คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
สาระ เสาวมล

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 370 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2484/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานร่วมกันมีและนำออกใช้ธนบัตรปลอม โดยจำเลยที่ 2 เป็นผู้ส่งมอบ
จำเลยที่ 1 ตกลงขายธนบัตรปลอมให้กับผู้ขอซื้อ เมื่อจำเลยที่ 1 นำธนบัตรปลอมมามอบให้กับผู้ขอซื้อ จำเลยที่ 2 บุตรจำเลยที่ 1 เป็นผู้ส่งมอบซองจดหมายบรรจุธนบัตรปลอมให้ พฤติการณ์ดังกล่าวของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดฐานร่วมกันมีไว้เพื่อนำออกใช้ซึ่งธนบัตรปลอมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 244

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2460/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การนับโทษต่อในคดีอาญาต่อเนื่อง เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพและศาลทราบถึงคดีก่อนหน้า
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยและขอให้นับโทษต่อพร้อมกับระบุหมายเลขคดีดำของศาลชั้นต้นที่จำเลยต้องขังอยู่มาในฟ้อง เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง ย่อมฟังได้ว่าจำเลยเป็นคนเดียวกับจำเลยที่ขอให้นับโทษต่อจริง โดยที่คดีนี้กับคดีที่ขอให้นับโทษต่อศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาติดต่อกันไป ดังนั้นโจทก์ย่อมไม่อาจแถลงต่อศาลได้ว่าคดีที่ขอให้นับโทษต่อนั้นมีหมายเลขคดีแดงที่เท่าใด เมื่อความปรากฏต่อศาลและคู่ความชัดแจ้งว่าคดีที่ขอให้นับโทษต่อศาลได้พิพากษาลงโทษจำเลยแล้ว แม้โดยที่ไม่แถลงต่อศาลซ้ำอีก ศาลก็ให้นับโทษต่อได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2460/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การนับโทษต่อในคดีอาญาต่อเนื่อง: ศาลพิจารณาจากความเชื่อมโยงของคดีและข้อมูลที่ปรากฏต่อศาล
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยและขอให้นับโทษต่อพร้อมกับระบุหมายเลขคดีดำของศาลชั้นต้นที่จำเลยต้องขังอยู่มาในฟ้อง เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง ย่อมฟังได้ว่าจำเลยเป็นคนเดียวกับจำเลยที่ขอให้นับโทษต่อจริง โดยที่คดีนี้กับคดีที่ขอให้นับโทษต่อศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาติดต่อกันไป ดังนั้นโจทก์ย่อมไม่อาจแถลงต่อศาลได้ว่าคดีที่ขอให้นับโทษต่อนั้นมีหมายเลขคดีแดงที่เท่าใด เมื่อความปรากฏต่อศาลและคู่ความชัดแจ้งว่าคดีที่ขอให้นับโทษต่อศาลได้พิพากษาลงโทษจำเลยแล้ว แม้โดยที่ไม่แถลงต่อศาลซ้ำอีก ศาลก็ให้นับโทษต่อได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2456/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การริบอาวุธปืนของผู้ตายในคดีอาญา: สิทธิในการริบระงับเมื่อผู้กระทำความผิดเสียชีวิต
ผู้กระทำความผิดใช้อาวุธปืนยิงเจ้าพนักงานตำรวจแต่ถูกเจ้าพนักงานตำรวจยิงตาย สิทธินำคดีอาญามาฟ้องผู้กระทำความผิดย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 และโทษก็เป็นอันระงับไปด้วยความตายของผู้กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 38 ดังนั้น อาวุธปืนซึ่งเป็นปืนที่มีทะเบียนของผู้อื่นที่ผู้ตายใช้ยิงเจ้าพนักงานตำรวจจึงไม่อาจริบได้ตามบทกฎหมาย.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2456/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การริบอาวุธปืนของจำเลยร่วมที่เสียชีวิต: สิทธิในการริบระงับเมื่อสิทธิในการฟ้องอาญาและโทษระงับ
เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าทำการจับกุมจำเลยกับ อ. ในข้อหามีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายเฮโรอีน อ. ใช้อาวุธปืนยิงต่อสู้จึงถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจยิงตาย เจ้าหน้าที่ตำรวจยึดอาวุธปืนดังกล่าว ซึ่งเป็นปืนมีทะเบียนพร้อมกระสุน 4 นัดและปลอกกระสุนปืน 1 ปลอกเป็นของกลาง เมื่อ อ. ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจยิงตาย สิทธินำคดีอาญามาฟ้อง อ. ย่อมระงับไปตาม ป.วิ.อ. มาตรา 39และโทษย่อมระงับไปด้วยความตายของผู้กระทำผิดตาม ป.อ. มาตรา 38จึงไม่อาจริบอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนดังกล่าวได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2456/2530 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การริบอาวุธปืนของผู้ตายในคดีอาญา: สิทธิในการริบระงับเมื่อผู้กระทำความผิดเสียชีวิต
ผู้กระทำความผิดใช้อาวุธปืนยิงเจ้าพนักงานตำรวจแต่ถูกเจ้าพนักงานตำรวจยิงตาย สิทธินำคดีอาญามาฟ้องผู้กระทำความผิดย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 และโทษก็เป็นอันระงับไปด้วยความตายของผู้กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 38 ดังนั้น อาวุธปืนซึ่งเป็นปืนที่มีทะเบียนของผู้อื่นที่ผู้ตายใช้ยิงเจ้าพนักงานตำรวจจึงไม่อาจริบได้ตามบทกฎหมาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2427-2429/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การทิ้งฟ้องอุทธรณ์เนื่องจากไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาล กรณีจำเลยไม่นำส่งสำเนาอุทธรณ์ตามกำหนด
แบบพิมพ์ท้ายอุทธรณ์ของจำเลยมีข้อความว่า 'ฯลฯ และรอฟังคำสั่งอยู่ ถ้าไม่รอให้ถือว่าทราบแล้ว' เมื่อปรากฏว่าศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับอุทธรณ์ในวันที่จำเลยยื่นอุทธรณ์นั้นเอง จึงต้องถือว่าจำเลยได้ทราบคำสั่งในวันนั้นแล้ว
การที่จำเลยมิได้นำส่งสำเนาอุทธรณ์ภายในกำหนด 7 วันตามคำสั่งของศาลชั้นต้นย่อมถือว่าจำเลยทิ้งฟ้องตาม ป.วิ.พ.มาตรา 174(2).

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2404/2530 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดของข้าราชการต่อความเสียหายของรถยนต์ราชการจากอุบัติเหตุ การสอบสวนหาตัวผู้กระทำผิด
จำเลยเป็นข้าราชการกรมโจทก์และใช้รถยนต์ของโจทก์เป็นยานพาหนะเดินทางไปตรวจราชการต่างจังหวัด ระหว่างทางรถยนต์ถูกรถบรรทุกเฉี่ยวชน เกิดเหตุแล้วคนขับรถคันของจำเลยได้จอดรถตรวจตราความเสียหายและเก็บเศษกระจกรถทิ้ง ส่วนรถบรรทุกได้ขับหลบหนีไปด้วยความเร็วสูง และไปไกลจนถึงหากจำเลยจะสั่งให้ขับรถติดตามไปก็ไม่แน่ว่าจะพบรถบรรทุกคันดังกล่าวหรือไม่ ดังนี้แม้คำสั่งของโจทก์จะระบุให้ผู้ใช้รถสอบสวนให้ได้ตัวผู้รับผิดมาชดใช้ค่าเสียหายก็ตามการที่จำเลยไม่ติดตามรถบรรทุกไปในพฤติการณ์เช่นนี้ ก็ไม่อาจฟังได้ว่าจำเลยเพิกเฉยไม่ปฏิบัติหน้าที่เพื่อหาตัวผู้กระทำความผิดมาชดใช้ค่าเสียหายถึงขนาดที่จะถือว่าจำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2404/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้าราชการละเมิดหน้าที่หรือไม่ กรณีรถราชการถูกชนแล้วไม่ได้ติดตามรถคู่กรณีเพื่อหาตัวผู้รับผิด
จำเลยเป็นข้าราชการกรมโจทก์และใช้รถยนต์ของโจทก์เป็นยานพาหนะเดินทางไปตรวจราชการต่างจังหวัด ระหว่างทางรถยนต์ถูกรถบรรทุกเฉี่ยวชน เกิดเหตุแล้วคนขับรถคันของจำเลยได้จอดรถตรวจตราความเสียหายและเก็บเศษกระจกรถทิ้ง ส่วนรถบรรทุกได้ขับหลบหนีไปด้วยความเร็วสูง และไปไกลจนถึงหากจำเลยจะสั่งให้ขับรถติดตามไปก็ไม่แน่ว่าจะพบรถบรรทุกคันดังกล่าวหรือไม่ ดังนี้แม้คำสั่งของโจทก์จะระบุให้ผู้ใช้รถสอบสวนให้ได้ตัวผู้รับผิดมาชดใช้ค่าเสียหายก็ตามการที่จำเลยไม่ติดตามรถบรรทุกไปในพฤติการณ์เช่นนี้ ก็ไม่อาจฟังได้ว่าจำเลยเพิกเฉยไม่ปฏิบัติหน้าที่เพื่อหาตัวผู้กระทำความผิดมาชดใช้ค่าเสียหายถึงขนาดที่จะถือว่าจำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2404/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้าราชการใช้รถราชการเกิดอุบัติเหตุ ไม่ติดตามรถคู่กรณีเพื่อหาตัวผู้รับผิด ไม่ถือเป็นการละเมิด
จำเลยเป็นข้าราชการในกรมโจทก์ ขณะเกิดเหตุจำเลยใช้รถยนต์ของโจทก์เป็นยานพาหนะเดินทางไปตรวจราชการ โดยมี พ. เป็นพนักงานขับรถ ระหว่างทางถูกรถบรรทุกสิบล้อเฉี่ยว ชน จำเลยและ พ.ต่างไม่ทราบหมายเลขทะเบียนรถบรรทุกสิบล้อคันนั้น และไม่ทราบว่าคนขับรถบรรทุกเป็นใคร เกิดเหตุแล้ว พ. จอดรถตรวจดู ความเสียหายและเก็บเศษกระจกรถทิ้งอยู่พักหนึ่ง คนขับรถบรรทุกได้ขับหลบหนีไปไกลแล้วถึงหากจำเลยจะติดตามไปเพื่อหาตัวผู้รับผิดมาชดใช้ค่าเสียหายก็ไม่เป็นการแน่นอนว่าจำเลยจะกระทำได้สำเร็จ แม้คำสั่งกรมที่ดิน 536/2516 ข้อ 13 จะระบุให้ผู้ใช้รถสอบสวนให้ได้ตัวผู้รับผิดมาชดใช้ค่าเสียหายก็ตาม การที่จำเลยไม่ติดตามรถบรรทุกไปในพฤติการณ์เช่นนี้ ไม่อาจฟังได้ว่าจำเลยไม่สอบสวนหาตัวผู้กระทำผิดถึงขนาดที่จะถือว่าจำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์.
of 37