คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.พ. ม. 247

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,368 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1958/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาซื้อขายที่ดิน: การชำระเงินไม่ครบถ้วน การคำนวณผิดพลาด และสิทธิในการเรียกร้องค่าเสียหาย
โจทก์ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินจากจำเลย และผ่อนชำระราคาเรื่อยมาจำเลยได้ออกหลักฐานการชำระเงินงวดสุดท้ายให้โจทก์ระบุว่า"จ่ายให้หมดแล้ว" ซึ่งความจริงเงินที่ต้องผ่อนชำระยังขาดอยู่อีก2,600 บาท แต่จำเลยคำนวณผิดพลาด จำนวนเงินที่ขาดนี้ไม่ใช่โจทก์ไม่ยินยอมชำระ แต่เนื่องจากโจทก์เข้าใจว่าได้ชำระครบถ้วนแล้วตามหลักฐานที่จำเลยทำให้และที่จำเลยทวงถามก็ให้โจทก์ชำระเงินถึง8,200 บาท ซึ่งมิใช่จำนวนเงินที่ค้างจริง ทั้งเมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 3พิพากษาให้โจทก์ชำระเงินส่วนที่ค้างชำระจริง โจทก์ก็มิได้ฎีกาโต้แย้ง แสดงว่าโจทก์ยอมรับที่จะชำระเงินส่วนนี้ให้จำเลยให้ครบถ้วนตามสัญญา จึงถือไม่ได้ว่าโจทก์ปฏิบัติผิดสัญญาจำเลยไม่มีสิทธิบอกเลิกสัญญาและต้องปฏิบัติตามสัญญาต่อไปเมื่อโจทก์ได้ชำระเงินส่วนที่ยังขาดอยู่ให้ครบถ้วนแล้ว โจทก์ชำระเงินค่าที่ดินให้จำเลยไปเพียง 45,000 บาท ถ้าจะบังคับให้จำเลยคืนเงินก็คงบังคับได้เฉพาะส่วนที่จำเลยได้รับชำระไปแล้วเท่านั้น จะบังคับให้คืนทั้งหมด 48,000 บาท ตามสัญญาจะซื้อจะขาย โดยรวมส่วนที่ยังชำระไม่ครบด้วยนั้นไม่ชอบ เมื่อโจทก์ยังชำระค่าที่ดินขาดอยู่อีก 2,600 บาท ซึ่งแม้ในตอนแรกจะเกิดขึ้นจากการคำนวณผิดพลาดของจำเลยว่าชำระครบแล้วแต่ต่อมาเมื่อจำเลยทวงถาม โจทก์ก็ยังไม่ยอมชำระ จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยผิดสัญญาที่ยังไม่โอนที่ดินให้โจทก์ โจทก์จึงไม่อาจจะเรียกค่าเสียหายจากจำเลยได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1642/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องเพิกถอนการโอนมรดก: ผู้จัดการมรดกในฐานะส่วนตัว vs. กองมรดก และอายุความ
จำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดการมรดกของมารดาโจทก์ แม้จำเลยที่ 1เป็นยาย ของโจทก์ แต่การที่โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการที่จำเลยที่ 1โอนทรัพย์มรดกของมารดาโจทก์ให้ตนเองและให้จำเลยที่ 2 นั้น เป็นกรณีพิพาทระหว่างโจทก์กับกองมรดกของผู้ตาย ซึ่งมีจำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดการมรดก หาได้ฟ้องในฐานะส่วนตัวที่จำเลยที่ 1 เป็นยาย อันจะพึงถือว่าเป็นกรณีพิพาทระหว่างหลานกับยาย ไม่ แม้จำเลยที่ 1ได้ถึงแก่กรรมในระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ และศาลฎีกาอนุญาตให้จำเลยที่ 2 เข้าเป็นคู่ความแทน ก็ไม่เป็นเหตุให้ฟ้องของโจทก์กลายเป็นฟ้องจำเลยที่ 1 ในฐานะส่วนตัว จึงไม่ต้องห้ามตามป.พ.พ. มาตรา 1562. โจทก์เป็นทายาทของผู้ตาย ฟ้องจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายว่าจัดการมรดกโดยไม่ชอบขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนโอนทรัพย์พิพาทอันเป็นมรดกของผู้ตาย จำเลยที่ 1 ตกอยู่ ในฐานะผู้ครอบครองทรัพย์มรดกแทนทายาททั้งหมด จึงไม่อาจยกอายุความมรดก1 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1754 ขึ้นต่อสู้โจทก์ได้ จำเลยทั้งสองฎีกาว่า ทรัพย์พิพาทมิใช่มรดกของผู้ตาย เพราะจำเลยที่ 1 และสามีซื้อทรัพย์พิพาททั้งสองแปลง โดยใส่ชื่อผู้ตายและบุคคลอื่นไว้แทนแต่จำเลยทั้งสองมิได้ยกขึ้นต่อสู้ไว้ในคำให้การจึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ การกำหนดให้ค่าฤชาธรรมเนียมเป็นพับหรือไม่ อยู่ในดุลพินิจ ของศาลที่จะพิพากษาเช่นนั้นได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1606/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิในการร้องขอคุ้มครองประโยชน์ในคดีบังคับคดี: ผู้รับโอนสิทธิยังไม่จดทะเบียน ไม่ถือเป็นผู้มีส่วนได้เสีย
การที่ผู้ร้องยื่นคำร้องต่อศาลอุทธรณ์ขอให้สั่งงดการขายทอดตลาดที่ดินพิพาทไว้ก่อนเพื่อบรรเทาความเสียหาย เป็นเรื่องขอให้คุ้มครองประโยชน์ของผู้ร้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 264กรณีไม่ใช่เรื่องขอทุเลาการบังคับตามมาตรา 231 เมื่อศาลอุทธรณ์มีคำสั่งอนุญาตให้งดการขายทอดตลาดตามคำร้องของผู้ร้องอันเป็นคำสั่งเกี่ยวด้วยคำขอเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของคู่ความในระหว่างการพิจารณา โจทก์ย่อมมีสิทธิฎีกาได้ตามมาตรา 228(2),247 ผู้ร้องมิใช่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษา แม้จำเลยได้ทำสัญญาโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทให้แก่ผู้ร้อง แต่ยังมิได้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์กัน ยังถือไม่ได้ว่าผู้ร้องเป็นผู้มีส่วนได้เสียในคดีนี้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 280 ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิที่จะมาร้องขอให้งดการขายทอดตลาดที่ดินพิพาท.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1068/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความเสียหายจากสัญญาเช่า: ข้อพิพาทเรื่องผิดสัญญาเช่าหรือละเมิด และผลเรื่องอายุความ
คดีโจทก์ต้องห้ามอุทธรณ์ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายศาลฎีกาจำต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมาแล้ว จากพยานหลักฐานในสำนวน ข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นรับฟังมาได้ความว่า ความเสียหายของห้องสุขาทั้ง 8 รายการ เกิดขึ้นในระหว่างเวลาที่จำเลยได้เช่าห้องสุขาซึ่งอยู่ภายในบริเวณสถานีขนส่งผู้โดยสารของโจทก์ และความเสียหายดังกล่าวเกิดขึ้นเนื่องจากการที่จำเลยในฐานะผู้เช่าซึ่งมีหน้าที่จะต้องดูแลรักษาทรัพย์สินที่เช่าให้อยู่ในสภาพใช้การได้ดีไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามสัญญาเช่า ความเสียหายที่เกิดขึ้นจึงเป็นเรื่องที่จำเลยในฐานะผู้เช่าจะต้องรับผิดต่อโจทก์ในฐานะผู้ให้เช่า อันเนื่องมาจากจำเลยประพฤติผิดสัญญาเช่า หาใช่เป็นเรื่องละเมิดไม่ แม้การที่จำเลยกระทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายอาจจะเป็นผิดสัญญาและเป็นเรื่องละเมิดได้ในขณะเดียวกันก็ตามแต่เมื่อข้อเท็จจริงตามที่ศาลชั้นต้นรับฟังมาไม่ปรากฏว่าจำเลยกระทำโดยประมาทเลินเล่ออย่างไรแล้ว เพียงแต่การที่โจทก์ฟ้องคดีโดยบรรยายว่าเป็นเรื่องละเมิดและในฟ้องบางตอนจะใช้คำว่า จำเลยประมาทเลินเล่อทำให้โจทก์เสียหาย ก็ไม่อาจจะนำบทกฎหมายในเรื่องละเมิดมาปรับแก่คดีได้ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าความเสียหายที่โจทก์ได้รับเป็นเรื่องอันเกิดจากการที่จำเลยผิดสัญญาเช่าและโจทก์นำคดีมาฟ้องเกินกว่า 6 เดือน นับแต่วันส่งคืนทรัพย์สินที่เช่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 563 คดีโจทก์จึงขาดอายุความ.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 933/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความฟ้องคดีฉ้อโกงและการเป็นคำร้องทุกข์ของบริษัทที่ถูกต้องตามกฎหมาย
บริษัทโจทก์ร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนโดยระบุว่า นาย จ.มาแจ้งว่านาย จ. ซึ่งเป็นกรรมการผู้จัดการบริษัทโจทก์ได้ทำสัญญาเช่าตึกแถวจากจำเลยที่ 2 และต่อจากนั้นเป็นรายละเอียดข้อเท็จจริงที่อ้างว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันฉ้อโกงผู้แจ้ง จึงแจ้งความให้ดำเนินคดีแก่จำเลยทั้งสอง และในช่องผู้แจ้งได้ลงลายมือชื่อของนาย จ. และนางสาว ศ. กรรมการของโจทก์อีกคนหนึ่งด้วย ดังนั้นที่ระบุไว้ในคำร้องทุกข์ว่า นาย จ. ซึ่งเป็นกรรมการผู้จัดการบริษัทโจทก์ย่อมแสดงให้เห็นว่านาย จ. ร้องทุกข์ในฐานะเป็นผู้แทนของโจทก์ ทั้งมูลเหตุที่ผู้แจ้งอ้างว่าจำเลยทั้งสองฉ้อโกงนั้นเกิดจากการที่จำเลยทั้งสองร่วมกันหลอกลวงให้ผู้แจ้งซึ่งเป็นกรรมการผู้จัดการบริษัทโจทก์ทำสัญญาเช่าตึกแถวกับจำเลยที่ 2 เท่ากับอ้างว่าโจทก์ถูกฉ้อโกง และในช่องผู้แจ้งนอกจากจะลงลายมือชื่อนาย จ. แล้ว นางสาว ศ. กรรมการของโจทก์อีกคนหนึ่งก็ลงลายมือชื่อไว้ด้วย ซึ่งตามหนังสือรับรองของนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัท ก็ปรากฏว่ากรรมการของโจทก์ที่มีอำนาจลงชื่อผูกพันบริษัทโจทก์ได้นั้นก็คือนาย จ. กับนางสาว ศ. ลงลายมือชื่อร่วมกัน คำร้องทุกข์ดังกล่าวจึงถือได้ว่าเป็นคำร้องทุกข์ของบริษัทโจทก์โดยชอบแล้วหาใช่เป็นคำร้องทุกข์ของนาย จ. ในฐานะส่วนตัวไม่ ศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัยในประเด็นที่ว่า จำเลยทั้งสองได้กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ แม้คู่ความจะได้นำสืบข้อเท็จจริงกันมาเสร็จสิ้นเป็นการเพียงพอที่ศาลฎีกาจะวินิจฉัยประเด็นดังกล่าวไปเสียเองได้ก็ตาม แต่เห็นว่าประเด็นนี้สมควรย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์เป็นผู้วินิจฉัย เพราะผลแห่งการวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์อาจนำไปสู่การจำกัดสิทธิการฎีกาของคู่ความได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 933/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจการฟ้องร้องของบริษัท: คำร้องทุกข์ที่ลงชื่อกรรมการบริษัท ถือเป็นคำร้องทุกข์ของบริษัท
บริษัทโจทก์ร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนโดยระบุว่า นาย จ.มาแจ้งว่านาย จ.ซึ่งเป็นกรรมการผู้จัดการบริษัทโจทก์ได้ทำสัญญาเช่าตึกแถวจากจำเลยที่ 2 และต่อจากนั้นเป็นรายละเอียดข้อเท็จจริงที่อ้างว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันฉ้อโกงผู้แจ้ง จึงแจ้งความให้ดำเนินคดีแก่จำเลยทั้งสอง และในช่องผู้แจ้งได้ลงลายมือชื่อของนาย จ.และนางสาว ศ.กรรมการของโจทก์อีกคนหนึ่งด้วย ดังนั้น ที่ระบุไว้ในคำร้องทุกข์ว่า นาย จ.ซึ่งเป็นกรรมการผู้จัดการบริษัทโจทก์ย่อมแสดงให้เห็นว่านาย จ.ร้องทุกข์ในฐานะเป็นผู้แทนของโจทก์ ทั้งมูลเหตุที่ผู้แจ้งอ้างว่าจำเลยทั้งสองฉ้อโกงนั้นเกิดจากการที่จำเลยทั้งสองร่วมกันหลอกลวงให้ผู้แจ้งซึ่งเป็นกรรมการผู้จัดการบริษัทโจทก์ทำสัญญาเช่าตึกแถวกับจำเลยที่ 2 เท่ากับอ้างว่าโจทก์ถูกฉ้อโกง และในช่องผู้แจ้งนอกจากจะลงลายมือชื่อ นาย จ.แล้ว นางสาว ศ.กรรมการของโจทก์อีกคนหนึ่งก็ลงลายมือชื่อไว้ด้วย ซึ่งตามหนังสือรับรองของนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัท ก็ปรากฏว่ากรรมการของโจทก์ที่มีอำนาจลงชื่อผูกพันบริษัทโจทก์ได้นั้นก็คือนาย จ.กับนางสาว ศ.ลงลายมือชื่อร่วมกัน คำร้องทุกข์ดังกล่าวจึงถือได้ว่าเป็นคำร้องทุกข์ของบริษัทโจทก์โดยชอบแล้ว หาใช่เป็นคำร้องทุกข์ของนาย จ.ในฐานะส่วนตัวไม่
ศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัยในประเด็นที่ว่า จำเลยทั้งสองได้กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ แม้คู่ความจะได้นำสืบข้อเท็จจริงกันมาเสร็จสิ้นเป็นการเพียงพอที่ศาลฎีกาจะวินิจฉัยประเด็นดังกล่าวไปเสียเองได้ก็ตาม แต่เห็นว่าประเด็นนี้สมควรย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์เป็นผู้วินิจฉัย เพราะผลแห่งการวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์อาจนำไปสู่การจำกัดสิทธิการฎีกาของคู่ความได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 850/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิจารณาคดีล้มละลาย ศาลมีอำนาจรับฟังพยานหลักฐานแม้ไม่ได้ยื่นบัญชีแสดงเอกสาร เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม
ในการสืบพยานจำเลย พยานจำเลยเบิกความว่า ที่ดินตามสำเนาโฉนดที่ดินเอกสารหมาย ล.4 และ ล.5 ราคาประเมินตารางวาละ 2,500 บาทตามหนังสือรับรองราคาประเมินเอกสารหมาย ล.1 โจทก์จึงอ้างหนังสือรับรองราคาประเมินเอกสารหมาย จ.6 มาหักล้างคำ ของ พยานจำเลย และข้อความตามหนังสือรับรองราคาประเมิน เอกสารหมาย ล.1 เมื่อพยานจำเลยเบิกความรับรองหนังสือรับรองราคาประเมินเอกสารหมาย จ.6 โจทก์ย่อมมีสิทธิอ้างหนังสือรับรองราคาประเมินเอกสารหมาย จ.6 เป็นพยานหลักฐานประกอบคำ ของ พยานจำเลยโดยไม่ต้องยื่นบัญชีแสดงเอกสารต่อศาลได้ การพิจารณาคดีล้มละลาย ผิดแผกแตกต่างกับการพิจารณาคดีแพ่งสามัญเพราะพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 เป็นกฎหมายที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนมีผลในทางตัดสิทธิและเสรีภาพของผู้ที่ถูกพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลาย ศาลต้องพิจารณาเอาความจริงตามมาตรา 14 ว่ามีเหตุอันควรให้ลูกหนี้ล้มละลายหรือไม่ และจำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัวหรือไม่ เป็นประเด็นสำคัญในคดีที่มีความจำเป็นต้องสืบพยานอันเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าว ซึ่งหนังสือรับรองราคาประเมิน สำเนาหนังสือสัญญาจำนองและสำเนาบัญชีเงินฝากกระแสรายวัน เอกสารหมาย ล.1 ถึง ล.3 เป็นพยานสำคัญที่จะแสดงได้ว่าจำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัวหรือไม่ แม้จำเลยจะมิได้ยื่นบัญชีแสดงเอกสารดังกล่าว ถ้าศาลเห็นว่าเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ศาลก็มีอำนาจรับฟังพยานหลักฐานเช่นว่านั้นได้ และในปัญหานี้แม้คู่ความจะมิได้ฎีกาขึ้นมา ศาลฎีกาก็เห็นสมควรหยิบยกวินิจฉัยให้ได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 695/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การโอนหุ้นโดยมิได้รับความยินยอม และการครอบครองปรปักษ์ที่ไม่สมบูรณ์
ม. กรรมการผู้จัดการของนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดได้ทำรายงานการประชุมโดยไม่มีการประชุมว่า เจ้าของหุ้นโอนหุ้นให้แก่ ม. และได้โอนหุ้น เป็นชื่อ ม. แล้ว และได้ส่งรายงานการประชุมไปเก็บไว้ที่สำนักงานพาณิชย์จังหวัด โดยไม่มีผู้ถือหุ้นรายใดทราบถึงเรื่องราวในรายงานการประชุมดังกล่าว ดังนี้การที่ ม. ได้ครอบครองหุ้นดังกล่าวไว้จึงเป็นการกระทำโดยปิดบังซ่อนเร้น ไม่เปิดเผย ไม่ครบเกณฑ์ที่จะทำให้ ม. ได้กรรมสิทธิ์ในหุ้นโดยการครอบครองปรปักษ์ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1382 คำแก้ฎีกาของโจทก์ที่ขอให้ศาลฎีกาพิพากษานอกเหนือจากคำพิพากษาศาลอุทธรณ์นั้น ต้องกระทำโดยยื่นคำฟ้องฎีกา จะเพียงแต่ขอมาในคำแก้ฎีกาหาได้ไม่.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 497/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การทิ้งฎีกาเนื่องจากไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาลในการส่งสำเนาฎีกา ทำให้ศาลจำหน่ายคดีจากสารบบ
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลย ให้จำเลยนำส่งสำเนาฎีกาให้โจทก์ภายใน 7 วัน โดยมีคำสั่งในวันที่ยื่นฎีกา เมื่อตอนท้ายฎีกาเหนือลายมือชื่อทนายจำเลยผู้ยื่นฎีกามีข้อความที่แสดงว่าผู้ยื่นฎีการอฟังคำสั่งอยู่ ถ้า ไม่รอให้ถือว่าทราบแล้ว ทั้งในวันรุ่งขึ้นทนายจำเลยก็ได้มายื่นคำร้องขอส่งสำเนาฎีกาให้ทนายโจทก์แทนการส่งให้แก่ตัวโจทก์อีก ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต แต่จำเลยก็มิได้จัดการนำส่งสำเนาฎีกาให้แก่โจทก์ จนล่วงเลยเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้นั้น พฤติการณ์เช่นนี้ฟังได้ว่าจำเลยทราบคำสั่ง ศาลชั้นต้น แล้วจงใจเพิกเฉยไม่ดำเนินคดีภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด เป็นการทิ้งฎีกา ศาลฎีกาให้จำหน่ายคดีจำเลยจากสารบบความของศาลฎีกา.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 342/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจผู้จัดการมรดก, การจัดการทรัพย์มรดก, และสิทธิในการถอนผู้จัดการมรดก
ผู้ที่จะมาเป็นผู้จัดการมรดกได้นั้นไม่จำเป็นต้องเป็นผู้มีส่วนได้เสีย เพียงไม่เป็นบุคคลซึ่งต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1718 แล้วก็อาจถูกร้องขอต่อศาลให้ตั้งเป็นผู้จัดการมรดกได้ เมื่อผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกแล้ว ผู้ร้องก็มีอำนาจกระทำการอันจำเป็นเพื่อจัดการมรดกซึ่งได้แก่การรวบรวมทรัพย์มรดกแล้วดำเนินการแบ่งปันให้ทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกต่อไป ในกรณีที่มีผู้จัดการมรดกหลายคน การทำหน้าที่ผู้จัดการมรดกต้องร่วมกันจัดการและถือเอาเสียงข้างมาก จะจัดการโดยลำพังไม่ได้หากผู้คัดค้านทั้งสองซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกละเลยไม่ทำการตามหน้าที่หรือมีเหตุให้ถอนจากการเป็นผู้จัดการมรดก ผู้ร้องก็มีสิทธิร้องขอให้ศาลมีคำสั่งถอนผู้คัดค้านทั้งสองออกจากการเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายได้ และหากมีเหตุอันเกิดจากฝ่ายผู้ร้องในทำนองเดียวกันผู้คัดค้านทั้งสองก็มีสิทธิดังกล่าวเช่นเดียวกันกับผู้ร้อง การที่ศาลชั้นต้นงดสืบพยานผู้ร้องภายหลังที่ผู้ร้องสืบพยานได้เพียง 2 ปาก ข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานของผู้ร้องและผู้คัดค้านทั้งสองจึงยังฟังไม่ได้ว่ามีเหตุต้องถอนฝ่ายใดจากการเป็นผู้จัดการมรดกหรือไม่ ศาลชั้นต้นจึงไม่ควรด่วนสั่งงดสืบพยานดังกล่าวควรสืบพยานต่อไปให้เสร็จสิ้นกระแสความแล้วมีคำสั่งใหม่ตามรูปคดี.
of 237