มิใช่เป็นการอุทธรณ์ คำสั่งศาลชั้นต้นที่ยกคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาซึ่งต้องอุทธรณ์ ภายใน กำหนดเจ็ดวันนับแต่วันมีคำสั่ง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 156
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกอุทธรณ์ของผู้ร้องโดยไม่วินิจฉัยประเด็นที่ ผู้ร้องอุทธรณ์เรื่องการขอเลื่อนคดี ศาลฎีกาให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาใหม่ ในประเด็นที่ผู้ร้องอุทธรณ์ได้
การอุทธรณ์ดังกล่าวมีกำหนดเวลาหนึ่งเดือนนับแต่วันที่ศาลได้มีคำสั่ง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา226(2) มิใช่เป็นการอุทธรณ์ คำสั่งศาลชั้นต้นที่ยกคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาซึ่งต้องอุทธรณ์ ภายใน กำหนดเจ็ดวันนับแต่วันมีคำสั่ง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 156
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกอุทธรณ์ของผู้ร้องโดยไม่วินิจฉัยประเด็นที่ ผู้ร้องอุทธรณ์เรื่องการขอเลื่อนคดี ศาลฎีกาให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาใหม่ ในประเด็นที่ผู้ร้องอุทธรณ์ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4714/2529 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิอุทธรณ์คำสั่งศาล: การเลื่อนคดีและการดำเนินคดีอนาถา กำหนดเวลาและขอบเขต
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ผู้ร้องเลื่อนคดีและถือว่าผู้ร้องไม่มีพยานมาสืบในชั้นไต่สวนคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถา แล้วมีคำสั่งยกคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาของผู้ร้องในวันเดียวกัน ผู้ร้องจึงมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งที่ไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีได้ แม้จะมิได้โต้แย้งไว้
การอุทธรณ์ดังกล่าวมีกำหนดเวลาหนึ่งเดือนนับแต่วันที่ศาลได้มีคำสั่ง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226 (2) มิใช่เป็นการอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ยกคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาซึ่งต้องอุทธรณ์ภายในกำหนดเจ็ดวันนับแต่วันมีคำสั่ง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 156
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกอุทธรณ์ของผู้ร้องโดยไม่วินิจฉัยประเด็นที่ผู้ร้องอุทธรณ์เรื่องการขอเลื่อนคดี ศาลฎีกาให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาใหม่ในประเด็นที่ผู้ร้องอุทธรณ์ได้
การอุทธรณ์ดังกล่าวมีกำหนดเวลาหนึ่งเดือนนับแต่วันที่ศาลได้มีคำสั่ง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226 (2) มิใช่เป็นการอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ยกคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาซึ่งต้องอุทธรณ์ภายในกำหนดเจ็ดวันนับแต่วันมีคำสั่ง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 156
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกอุทธรณ์ของผู้ร้องโดยไม่วินิจฉัยประเด็นที่ผู้ร้องอุทธรณ์เรื่องการขอเลื่อนคดี ศาลฎีกาให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาใหม่ในประเด็นที่ผู้ร้องอุทธรณ์ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4676/2529 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลในการออกคำบังคับคดีและการไม่อาจรื้อฟื้นข้อพิพาทที่ตัดสินถึงที่สุด
ศาลชั้นต้นมีอำนาจออกคำบังคับได้เองตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 272 แม้โจทก์มิได้แถลงขอให้ออกคำบังคับ
ในชั้นบังคับคดี จำเลยขอให้งดการบังคับคดี อ้างว่าหนี้ตามคำพิพากษาที่โจทก์นำยึดทรัพย์นั้น โจทก์จำเลยได้ตกลงหักกลบลบหนี้กันแล้ว โจทก์ไม่มีสิทธิยึดทรัพย์จำเลย แต่ปรากฏว่าในชั้นพิจารณาคดีนี้ศาลฎีกาได้พิพากษาไว้แล้วว่าพยานหลักฐานที่จำเลยนำสืบไม่พอฟังว่าโจทก์จำเลยตกลงหักกลบลบหนี้กันแล้ว ดังนี้ แม้จำเลยจะอ้างว่า จำเลยค้นหาเอกสารการหักกลบลบหนี้มาเป็นพยานได้คดีก็ไม่อาจรื้อฟื้นปัญหาซึ่งยุติถึงที่สุดแล้วขึ้นมาพิจารณาซ้ำอีก
ในชั้นบังคับคดี จำเลยขอให้งดการบังคับคดี อ้างว่าหนี้ตามคำพิพากษาที่โจทก์นำยึดทรัพย์นั้น โจทก์จำเลยได้ตกลงหักกลบลบหนี้กันแล้ว โจทก์ไม่มีสิทธิยึดทรัพย์จำเลย แต่ปรากฏว่าในชั้นพิจารณาคดีนี้ศาลฎีกาได้พิพากษาไว้แล้วว่าพยานหลักฐานที่จำเลยนำสืบไม่พอฟังว่าโจทก์จำเลยตกลงหักกลบลบหนี้กันแล้ว ดังนี้ แม้จำเลยจะอ้างว่า จำเลยค้นหาเอกสารการหักกลบลบหนี้มาเป็นพยานได้คดีก็ไม่อาจรื้อฟื้นปัญหาซึ่งยุติถึงที่สุดแล้วขึ้นมาพิจารณาซ้ำอีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4676/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลในการออกคำบังคับและการไม่อาจรื้อฟื้นประเด็นที่ยุติแล้ว
ศาลชั้นต้นมีอำนาจออกคำบังคับได้เองตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 272 แม้โจทก์ มิได้แถลงขอให้ออกคำบังคับ
ในชั้นบังคับคดี จำเลยขอให้งดการบังคับคดี อ้างว่าหนี้ตามคำพิพากษา ที่โจทก์นำยึดทรัพย์นั้น โจทก์จำเลยได้ตกลงหักกลบลบหนี้กันแล้ว โจทก์ไม่มีสิทธิยึดทรัพย์จำเลย แต่ปรากฏว่าในชั้นพิจารณาคดีนี้ศาลฎีกา ได้พิพากษาไว้แล้วว่าพยานหลักฐานที่จำเลยนำสืบไม่พอฟังว่าโจทก์จำเลย ตกลงหักกลบลบหนี้กันแล้ว ดังนี้ แม้จำเลยจะอ้างว่า จำเลยค้นหาเอกสาร การหักกลบลบหนี้มาเป็นพยานได้คดีก็ไม่อาจรื้อฟื้นปัญหาซึ่งยุติถึงที่สุดแล้ว ขึ้นมาพิจารณาซ้ำอีก
ในชั้นบังคับคดี จำเลยขอให้งดการบังคับคดี อ้างว่าหนี้ตามคำพิพากษา ที่โจทก์นำยึดทรัพย์นั้น โจทก์จำเลยได้ตกลงหักกลบลบหนี้กันแล้ว โจทก์ไม่มีสิทธิยึดทรัพย์จำเลย แต่ปรากฏว่าในชั้นพิจารณาคดีนี้ศาลฎีกา ได้พิพากษาไว้แล้วว่าพยานหลักฐานที่จำเลยนำสืบไม่พอฟังว่าโจทก์จำเลย ตกลงหักกลบลบหนี้กันแล้ว ดังนี้ แม้จำเลยจะอ้างว่า จำเลยค้นหาเอกสาร การหักกลบลบหนี้มาเป็นพยานได้คดีก็ไม่อาจรื้อฟื้นปัญหาซึ่งยุติถึงที่สุดแล้ว ขึ้นมาพิจารณาซ้ำอีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4676/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลในการออกคำบังคับคดีและการยุติปัญหาข้อกฎหมายที่ศาลฎีกาตัดสินแล้ว
ศาลชั้นต้นมีอำนาจออกคำบังคับได้เองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา272แม้โจทก์มิได้แถลงขอให้ออกคำบังคับ ในชั้นบังคับคดีจำเลยขอให้งดการบังคับคดีอ้างว่าหนี้ตามคำพิพากษาที่โจทก์นำยึดทรัพย์นั้นโจทก์จำเลยได้ตกลงหักกลบลบหนี้กันแล้วโจทก์ไม่มีสิทธิยึดทรัพย์จำเลยแต่ปรากฏว่าในชั้นพิจารณาคดีนี้ศาลฎีกาได้พิพากษาไว้แล้วว่าพยานหลักฐานที่จำเลยนำสืบไม่พอฟังว่าโจทก์จำเลยตกลงหักกลบลบหนี้กันแล้วดังนี้แม้จำเลยจะอ้างว่าจำเลยค้นหาเอกสารการหักกลบลบหนี้มาเป็นพยานได้คดีก็ไม่อาจรื้อฟื้นปัญหาซึ่งยุติถึงที่สุดแล้วขึ้นมาพิจารณาซ้ำอีก.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4185/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความประมาทในการขับรถ ชนกันทำให้ถึงแก่ชีวิต ศาลพิพากษาโทษจำเลยทั้งสอง
จำเลยที่ 2 ขับรถบรรทุกสิบล้อในช่องเดินรถด้านซ้ายมีรถบรรทุกสิบล้อแล่นตามหลังหนึ่งคันและรถบรรทุกหกล้อที่จำเลยที่ 1 ขับตามมาอีกหนึ่งคัน การที่จำเลยที่ 2 ขับรถเปลี่ยนช่องเดินรถไปทางขวา อันเป็นระยะกระชั้นชิดกับช่วงที่จำเลยที่ 1 จะขับรถแซง โดยจำเลยที่ 2 มิได้ระมัดระวังดูรถที่แล่นตามมาทางด้านขวาให้ปลอดภัยเสียก่อน แม้จำเลยที่ 2 จะให้สัญญาณไฟเลี้ยวหรือไม่ก็ตาม และการที่จำเลยที่ 1 ขับรถบรรทุกหกล้อด้วยความเร็วสูงมากแซงรถบรรทุกสิบล้อคันหนึ่ง และจะแซงรถจำเลยที่ 2 ในคราวเดียวกัน โดยปราศจากความระมัดระวัง เป็นเหตุให้เฉี่ยวชนกับรถของจำเลยที่ 2 ซึ่งเปลี่ยนช่องเดินรถออกมาทางขวา ดังนี้ เหตุชนกันจึงเกิดจากความประมาทของจำเลยทั้งสอง
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วม ศาลชั้นต้นมิได้มีคำสั่งอย่างใด เมื่อผู้ร้องเป็นพี่ของผู้ตาย จึงไม่ใช่บุคคลที่มีอำนาจจัดการแทนผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 5(2) ไม่มีอำนาจร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยฎีกาของผู้ร้อง
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วม ศาลชั้นต้นมิได้มีคำสั่งอย่างใด เมื่อผู้ร้องเป็นพี่ของผู้ตาย จึงไม่ใช่บุคคลที่มีอำนาจจัดการแทนผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 5(2) ไม่มีอำนาจร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยฎีกาของผู้ร้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4185/2529 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความประมาทในการขับรถ ชนกันหลายฝ่าย ผู้ขับขี่ทั้งสองมีความผิด และสิทธิการเข้าร่วมเป็นโจทก์
จำเลยที่ 2 ขับรถบรรทุกสิบล้อในช่องเดินรถด้านซ้ายมีรถบรรทุกสิบล้อแล่นตามหลังหนึ่งคันและรถบรรทุกหกล้อที่จำเลยที่ 1 ขับตามมาอีกหนึ่งคัน การที่จำเลยที่ 2 ขับรถเปลี่ยนช่องเดินรถไปทางขวา อันเป็นระยะกระชั้นชิดกับช่วงที่จำเลยที่ 1 จะขับรถแซง โดยจำเลยที่ 2 มิได้ระมัดระวังดูรถที่แล่นตามมาทางด้านขวาให้ปลอดภัยเสียก่อน แม้จำเลยที่ 2 จะให้สัญญาณไฟเลี้ยวหรือไม่ก็ตาม และการที่จำเลยที่ 1 ขับรถบรรทุกหกล้อด้วยความเร็วสูงมากแซงรถบรรทุกสิบล้อคันหนึ่ง และจะแซงรถจำเลยที่ 2 ในคราวเดียวกัน โดยปราศจากความระมัดระวัง เป็นเหตุให้เฉี่ยวชนกับรถของจำเลยที่ 2 ซึ่งเปลี่ยนช่องเดินรถออกมาทางขวา ดังนี้ เหตุชนกันจึงเกิดจากความประมาทของจำเลยทั้งสอง
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วม ศาลชั้นต้นมิได้มีคำสั่งอย่างใด เมื่อผู้ร้องเป็นพี่ของผู้ตาย จึงไม่ใช่บุคคลที่มีอำนาจจัดการแทนผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 5(2) ไม่มีอำนาจร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยฎีกาของผู้ร้อง
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วม ศาลชั้นต้นมิได้มีคำสั่งอย่างใด เมื่อผู้ร้องเป็นพี่ของผู้ตาย จึงไม่ใช่บุคคลที่มีอำนาจจัดการแทนผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 5(2) ไม่มีอำนาจร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยฎีกาของผู้ร้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4185/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความประมาทในการขับรถ ชนกันทำให้ถึงแก่ความตาย ศาลพิจารณาความรับผิดของทั้งสองฝ่าย
จำเลยที่2ขับรถบรรทุกสิบล้อในช่องเดินรถด้านซ้ายมีรถบรรทุกสิบล้อแล่นตามหลังหนึ่งคันและรถบรรทุกหกล้อที่จำเลยที่1ขับตามมาอีกหนึ่งคันการที่จำเลยที่2ขับรถเปลี่ยนช่องเดินรถไปทางขวาอันเป็นระยะกระชั้นชิดกับช่วงที่จำเลยที่1จะขับรถแซงโดยจำเลยที่2มิได้ระมัดระวังดูรถที่แล่นตามมาทางด้านขวาให้ปลอดภัยเสียก่อนแม้จำเลยที่2จะให้สัญญาณไฟเลี้ยวหรือไม่ก็ตามและการที่จำเลยที่1ขับรถบรรทุกหกล้อด้วยความเร็วสูงมากแซงรถบรรทุกสิบล้อคันหนึ่งและจะแซงรถจำเลยที่2ในคราวเดียวกันโดยปราศจากความระมัดระวังเป็นเหตุให้เฉี่ยวชนกับรถของจำเลยที่2ซึ่งเปลี่ยนช่องเดินรถออกมาทางขวาดังนี้เหตุชนกันจึงเกิดจากความประมาทของจำเลยทั้งสอง ผู้ร้องยื่นคำร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมศาลชั้นต้นมิได้มีคำสั่งอย่างใดเมื่อผู้ร้องเป็นพี่ของผู้ตายจึงไม่ใช่บุคคลที่มีอำนาจจัดการแทนผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา5(2)ไม่มีอำนาจร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยฎีกาของผู้ร้อง.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4176/2529 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญชาติไทยโดยการเกิดนอกราชอาณาจักรและการพิสูจน์สัญชาติเมื่อถูกโต้แย้งสิทธิ
บุคคลผู้เกิดนอกราชอาณาจักรไทยโดยมารดาเป็นผู้มีสัญชาติไทยส่วนบิดามิใช่บิดาที่ชอบด้วยกฎหมาย และไม่ปรากฏว่าบิดามีสัญชาติใด บุคคลนั้นย่อมได้สัญชาติไทยโดยการเกิดตามพระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ. 2508 มาตรา 7 (2)
โจทก์ติดต่อให้จำเลยจดแจ้งชื่อโจทก์ซึ่งเป็นคนมีสัญชาติไทยลงในทะเบียนบ้านแล้ว จำเลยปฏิเสธอ้างว่าโจทก์เป็นคนมีสัญชาติลาว ดังนี้เป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์แล้ว
ตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 มาตรา 57 กำหนดให้ผู้ซึ่งประสงค์ขอพิสูจน์สัญชาติไทยปฏิบัติตามขั้นตอนที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยยื่นคำขอต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ก่อน เมื่อไม่พอใจคำสั่งของพนักงานเจ้าหน้าที่จะร้องขอต่อศาลให้พิจารณาก็ได้ แต่กรณีที่โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ มิใช่การร้องขอต่อศาลให้พิจารณาเกี่ยวกับการพิสูจน์สัญชาติ หากแต่เป็นการฟ้องจำเลยซึ่งเป็นผู้โต้แย้งสิทธิของโจทก์ต่อศาล จึงไม่อยู่ในบังคับที่จะต้องยื่นคำขอต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ก่อน ดังนี้โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลย
โจทก์ติดต่อให้จำเลยจดแจ้งชื่อโจทก์ซึ่งเป็นคนมีสัญชาติไทยลงในทะเบียนบ้านแล้ว จำเลยปฏิเสธอ้างว่าโจทก์เป็นคนมีสัญชาติลาว ดังนี้เป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์แล้ว
ตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 มาตรา 57 กำหนดให้ผู้ซึ่งประสงค์ขอพิสูจน์สัญชาติไทยปฏิบัติตามขั้นตอนที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยยื่นคำขอต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ก่อน เมื่อไม่พอใจคำสั่งของพนักงานเจ้าหน้าที่จะร้องขอต่อศาลให้พิจารณาก็ได้ แต่กรณีที่โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ มิใช่การร้องขอต่อศาลให้พิจารณาเกี่ยวกับการพิสูจน์สัญชาติ หากแต่เป็นการฟ้องจำเลยซึ่งเป็นผู้โต้แย้งสิทธิของโจทก์ต่อศาล จึงไม่อยู่ในบังคับที่จะต้องยื่นคำขอต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ก่อน ดังนี้โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลย