พบผลลัพธ์ทั้งหมด 370 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1636/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโอนมรดกตามพินัยกรรมและผลของการโอนทรัพย์สินก่อนมีคำพิพากษา
พินัยกรรมมีข้อความสำคัญว่า 'ฯลฯ ข้อ 1 เมื่อข้าพเจ้าถึงแก่ความตาย บรรดาทรัพย์สินของข้าพเจ้าที่มีอยู่และที่จะพึงมีต่อไปภายหน้าข้าพเจ้าขอยกให้เป็นกรรมสิทธิ์แก่ผู้ที่ได้ระบุชื่อไว้ในพินัยกรรมฉบับนี้ ให้เป็นผู้รับทรัพย์สินตามจำนวนซึ่งกำหนดไว้ดังต่อไปนี้ ข้อ 2. ที่ดินตามโฉนดเลขที่10197......ตั้งอยู่ตำบลวัดท่าพระ เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานครพร้อมกับสิ่งปลูกสร้างข้าพเจ้าขอยกให้เป็นกรรมสิทธิ์แก่ ส.(โจทก์) แต่ผู้เดียว ข้อ 3. ข้าพเจ้าขอแต่งตั้งให้ ส.(โจทก์)เป็นผู้จัดการมรดกของข้าพเจ้าตามพินัยกรรมฉบับนี้และให้เป็นผู้จัดการศพของข้าพเจ้าด้วย' ข้อความในพินัยกรรมข้อ 1. หมายความว่า เมื่อผู้ทำพินัยกรรมตายแล้วให้บรรดาทรัพย์สินทั้งหมดที่มีอยู่นั้นตกเป็นของโจทก์ซึ่งมีชื่อเป็นผู้รับพินัยกรรมแต่ผู้เดียว รวมทั้งทรัพย์สินตามที่ได้กล่าวไว้ในพินัยกรรมข้อ 2ด้วย ดังนั้นที่ดินมรดกจึงตกเป็นของโจทก์ตามพินัยกรรม
ในชั้นอุทธรณ์จำเลยมิได้ยกอายุความขึ้นอ้างเป็นประเด็นให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยไว้ ประเด็นอายุความจึงมิใช่เป็นข้อที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในชั้นอุทธรณ์และเป็นอันยุติแล้วตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยจะยกขึ้นอ้างหรือโต้แย้งในชั้นฎีกาไม่ได้
ส่วนที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าหากโอนที่ดินไม่ได้ ให้นำที่ดินออกขายทอดตลาดเอาเงินแบ่งกันตามส่วนนั้น ปรากฏว่าในระหว่างการพิจารณาในชั้นฎีกาจำเลยได้โอนขายที่ดินแปลงนี้ให้แก่ผู้อื่นไปแล้ว ฉะนั้น หากจำเลยโอนที่ดินให้โจทก์ไม่ได้ ก็ไม่อาจนำที่ดินนี้ออกขายทอดตลาดเอาเงินแบ่งกันตามส่วน ตามที่ศาลอุทธรณ์กำหนดไว้นั้นได้ จึงพิพากษาแก้ให้จำเลยโอนที่ดินดังกล่าวให้โจทก์ตามส่วนที่โจทก์มีสิทธิได้รับมรดกหากไม่สามารถโอนได้ให้จำเลยใช้เงินแก่โจทก์เป็นจำนวน500,000 บาท ตามส่วนของราคาที่ดินพร้อมด้วยดอกเบี้ย.
ในชั้นอุทธรณ์จำเลยมิได้ยกอายุความขึ้นอ้างเป็นประเด็นให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยไว้ ประเด็นอายุความจึงมิใช่เป็นข้อที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในชั้นอุทธรณ์และเป็นอันยุติแล้วตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยจะยกขึ้นอ้างหรือโต้แย้งในชั้นฎีกาไม่ได้
ส่วนที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าหากโอนที่ดินไม่ได้ ให้นำที่ดินออกขายทอดตลาดเอาเงินแบ่งกันตามส่วนนั้น ปรากฏว่าในระหว่างการพิจารณาในชั้นฎีกาจำเลยได้โอนขายที่ดินแปลงนี้ให้แก่ผู้อื่นไปแล้ว ฉะนั้น หากจำเลยโอนที่ดินให้โจทก์ไม่ได้ ก็ไม่อาจนำที่ดินนี้ออกขายทอดตลาดเอาเงินแบ่งกันตามส่วน ตามที่ศาลอุทธรณ์กำหนดไว้นั้นได้ จึงพิพากษาแก้ให้จำเลยโอนที่ดินดังกล่าวให้โจทก์ตามส่วนที่โจทก์มีสิทธิได้รับมรดกหากไม่สามารถโอนได้ให้จำเลยใช้เงินแก่โจทก์เป็นจำนวน500,000 บาท ตามส่วนของราคาที่ดินพร้อมด้วยดอกเบี้ย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1519/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทิ้งฟ้องอุทธรณ์เนื่องจากไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาลในการส่งสำเนาอุทธรณ์ ทำให้ศาลจำหน่ายคดีได้
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับอุทธรณ์ของผู้ร้องขัดทรัพย์ให้ผู้ร้องขัดทรัพย์นำส่งสำเนาอุทธรณ์ให้แก่โจทก์ภายใน 15 วัน โดยสั่งในวันที่ผู้ร้องขัดทรัพย์ยื่นอุทธรณ์ ถือได้ว่าผู้ร้องขัดทรัพย์ทราบคำสั่งโดยชอบแล้ว แต่ผู้ร้องขัดทรัพย์เพิกเฉยไม่นำส่งสำเนาอุทธรณ์แก่โจทก์ภายใน 15 วัน ตามคำสั่งศาลชั้นต้น ถือได้ว่าผู้ร้องขัดทรัพย์ทิ้งฟ้องอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 174(2) แล้ว ศาลย่อมสั่งจำหน่ายคดีเสียจากสารบบความได้.(ที่มา-ส่งเสริม)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1514/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเรียกค่าปรับจากสัญญาซื้อขาย: จำเลยต้องบอกกล่าวสงวนสิทธิขณะรับสินค้า หากไม่บอกกล่าวสิทธิขาดเสีย
จำเลยว่าจ้างโจทก์พิมพ์ ส.ค.ส. ตกลงกันว่าถ้าโจทก์ส่งมอบส.ค.ส. ล่าช้ากว่ากำหนด ยอมให้จำเลยปรับร้อยละ 20 ของราคาสินค้าแต่ปรากฏว่าขณะที่จำเลยรับ ส.ค.ส.จำเลยไม่ได้บอกกล่าวสงวนสิทธิที่จะเรียกค่าปรับจากโจทก์ไว้ จำเลยจึงหมดสิทธิที่จะเรียกเบี้ยปรับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 381วรรคท้าย.(ที่มา-เนติ)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1498/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทิ้งอุทธรณ์เนื่องจากความบกพร่องของผู้รับมอบอำนาจ ถือเป็นความรับผิดของผู้มอบหมาย
ศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์ของโจทก์ในวันเดียวกับที่โจทก์ยื่นอุทธรณ์และให้โจทก์ส่งสำเนาอุทธรณ์แก่จำเลยใน 7 วันโจทก์เพียงมายื่นคำร้องว่าเสมียนทนายไม่ดำเนินการเสียค่าพาหนะและนำส่งสำเนาอุทธรณ์ภายหลังยื่นอุทธรณ์ถึง 2 เดือนเศษทั้งรับว่าได้มอบหมายให้เสมียนทนายดำเนินการส่งสำเนาอุทธรณ์ แสดงว่า โจทก์ทราบคำสั่งศาลดีแล้วว่าต้องส่งสำเนาอุทธรณ์ให้แก่จำเลยภายใน 7 วันนับแต่วันยื่นอุทธรณ์การที่เสมียนทนายซึ่งเป็นตัวแทนของโจทก์ไม่ดำเนินการให้เป็นความบกพร่องของโจทก์เองไม่ใช่ข้อแก้ตัวที่จะฟังว่าโจทก์มิได้มีเจตนาทิ้งอุทธรณ์.(ที่มา-เนติ)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1457/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้าม: โทษลดเล็กน้อย ไม่รับฎีกาปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลอุทธรณ์เพียงแก้กำหนดโทษโดยลดโทษให้หนึ่งในสี่ และยังคงลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกินห้าปี ถือว่าเป็นการแก้ไขเล็กน้อย
จำเลยฎีกาว่า ในการนำสืบของโจทก์ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 เพราะไม่มีพยานหลักฐานอันใดที่ยืนยันว่าจำเลยมีหน้าที่รักษาทรัพย์หรือครอบครองทรัพย์นั้น ถือว่าโจทก์นำสืบไม่สมฟ้อง เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง.(ที่มา-ส่งเสริม)
จำเลยฎีกาว่า ในการนำสืบของโจทก์ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 เพราะไม่มีพยานหลักฐานอันใดที่ยืนยันว่าจำเลยมีหน้าที่รักษาทรัพย์หรือครอบครองทรัพย์นั้น ถือว่าโจทก์นำสืบไม่สมฟ้อง เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง.(ที่มา-ส่งเสริม)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1452/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลื่อนคดีและการขาดนัดพิจารณา: จำเป็นต้องมีคำร้องขอเลื่อนคดีก่อน หากไม่แจ้งเหตุขัดข้อง ศาลชอบที่จะพิจารณาต่อไปได้
คำร้องขอเลื่อนคดีของจำเลยอ้างว่าจำเลยติดธุระสำคัญ ไม่อาจมาศาลได้เพราะต้องเดินทางไปต่างจังหวัดหลายวัน แต่ไม่ปรากฏว่าทนายจำเลยติดธุระอะไร สำคัญเพียงใดจนไม่อาจมาศาลได้และจำเป็นอย่างไรต้องเดินทางไปต่างจังหวัดหลายวัน รวมทั้งไปจังหวัดไหน ห่างไกลศาลเท่าไร เป็นการกล่าวอ้างลอยๆ ไม่มีเหตุผลสมควรจะสั่งให้เลื่อนคดี ถึงวันนัดพิจารณาจำเลยก็ไม่มาศาลดังนี้เห็นได้ว่าจำเลยประวิงคดี ศาลชั้นต้นชอบที่จะสั่งไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีและให้สืบพยานโจทก์ไปในนัดนั้นได้
การดำเนินกระบวนพิจารณาที่ศาลจะมีคำสั่งว่าคู่ความฝ่ายใดขาดนัดพิจารณา ย่อมจะมีได้เพียงกรณีเดียวดังที่บัญญัติไว้ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 197 วรรคสอง เมื่อปรากฏว่าในวันสืบพยานฝ่ายจำเลยไม่มาศาล แต่ทนายจำเลยได้ยื่นคำร้องขอเลื่อนคดีไว้ก่อนวันสืบพยานแล้ว จึงถือได้ว่าคู่ความซึ่งเป็นฝ่ายจำเลยได้ร้องขอเลื่อนคดี หรือได้แจ้งเหตุขัดข้องที่มาศาลไม่ได้ให้ศาลทราบก่อนลงมือสืบพยานแล้ว ไม่ใช่กรณีที่จำเลยไม่มาศาลและไม่แจ้งเหตุขัดข้องอันจะถือว่าเป็นการขาดนัดพิจารณา การที่ศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้จำเลยเลื่อนคดี และมีคำสั่งว่าจำเลยขาดนัดพิจารณาโดยสืบพยานโจทก์ไปฝ่ายเดียว และพิพากษาให้จำเลยรับผิด เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบศาลฎีกามีอำนาจยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณา โดยสืบพยานจำเลยแล้วพิพากษาใหม่ได้.(ที่มา-ส่งเสริม)
การดำเนินกระบวนพิจารณาที่ศาลจะมีคำสั่งว่าคู่ความฝ่ายใดขาดนัดพิจารณา ย่อมจะมีได้เพียงกรณีเดียวดังที่บัญญัติไว้ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 197 วรรคสอง เมื่อปรากฏว่าในวันสืบพยานฝ่ายจำเลยไม่มาศาล แต่ทนายจำเลยได้ยื่นคำร้องขอเลื่อนคดีไว้ก่อนวันสืบพยานแล้ว จึงถือได้ว่าคู่ความซึ่งเป็นฝ่ายจำเลยได้ร้องขอเลื่อนคดี หรือได้แจ้งเหตุขัดข้องที่มาศาลไม่ได้ให้ศาลทราบก่อนลงมือสืบพยานแล้ว ไม่ใช่กรณีที่จำเลยไม่มาศาลและไม่แจ้งเหตุขัดข้องอันจะถือว่าเป็นการขาดนัดพิจารณา การที่ศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้จำเลยเลื่อนคดี และมีคำสั่งว่าจำเลยขาดนัดพิจารณาโดยสืบพยานโจทก์ไปฝ่ายเดียว และพิพากษาให้จำเลยรับผิด เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบศาลฎีกามีอำนาจยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณา โดยสืบพยานจำเลยแล้วพิพากษาใหม่ได้.(ที่มา-ส่งเสริม)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1406/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิสูจน์ลายมือชื่อในสัญญากู้ยืมเงิน โดยการตรวจพิสูจน์ของพยานผู้เชี่ยวชาญมีน้ำหนักกว่าพยานบุคคล
โจทก์มีสัญญากู้มาแสดงต่อศาล โดยสัญญากู้ดังกล่าวกองพิสูจน์หลักฐานกรมตำรวจโดยผู้เชี่ยวชาญของศาลทำการตรวจพิสูจน์ลายมือชื่อและรายงานว่าลายมือชื่อในสัญญากู้กับลายมือชื่อของจำเลยน่าจะเป็นลายมือชื่อของบุคคลคนเดียวกันการที่จำเลยอ้างว่าเป็นลายมือปลอม และมีแต่พยานบุคคลมาสืบว่าไม่ใช่ลายมือชื่อของจำเลยนั้น ไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะหักล้างการพิสูจน์ของผู้เชี่ยวชาญการตรวจพิสูจน์ลายมือตามหลักวิชาการได้.(ที่มา-ส่งเสริม)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1405/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การซื้อขายที่ดินโดยไม่สุจริต โจทก์ซื้อรู้ว่าจำเลยซื้อก่อน ย่อมฟ้องขับไล่ไม่ได้
โจทก์ซื้อและจดทะเบียนรับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและตึกแถวพิพาทจาก ช. โดยรู้อยู่แล้วว่าจำเลยได้ซื้อที่ดินและตึกแถวพิพาทไว้ก่อนเป็นการใช้สิทธิที่ไม่สุจริต โจทก์จึงฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินและตึกแถวพิพาทไม่ได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1405/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การซื้อขายที่ดินโดยรู้อยู่แล้วว่ามีผู้ซื้อก่อน ย่อมเป็นสิทธิไม่สุจริต ไม่สามารถฟ้องขับไล่ได้
เมื่อโจทก์ซื้อและจดทะเบียนรับโอนที่ดินและตึกแถวพิพาทมาจาก ช.โดยรู้อยู่แล้วว่าจำเลยได้ซื้อที่ดินและตึกแถวนั้นจาก ช. ไว้ก่อนแล้ว โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยไม่ได้เพราะเป็นการใช้สิทธิไม่สุจริต ส่วนข้ออ้างของโจทก์ที่ว่าจำเลยมิได้ฟ้องแย้งขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนระหว่างโจทก์กับ ช.นิติกรรมดังกล่าวย่อมสมบูรณ์อยู่ตลอดไปโจทก์จึงฟ้องขับไล่จำเลยได้นั้น ก็ฟังไม่ขึ้นเพราะ ช. มิได้เป็นโจทก์ในคดีนี้อันจำเลยจะฟ้องแย้งได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1397/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตคำฟ้องและบทกำหนดโทษในคดียาเสพติด: ศาลจำกัดการลงโทษตามที่ฟ้องและเลือกใช้บทหนัก
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยทั้งสามร่วมกันมีเฮโรอีนไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายเฮโรอีนดังกล่าว ซึ่งมีความหมายว่าจำเลยทั้งสามจำหน่ายเฮโรอีนที่มีไว้ในครอบครองไปทั้งหมดแม้ทางพิจารณาจะปรากฏว่าจำเลยที่ 3 ได้เก็บซ่อนเฮโรอีนไว้ 1ถุง เพื่อจำหน่ายแก่ผู้มีชื่อในภายหลัง ก็ต้องถือว่าโจทก์มิได้ประสงค์จะให้ลงโทษในกรรมนี้ ศาลจะเพิกถอนลงโทษจำเลยที่ 3 โดยอาศัยข้อเท็จจริงดังกล่าวว่าเป็นผิดอีกกรรมหนึ่งด้วยไม่ได้ เพราะเป็นการเกินจากคำฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192
พระราชบัญญัติ ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 67 เป็นบทกำหนดโทษผู้กระทำผิดที่มียาเสพติดให้โทษประเภท 1 มีปริมาณไม่ถึง 20กรัมไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต เมื่อจำเลยทั้งสามมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองจำนวน 4.436 กิโลกรัม ซึ่งตามมาตรา 15วรรคสองให้ถือว่าเป็นการมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย อันจะต้องถูกลงโทษตามมาตรา 66 อยู่แล้ว จึงไม่ต้องนำมาตรา 67 มาใช้ในการกำหนดโทษอีก.(ที่มา-ส่งเสริม)
พระราชบัญญัติ ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 67 เป็นบทกำหนดโทษผู้กระทำผิดที่มียาเสพติดให้โทษประเภท 1 มีปริมาณไม่ถึง 20กรัมไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต เมื่อจำเลยทั้งสามมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองจำนวน 4.436 กิโลกรัม ซึ่งตามมาตรา 15วรรคสองให้ถือว่าเป็นการมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย อันจะต้องถูกลงโทษตามมาตรา 66 อยู่แล้ว จึงไม่ต้องนำมาตรา 67 มาใช้ในการกำหนดโทษอีก.(ที่มา-ส่งเสริม)