คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.พ. ม. 247

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,368 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 457/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การชำระหนี้ตามสิทธิเรียกร้องที่โอนให้แก่โจทก์ แม้มีการอายัดเงินแต่สิทธิเรียกร้องได้โอนไปแล้ว การชำระเงินจึงไม่เป็นการละเมิด
การที่จำเลยที่ 3 ฟ้องจำเลยที่ 2 และขอให้ศาลอายัดเงินที่จำเลยที่ 2 จะได้รับจากจำเลยที่ 1 ตามสัญญาจ้างทำของไว้ก่อนพิพากษา และศาลมีคำสั่งให้อายัดไว้ก่อนพิพากษาตามคำขอของจำเลยที่ 3 ต่อมาจำเลยที่ 1 ได้ส่งเงินค่าจ้างทำของไปยังศาลตามหมายอายัดชั่วคราว และในที่สุดจำเลยที่ 3 ได้รับเงินดังกล่าวไปจากศาลนั้น เมื่อปรากฏว่าเงินค่าจ้างทำของนี้เดิมเป็นสิทธิเรียกร้องของห้างหุ้นส่วนจำกัดบุญลาภและบุตร ซึ่งเป็นผู้ทำสัญญาจ้างทำของกับจำเลยที่ 1 และต่อมาห้างหุ้นส่วนจำกัดบุญลาภและบุตรโดยจำเลยที่ 2 ในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการได้โอนสิทธิเรียกร้องดังกล่าวให้แก่โจทก์ไปก่อนที่ศาลจะมีคำสั่งให้อายัดแล้ว ห้างหุ้นส่วนจำกัดบุญลาภและบุตรและจำเลยที่ 2 ย่อมไม่มีสิทธิเรียกร้องดังกล่าวต่อจำเลยที่ 1 อีกต่อไป คำสั่งให้อายัดจึงไม่มีผลบังคับจำเลยที่ 1 แม้จำเลยที่ 1 ไม่ได้ปฏิเสธหรือโต้แย้งหนี้ตามคำสั่งให้อายัดแต่กลับส่งเงินไปยังศาลก็เป็นกรณีที่จำเลยที่ 1 จะต้องรับผิดชอบต่อการกระทำดังกล่าวของตนเอง หาทำให้สิทธิเรียกร้องของโจทก์ที่จะได้รับชำระหนี้เงินค่าจ้างทำของจากจำเลยที่ 1 ตามที่โจทก์ได้รับโอนมาจากห้างหุ้นส่วนจำกัดบุญลาภและบุตร ต้องเสื่อมเสียไปแต่อย่างใดไม่ การกระทำของจำเลยดังกล่าวมาไม่ทำให้โจทก์เสียหายจึงไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระหนี้ในมูลละเมิดเป็นการขอให้ชำระหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้ ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ชำระหนี้แก่โจทก์ เมื่อการกระทำของจำเลยไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ ศาลฎีกาเห็นสมควรพิพากษาให้มีผลถึงจำเลยที่ 2 ซึ่งไม่ได้ฎีกาด้วยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 245(1) ประกอบด้วยมาตรา 247

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 415/2536 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องคดีเพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความ: ต้องเปิดโอกาสสืบพยานเพื่อพิสูจน์สถานะกรรมการ
ในข้อเท็จจริงที่ว่าโจทก์ยังมีฐานะเป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนของบริษัทจำเลยที่ 7 และที่ 8 อยู่หรือไม่ อันเป็นประเด็นข้อพิพาทเกี่ยวกับอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความที่จำเลยที่ 7 และที่ 8 ทำกับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 6 ยังเป็นข้อที่โจทก์และจำเลยทั้งแปดโต้เถียงกันอยู่ ควรให้โอกาสคู่ความนำสืบให้สิ้นกระแสความ การที่ศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งให้งดสืบพยานของคู่ความ แล้ววินิจฉัยว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง พิพากษายกฟ้อง และศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จึงไม่ชอบ ศาลฎีกาย่อมพิพากษายกคำพิพากษาศาลล่างทั้งสองให้ศาลชั้นต้นทำการสืบพยานโจทก์และจำเลยทั้งแปดต่อไปแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดีได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 415/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องเพิกถอนสัญญาสัญญาประนีประนอมยอมความ: ต้องเปิดโอกาสสืบพยานเพื่อพิสูจน์สถานะกรรมการ
ในข้อเท็จจริงที่ว่าโจทก์ยังมีฐานะเป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนของบริษัทจำเลยที่ 7 และที่ 8 อยู่หรือไม่ อันเป็นประเด็นข้อพิพาทเกี่ยวกับอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความที่จำเลยที่ 7 และที่ 8 ทำกับจำเลยที่ 1ถึงที่ 6 ยังเป็นข้อที่โจทก์และจำเลยทั้งแปดโต้เถียงกันอยู่ควรให้โอกาสคู่ความนำสืบให้สิ้นกระแสความ การที่ศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งให้งดสืบพยานของคู่ความ แล้ววินิจฉัยว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง พิพากษายกฟ้อง และศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จึงไม่ชอบศาลฎีกาย่อมพิพากษายกคำพิพากษาศาลล่างทั้งสองให้ศาลชั้นต้นทำการสืบพยานโจทก์และจำเลยทั้งแปดต่อไปแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดีได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 397/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ค่าขึ้นศาลฎีกาและการทิ้งฟ้อง: ผู้ร้องเพิกเฉยไม่ชำระค่าขึ้นศาลถือเป็นการทิ้งฟ้อง
ผู้ร้องทั้งสองยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นคนละฉบับกัน เป็นคดีสาขาคนละคดี แม้ศาลชั้นต้นจะรวมพิจารณาเข้าด้วยกัน และผู้ร้องทั้งสองยื่นฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์มาในฎีกาฉบับเดียวกัน ผู้ร้องทั้งสองก็ต้องเสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาอย่างคดีขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้เป็นรายคดีไป เมื่อศาลฎีกามีคำสั่งให้ศาลชั้นต้นเรียกค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาให้ครบถ้วน และศาลชั้นต้นได้มีหมายแจ้งให้ผู้ร้องทั้งสองทราบแล้ว แต่ผู้ร้องทั้งสองไม่ชำระ กรณีถือได้ว่าผู้ร้องทั้งสองเพิกเฉยไม่ดำเนินคดีภายในเวลาที่ศาลกำหนด เป็นการทิ้งฟ้องฎีกา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 397/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ค่าขึ้นศาลฎีกาและการทิ้งฟ้อง: คดีสาขาแยกต้องเสียค่าธรรมเนียมรายคดี หากไม่ชำระถือเป็นการทิ้งฟ้อง
ผู้ร้องทั้งสองยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นคนละฉบับกัน เป็นคดีสาขาคนละคดี แม้ศาลชั้นต้นจะรวมพิจารณาเข้าด้วยกัน และผู้ร้องทั้งสองยื่นฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์มาในฎีกาฉบับเดียวกัน ผู้ร้องทั้งสองก็ต้องเสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาอย่างคดีขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้เป็นรายคดีไป เมื่อศาลฎีกามีคำสั่งให้ศาลชั้นต้นเรียกค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาให้ครบถ้วน และศาลชั้นต้นได้มีหมายแจ้งให้ผู้ร้องทั้งสองทราบแล้ว แต่ผู้ร้องทั้งสองไม่ชำระกรณีถือได้ว่าผู้ร้องทั้งสองเพิกเฉยไม่ดำเนินคดีภายในเวลาที่ศาลกำหนด เป็นการทิ้งฟ้องฎีกา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 393/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การทิ้งฟ้องฎีกาเนื่องจากไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาลในการนำส่งสำเนาฎีกาภายในกำหนด
(คำสั่งศาลฎีกาที่ 393/2536) จำเลยยื่นฎีกาเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2535 โดยจำเลยลงชื่อไว้ใต้ข้อความซึ่งประกอบด้วยตรายางของศาลชั้นต้นว่า ให้มาทราบคำสั่งในวันที่ 2 พฤศจิกายน 2535 ถ้าไม่มาให้ถือว่าทราบคำสั่งแล้ว ต่อมา วันที่ 28 ตุลาคม 2535 ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาและสั่งให้จำเลย นำส่งสำเนาฎีกาภายใน 5 วัน ดังนี้ ถือว่าจำเลยทราบคำสั่งแล้ว การที่จำเลยเพิกเฉยไม่ดำเนินการนำส่งสำเนาฎีกาภายใน ระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด จึงเป็นการทิ้งฟ้องฎีกา ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 174(2) ประกอบด้วย มาตรา 246,247

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 353/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบังคับคดีขายทอดตลาด: การยกเลิกเนื่องจากราคาต่ำกว่าประเมิน และอำนาจในการคัดค้านหลังคำพิพากษาถึงที่สุด
ขณะที่คดีขอให้ศาลมีคำสั่งให้ขายทอดตลาดใหม่อยู่ระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาได้พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์ศาลอุทธรณ์จึงมีคำพิพากษาในเรื่องบังคับคดีโดยให้ยกเลิกการขายทอดตลาดโจทก์ฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในเรื่องการบังคับคดีหลังจากศาลฎีกามีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ยกฟ้องโจทก์ไปแล้ว โจทก์จึงมิใช่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาต่อไป ทั้งโจทก์มิใช่เป็นผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดี จึงไม่มีอำนาจฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในเรื่องการบังคับคดีต่อไป เหตุที่ศาลจะมีคำสั่งยกเลิกการขายทอดตลาดได้ต่อเมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ดำเนินการบังคับคดีฝ่าฝืนต่อกฎหมายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 วรรคสอง หากการบังคับคดีเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว แม้ต่อมาจะมีคำพิพากษาถึงที่สุดกลับให้จำเลยเป็นฝ่ายชนะคดีก็ตาม ก็ไม่ทำให้การขายทอดตลาดที่ได้ดำเนินการโดยชอบแล้วเสียไป กรณีเจ้าพนักงานบังคับคดีถอนการบังคับคดีในกรณีที่มีคำพิพากษาในระหว่างบังคับคดีได้ถูกกลับในชั้นที่สุดตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 295(3) นั้นหมายถึงให้เจ้าพนักงานบังคับคดีถอนการบังคับคดีที่จะดำเนินการต่อไปมิได้หมายความว่าการบังคับคดีที่ผ่านไปแล้ว กลายเป็นการบังคับคดีที่มิชอบ เจ้าพนักงานบังคับคดีขายทรัพย์ต่ำกว่าราคาประเมินของเจ้าพนักงานที่ดินกว่าสองเท่าตัว แม้จะมีการประกาศขายถึง 5 ครั้งแต่เป็นการเลื่อนการขายเพราะไม่มีผู้นำขายถึง 2 ครั้ง อีก 3 ครั้งเลื่อนเพราะมีผู้เสนอราคาต่ำ การขายในครั้งนี้แม้จะเป็นการขายครั้งที่ 4 ที่มีผู้เสนอราคา แต่ก็เห็นได้ว่าราคาที่ผู้ซื้อทรัพย์เสนอต่ำเกินไป หากเลื่อนการขายออกไปอีกอาจมีผู้เสนอราคาสูงกว่าก็ได้เจ้าพนักงานบังคับคดีก็น่าจะถอนทรัพย์สินจากการขายทอดตลาดครั้งนั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 513 แล้วประกาศขายทอดตลาดใหม่ การอนุญาตให้ขายของเจ้าพนักงานบังคับคดีเป็นการบังคับคดีฝ่าฝืนต่อ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 513ประกอบ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 308 เป็นการไม่ชอบตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 วรรคสอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 292/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเปลี่ยนแปลงกรรมการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย, ตราปลอม, และการแต่งตั้งทนายความที่ไม่ถูกต้อง ส่งผลให้คำฟ้องไม่เป็นผล
จำเลยทั้งสองสำนวนให้การต่อสู้ว่า นายย.ร่วมกับนายช.ทำรายงานการประชุมผู้ถือหุ้นเป็นเท็จว่าจำเลยลาออกจากกรรมการของโจทก์ทั้งสองแล้วตั้งนายย.เป็นกรรมการแทนและนำความเท็จดังกล่าวไปจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงกรรมการ นายย.เป็นกรรมการของโจทก์ทั้งสองโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย การแต่งตั้งทนายความให้ฟ้องคดีไม่ถูกต้องตามข้อบังคับ ตราประทับของโจทก์ทั้งสองในใบแต่งทนายความเป็นตราปลอม คดีจึงยังคงมีประเด็นข้อพิพาทตามข้อต่อสู้ของจำเลยอยู่ ซึ่งจำเป็นจะต้องฟังพยานหลักฐานของคู่ความให้เสร็จสิ้นเสียก่อนจึงจะวินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทนั้นได้ ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดสืบพยานจำเลยและโจทก์ทั้งสองนั้น จึงเป็นการปฏิบัติที่ไม่ชอบด้วยการพิจารณา ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการสืบพยานจำเลยและโจทก์ต่อไป แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดีชอบแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 134/2536 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การทิ้งฟ้องฎีกาเนื่องจากไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาลในการส่งสำเนาฎีกา
เสมียนทนายจำเลยลงชื่อรับทราบข้อความที่ประทับไว้ในฎีกาว่าให้มาทราบคำสั่งในวันที่ 11 ธันวาคม 2534 ถ้าไม่มาให้ถือว่าทราบแล้ว ต่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับฎีกาและให้จำเลยนำส่งสำเนาฎีกาแก่โจทก์ภายใน 7 วัน ดังนี้ ถือว่าจำเลยทราบคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้นำส่งสำเนาฎีกาภายใน 7 วัน ตั้งแต่วันที่ 11 ธันวาคม 2534 แล้ว เมื่อจำเลยมิได้นำส่งสำเนาฎีกาในกำหนด จึงเป็นการทิ้งฟ้องฎีกา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 122/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาเช่าซื้อ: เงินค่าเช่าซื้อ 80,000 บาท รวมดอกเบี้ย ผู้ให้เช่าซื้อต้องโอนกรรมสิทธิ์เมื่อครบตามสัญญา
ตามหนังสือสัญญาเช่าซื้อระบุว่า ราคาเงินผ่อนเพิ่มดอกเบี้ย14 เปอร์เซ็นต์ต่อปี แสดงว่าราคาเงินผ่อนคือราคาเงินสดบวกดอกเบี้ยดอกเบี้ยจะเป็นส่วนหนึ่งของเงินค่าเช่าซื้อที่จะต้องชำระ ฉะนั้นข้อสัญญาที่ว่าถ้าผู้เช่าซื้อชำระเงินค่าเช่าซื้อครบ 80,000 บาทผู้ให้เช่าซื้อยินยอมโอนที่ดินที่เช่าซื้อให้ จึงหมายถึงราคาเงินผ่อนที่รวมดอกเบี้ยเข้าด้วยแล้ว หาใช่เฉพาะเงินต้นต้องครบ80,000 บาทไม่ ฎีกาที่เป็นการโต้แย้งคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้น มิได้โต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่วินิจฉัยให้.
of 237