คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
สาระ เสาวมล

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 370 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3993/2529

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การส่งสำเนาอุทธรณ์ที่ไม่ถูกต้องตามที่อยู่ ทำให้การพิจารณาคดีไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ศาลชั้นต้นส่งสำเนาอุทธรณ์ให้จำเลยไม่ได้เพราะหมายนัดระบุที่อยู่ของจำเลยโดยไม่ได้ระบุว่าอยู่ถนนใดเจ้าหน้าที่ผู้ส่งหมายนัดและสำเนาอุทธรณ์จึงรายงานการส่งหมายว่าหมายนัดระบุที่อยู่ของจำเลยไม่ชัดเจนและออกติดตามหาจำเลยแล้วไม่มีผู้ใดรู้จักในชั้นส่งหมายนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์หมายนัดก็ระบุแต่ชื่อและที่อยู่ของจำเลยโดยไม่ได้ระบุว่าอยู่ถนนใดเช่นกันแต่ก็ปรากฏว่าเจ้าพนักงานศาลส่งหมายนัดให้จำเลยได้โดยจำเลยรับไว้เองเช่นนี้ยังถือไม่ได้ว่าการส่งสำเนาอุทธรณ์ให้จำเลยไม่ได้นั้นเป็นเพราะหาตัวจำเลยไม่พบหรือจำเลยหลบหนีหรือจงใจไม่รับสำเนาอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา201การที่ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาคดีไปโดยมิได้ส่งสำเนาอุทธรณ์ให้จำเลยเพื่อแก้นั้นจึงเป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา200.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3993/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การส่งสำเนาอุทธรณ์ไม่ถูกต้อง การพิจารณาคดีโดยจำเลยไม่ทราบเป็นเหตุให้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นโมฆะ
ศาลชั้นต้นส่งสำเนาอุทธรณ์ให้จำเลยไม่ได้เพราะหมายนัดระบุที่อยู่ของจำเลยโดยไม่ได้ระบุว่าอยู่ถนนใด เจ้าหน้าที่ผู้ส่งหมายนัดและสำเนาอุทธรณ์จึงรายงานการส่งหมายว่าหมายนัดระบุที่อยู่ของจำเลยไม่ชัดเจนและออกติดตามหาจำเลยแล้วไม่มีผู้ใดรู้จักในชั้นส่งหมายนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์หมายนัดก็ระบุแต่ชื่อและที่อยู่ของจำเลยโดยไม่ได้ระบุว่าอยู่ถนนใดเช่นกัน แต่ก็ปรากฏว่าเจ้าพนักงานศาลส่งหมายนัดให้จำเลยได้โดยจำเลยรับไว้เอง เช่นนี้ยังถือไม่ได้ว่าการส่งสำเนาอุทธรณ์ให้จำเลยไม่ได้นั้นเป็นเพราะหาตัวจำเลยไม่พบหรือจำเลยหลบหนีหรือจงใจไม่รับสำเนาอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 201 การที่ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาคดีไปโดยมิได้ส่งสำเนาอุทธรณ์ให้จำเลยเพื่อแก้นั้นจึงเป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 200

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3975/2529

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องคดีโดยระบุตัวบุคคลธรรมดา ย่อมไม่ใช่การฟ้องตำแหน่ง
โจทก์ยื่นฟ้องผู้จัดการและสมุหบัญชีธนาคารสาขาเป็นจำเลยที่2และที่3โดยบรรยายฟ้องว่าจำเลยทั้งสองเป็นลูกจ้างของธนาคารจำเลยที่1ดังนี้เป็นการฟ้องตัวบุคคลธรรมดาที่มีตัวอยู่แน่นอนแล้วไม่ใช่เป็นการฟ้องตำแหน่งซึ่งไม่ใช่บุคคลตามกฎหมาย.(ที่มา-ส่งเสริม)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3975/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องจำเลยที่เป็นลูกจ้าง: ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าการฟ้องโดยระบุตำแหน่งและข้อมูลส่วนบุคคลเป็นการฟ้องตัวบุคคล
โจทก์ยื่นฟ้องผู้จัดการและสมุหบัญชีธนาคารสาขาเป็นจำเลยที่2และที่3โดยบรรยายฟ้องว่าจำเลยทั้งสองเป็นลูกจ้างของธนาคารจำเลยที่1ดังนี้เป็นการฟ้องตัวบุคคลธรรมดาที่มีตัวอยู่แน่นอนแล้วไม่ใช่เป็นการฟ้องตำแหน่งซึ่งไม่ใช่บุคคลตามกฎหมาย.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3931/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับมรดก การเพิกถอนการโอนที่ดิน และการยื่นบัญชีพยานเพิ่มเติมที่ชอบด้วยกฎหมาย
จำเลยยื่นบัญชีพยานจำเลยในวันสืบพยานโจทก์ซึ่งมีหน้าที่นำสืบก่อน บัญชีพยานดังกล่าวอ้างตัวจำเลยทั้งสามซึ่งแม้เป็นกรณีจำเลย ขาดนัดยื่นคำให้การ กฎหมายก็ยังให้จำเลยเบิกความเป็นพยานตนเองได้ และปรากฏตามคำร้องของจำเลยว่าเหตุที่ไม่ได้ยื่นบัญชีพยานตามกำหนด เพราะทนายจำเลยติดการประชุมสภาจังหวัด การที่ศาลชั้นต้นอนุญาต ให้จำเลยยื่นบัญชีพยาน โดยอาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 88วรรคสามจึงชอบแล้ว
จำเลยยื่นบัญชีพยานเพิ่มเติมภายหลังสืบพยานโจทก์เสร็จแล้วโดยอ้างว่ายังบกพร่องอยู่ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต โจทก์แถลงคัดค้าน แต่ศาลชั้นต้นเห็นว่าคำสั่งดังกล่าวไม่ชอบเพิกถอนคำสั่ง แล้วสั่งใหม่ว่า สำเนาให้โจทก์ โจทก์แถลงคัดค้าน เมื่อศาลชั้นต้นสั่งอนุญาตใหม่ โจทก์ไม่ได้คัดค้านคำสั่งนี้ไว้จึงไม่มีสิทธิอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226 ดังนั้นแม้ศาลอุทธรณ์จะรับวินิจฉัยให้ก็เป็นการไม่ชอบ ถือว่าไม่ได้ว่ากล่าวกันมาในชั้นอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นหลานเจ้ามรดก มีสิทธิรับมรดกแทนที่มารดาโจทก์ เจ้ามรดกมีที่ดิน 3 แปลงได้ยกให้โจทก์ก่อนเจ้ามรดกตาย โจทก์ครอบครอง ตลอดมาเกินกว่า 10 ปีแล้วจำเลยที่ 1 ที่ 2 โอนที่ดินทั้ง 3 แปลง แก่ จำเลยที่ 3 ขอให้พิพากษาว่าที่ดินทั้ง 3 แปลงเป็นของโจทก์ และเพิกถอนการโอนระหว่างจำเลย เมื่อทางพิจารณาฟังได้ว่าที่ดินทั้ง 3 แปลงเป็นมรดกและเจ้ามรดกมิได้ยกให้โจทก์แต่โจทก์เป็นทายาท มีสิทธิรับมรดกแทนที่มารดาโจทก์ศาลพิพากษาให้เพิกถอนการโอนที่ดิน ระหว่างจำเลยเฉพาะส่วนที่โจทก์มีสิทธิรับมรดก และให้โอนที่ดิน ที่เพิกถอนนั้นแก่โจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3931/2529 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การโอนมรดกที่ดินพิพาท: สิทธิทายาทลำดับที่ 4 แทนที่ทายาทที่ตายก่อน และการเพิกถอนการโอน
จำเลยยื่นบัญชีพยานจำเลยในวันสืบพยานโจทก์ซึ่งมีหน้าที่นำสืบก่อน บัญชีพยานดังกล่าวอ้างตัวจำเลยทั้งสามซึ่งแม้เป็นกรณีจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ กฎหมายก็ยังให้จำเลยเบิกความเป็นพยานตนเองได้ และปรากฏตามคำร้องของจำเลยว่าเหตุที่ไม่ได้ยื่นบัญชีพยานตามกำหนด เพราะทนายจำเลยติดการประชุมสภาจังหวัด การที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้จำเลยยื่นบัญชีพยาน โดยอาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 88 วรรคสามจึงชอบแล้ว
จำเลยยื่นบัญชีพยานเพิ่มเติมภายหลังสืบพยานโจทก์เสร็จแล้วโดยอ้างว่ายังบกพร่องอยู่ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต โจทก์แถลงคัดค้าน แต่ศาลชั้นต้นเห็นว่าคำสั่งดังกล่าวไม่ชอบ เพิกถอนคำสั่ง แล้วสั่งใหม่ว่าสำเนาให้โจทก์ โจทก์แถลงคัดค้าน เมื่อศาลชั้นต้นสั่งอนุญาตใหม่ โจทก์ไม่ได้คัดค้านคำสั่งนี้ไว้จึงไม่มีสิทธิอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226 ดังนั้นแม้ศาลอุทธรณ์จะรับวินิจฉัยให้ก็เป็นการไม่ชอบ ถือว่าไม่ได้ว่ากล่าวกันมาในชั้นอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นหลานเจ้ามรดก มีสิทธิรับมรดกแทนที่มารดาโจทก์ เจ้ามรดกมีที่ดิน 3 แปลงได้ยกให้โจทก์ก่อนเจ้ามรดกตาย โจทก์ครอบครอง ตลอดมาเกินกว่า 10 ปีแล้ว จำเลยที่ 1 ที่ 2 โอนที่ดินทั้ง 3 แปลง แก่ จำเลยที่ 3 ขอให้พิพากษาว่าที่ดินทั้ง 3 แปลงเป็นของโจทก์ และเพิกถอนการโอนระหว่างจำเลย เมื่อทางพิจารณาฟังได้ว่าที่ดินทั้ง 3 แปลงเป็นมรดกและเจ้ามรดกมิได้ยกให้โจทก์แต่โจทก์เป็นทายาท มีสิทธิรับมรดกแทนที่มารดาโจทก์ศาลพิพากษาให้เพิกถอนการโอนที่ดินระหว่างจำเลยเฉพาะส่วนที่โจทก์มีสิทธิรับมรดก และให้โอนที่ดินที่เพิกถอนนั้นแก่โจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3931/2529

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับมรดก การเพิกถอนการโอนที่ดิน และประเด็นการยื่นบัญชีพยานเพิ่มเติมที่ชอบด้วยกฎหมาย
จำเลยยื่นบัญชีพยานจำเลยในวันสืบพยานโจทก์ซึ่งมีหน้าที่นำสืบก่อนบัญชีพยานดังกล่าวอ้างตัวจำเลยทั้งสามซึ่งแม้เป็นกรณีจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การกฎหมายก็ยังให้จำเลยเบิกความเป็นพยานตนเองได้และปรากฏตามคำร้องของจำเลยว่าเหตุที่ไม่ได้ยื่นบัญชีพยานตามกำหนดเพราะทนายจำเลยติดการประชุมสภาจังหวัดการที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้จำเลยยื่นบัญชีพยานโดยอาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา88วรรคสามจึงชอบแล้ว จำเลยยื่นบัญชีพยานเพิ่มเติมภายหลังสืบพยานโจทก์เสร็จแล้วโดยอ้างว่ายังบกพร่องอยู่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตโจทก์แถลงคัดค้านแต่ศาลชั้นต้นเห็นว่าคำสั่งดังกล่าวไม่ชอบเพิกถอนคำสั่งแล้วสั่งใหม่ว่าสำเนาให้โจทก์โจทก์แถลงคัดค้านเมื่อศาลชั้นต้นสั่งอนุญาตใหม่โจทก์ไม่ได้คัดค้านคำสั่งนี้ไว้จึงไม่มีสิทธิอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา226ดังนั้นแม้ศาลอุทธรณ์จะรับวินิจฉัยให้ก็เป็นการไม่ชอบถือว่าไม่ได้ว่ากล่าวกันมาในชั้นอุทธรณ์ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นหลานเจ้ามรดกมีสิทธิรับมรดกแทนที่มารดาโจทก์เจ้ามรดกมีที่ดิน3แปลงได้ยกให้โจทก์ก่อนเจ้ามรดกตายโจทก์ครอบครองตลอดมาเกินกว่า10ปีแล้วจำเลยที่1ที่2โอนที่ดินทั้ง3แปลงแก่จำเลยที่3ขอให้พิพากษาว่าที่ดินทั้ง3แปลงเป็นของโจทก์และเพิกถอนการโอนระหว่างจำเลยเมื่อทางพิจารณาฟังได้ว่าที่ดินทั้ง3แปลงเป็นมรดกและเจ้ามรดกมิได้ยกให้โจทก์แต่โจทก์เป็นทายาทมีสิทธิรับมรดกแทนที่มารดาโจทก์ศาลพิพากษาให้เพิกถอนการโอนที่ดินระหว่างจำเลยเฉพาะส่วนที่โจทก์มีสิทธิรับมรดกและให้โอนที่ดินที่เพิกถอนนั้นแก่โจทก์.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3861/2529

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิในที่ดินมรดก: การพิสูจน์สิทธิครอบครองและอำนาจศาลในการวินิจฉัยพยานหลักฐาน
ผู้ร้องที่ 1 เป็นบุตรจำเลย ผู้ร้องที่ 2 เป็นภรรยาจำเลยนำสืบพิสูจน์ไม่ได้ว่ามีสิทธิครอบครองเป็นเจ้าของในที่พิพาทดีกว่าโจทก์ที่ 2 ที่ 3 คำพิพากษาฎีกาที่พิพากษาว่าที่พิพาทเป็นทรัพย์มรดกของเจ้ามรดกให้แบ่งออกเป็น 3 ส่วนเท่ากันโดยให้โจทก์ที่ 2 และที่ 3 กับจำเลยได้คนละ 1 ส่วนได้วินิจฉัยถึงกรรมสิทธิ์เป็นคุณแก่โจทก์ที่ 2 ที่ 3ย่อมใช้ยันแก่ผู้ร้องได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 145 วรรคสอง (2) ผู้ร้องไม่มีสิทธิขอกันส่วน เมื่อคดีเสร็จสิ้นการสืบพยานโจทก์ ทนายผู้ร้องแถลงขอให้ศาลไปเผชิญสืบที่พิพาทและที่ดินของโจทก์ที่ 2 ที่ 3ทนายโจทก์แถลงคัดค้านเมื่อพยานหลักฐานที่ผู้ร้องและโจทก์ที่ 2 ที่ 3 นำสืบมาเป็นการเพียงพอที่จะวินิจฉัยคดีได้โดยไม่จำเป็นต้องไปเผชิญสืบอีก ที่ศาลชั้นต้นสั่งให้งดเผชิญสืบ แล้วพิพากษาคดีไปนั้น จึงเป็นการถูกต้องชอบด้วยกระบวนพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 104 แล้ว เมื่อศาลฎีกาวินิจฉัยว่าผู้ร้องไม่มีสิทธิขอกันส่วนจึงไม่กระทบกระเทือนคำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งยกคำร้องของผู้ร้องที่ขอให้งดการบังคับคดีในระหว่างที่ผู้ร้องกำลังร้องขอกันส่วน คำสั่งของศาลชั้นต้นจึงชอบด้วยกฎหมาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3835/2529 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การปลอมแปลงเอกสารราชการและใช้เอกสารปลอมเพื่อการเข้าเมืองผิดกฎหมาย
จำเลยปลอมหนังสือเดินทางของประเทศสิงคโปร์ และปลอมเอกสารราชการของเจ้าพนักงานตรวจคนเข้าเมืองโดยประทับรอยตราและบันทึกข้อความอนุญาตให้จำเลยเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักร ลงในหนังสือเดินทาง ที่จำเลยทำปลอมขึ้น เพื่อให้มีรายการครบถ้วนจะได้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรและอยู่ในราชอาณาจักรได้ อันเป็นการกระทำครั้งเดียว การกระทำของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ต้องลงโทษฐานปลอมเอกสารราชการของเจ้าพนักงานตรวจคนเข้าเมืองซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 90 แต่จำเลยได้นำหนังสือเดินทางและเอกสารราชการของเจ้าพนักงานตรวจคนเข้าเมืองที่จำเลยปลอมขึ้นดังกล่าวไปใช้ด้วย จึงต้องลงโทษฐานใช้เอกสารราชการ ของเจ้าพนักงานตรวจคนเข้าเมืองปลอมแต่กระทงเดียว ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรค 2

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3835/2529

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การปลอมเอกสารทางการและใช้เอกสารปลอมเพื่อการเดินทางเข้า-ออกประเทศ
จำเลยปลอมหนังสือเดินทางของประเทศสิงคโปร์และปลอมเอกสารราชการของเจ้าพนักงานตรวจคนเข้าเมืองโดยประทับรอยตราและบันทึกข้อความอนุญาตให้จำเลยเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรลงในหนังสือเดินทางที่จำเลยทำปลอมขึ้นเพื่อให้มีรายการครบถ้วนจะได้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรและอยู่ในราชอาณาจักรได้อันเป็นการกระทำครั้งเดียวการกระทำของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบทต้องลงโทษฐานปลอมเอกสารราชการของเจ้าพนักงานตรวจคนเข้าเมืองซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา90แต่จำเลยได้นำหนังสือเดินทางและเอกสารราชการของเจ้าพนักงานตรวจคนเข้าเมืองที่จำเลยปลอมขึ้นดังกล่าวไปใช้ด้วยจึงต้องลงโทษฐานใช้เอกสารราชการของเจ้าพนักงานตรวจคนเข้าเมืองปลอมแต่กระทงเดียวตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา268วรรค2.
of 37