พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,368 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4320/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแบ่งมรดกสินสมรสหลังการเสียชีวิต โดยพิจารณาจากสัดส่วนสินสมรสและส่วนแบ่งทายาท
จำเลยกับนายม้วนเป็นสามีภริยากันตั้งแต่ก่อนใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพ 5 จึงเป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย ที่ดินที่ได้มาระหว่างที่จำเลยกับนายม้วนเป็นสามีภริยากันจึงเป็นสินสมรสระหว่างจำเลยกับนายม้วน เมื่อนายม้วนตายต้องแบ่งสินสมรสตามกฎหมายลักษณะผัวเมียซึ่งจำเลยได้ 1 ส่วน นายม้วนได้ 2 ส่วน ส่วนของนายม้วนตกแก่ทายาททั้งหมดคือจำเลยในฐานะภริยาและทายาทอื่นรวมทั้งหมด 8 คน
พฤติการณ์ของจำเลยแสดงให้เห็นว่า การที่จำเลยลงชื่อรับมรดกที่ดินนั้นเป็นการครอบครองมรดกไว้แทนทายาทอื่น ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้เปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือโดยบอกกล่าวไปยังทายาทว่าไม่เจตนาจะยึดถือหรือครอบครองที่ดินแปลงนี้แทนทายาทอื่นอีกต่อไป โจทก์จึงฟ้องในนามของทายาทขอให้แบ่งมรดกได้ไม่ขาดอายุความ
คำขอท้ายฟ้องของโจทก์ขอให้แบ่งที่ดินโฉนดเลขที่ 671 ให้ทายาทคือนายเหมือนกับพวกตามส่วน แต่ระหว่างพิจารณาจำเลยและนายเหมือนกับพวกได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีอื่นว่า "ค่าที่ดินแปลงที่พิพาทนี้ในส่วนยอดเงินแคชเชียร์เช็คจำนวน 289,428 บาท ซึ่งมีชื่อนางเผือก ลำใย จำเลย และนายเหมือนผู้ร้องสอด เงินจำนวนนี้เป็นยอดเงินซึ่งจำเลยและผู้ร้องสอดมีข้อพิพาทกันในคดีแพ่งที่ 221/2527 (คือคดีนี้) ซึ่งหากคดีแพ่ง 221/2527 ถึงที่สุดว่าใครเป็นผู้มีสิทธิ ผู้นั้นจะเป็นผู้รับเงินทั้งหมดพร้อมดอกเบี้ยไป" เมื่อศาลพิพากษาตามยอมในคดีดังกล่าวแล้ว โจทก์ไม่จำต้องแก้ไขคำขอท้ายฟ้องในคดีนี้ เพราะไม่ทำให้ผลของการวินิจฉัยคดีเปลี่ยนแปลงไป เนื่องจากข้อตกลงตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นถือเสมือนว่าเป็นข้อตกลงในการบังคับคดีเกี่ยวกับคำขอบังคับของโจทก์และเป็นข้อตกลงที่ไม่เกินส่วนที่ขอไว้ตามคำขอเดิม ศาลจึงพิพากษาให้ได้ไม่เป็นการเกินคำขอหรือที่มิได้กล่าวในคำฟ้อง
พฤติการณ์ของจำเลยแสดงให้เห็นว่า การที่จำเลยลงชื่อรับมรดกที่ดินนั้นเป็นการครอบครองมรดกไว้แทนทายาทอื่น ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้เปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือโดยบอกกล่าวไปยังทายาทว่าไม่เจตนาจะยึดถือหรือครอบครองที่ดินแปลงนี้แทนทายาทอื่นอีกต่อไป โจทก์จึงฟ้องในนามของทายาทขอให้แบ่งมรดกได้ไม่ขาดอายุความ
คำขอท้ายฟ้องของโจทก์ขอให้แบ่งที่ดินโฉนดเลขที่ 671 ให้ทายาทคือนายเหมือนกับพวกตามส่วน แต่ระหว่างพิจารณาจำเลยและนายเหมือนกับพวกได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีอื่นว่า "ค่าที่ดินแปลงที่พิพาทนี้ในส่วนยอดเงินแคชเชียร์เช็คจำนวน 289,428 บาท ซึ่งมีชื่อนางเผือก ลำใย จำเลย และนายเหมือนผู้ร้องสอด เงินจำนวนนี้เป็นยอดเงินซึ่งจำเลยและผู้ร้องสอดมีข้อพิพาทกันในคดีแพ่งที่ 221/2527 (คือคดีนี้) ซึ่งหากคดีแพ่ง 221/2527 ถึงที่สุดว่าใครเป็นผู้มีสิทธิ ผู้นั้นจะเป็นผู้รับเงินทั้งหมดพร้อมดอกเบี้ยไป" เมื่อศาลพิพากษาตามยอมในคดีดังกล่าวแล้ว โจทก์ไม่จำต้องแก้ไขคำขอท้ายฟ้องในคดีนี้ เพราะไม่ทำให้ผลของการวินิจฉัยคดีเปลี่ยนแปลงไป เนื่องจากข้อตกลงตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นถือเสมือนว่าเป็นข้อตกลงในการบังคับคดีเกี่ยวกับคำขอบังคับของโจทก์และเป็นข้อตกลงที่ไม่เกินส่วนที่ขอไว้ตามคำขอเดิม ศาลจึงพิพากษาให้ได้ไม่เป็นการเกินคำขอหรือที่มิได้กล่าวในคำฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4144/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาที่ไม่สมบูรณ์ทำให้ผู้ค้ำประกันไม่ต้องรับผิด แม้ไม่ได้ฎีกาด้วย
เมื่อสัญญากู้ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ไม่สมบูรณ์แล้วจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันจำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิดตามสัญญาค้ำประกันด้วย แม้จำเลยที่ 2 จะไม่ได้ฎีกาด้วยก็ตามเพราะเป็นคำพิพากษาเกี่ยวด้วยการชำระหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4144/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาไม่สมบูรณ์ ผู้ค้ำประกันไม่ต้องรับผิด แม้ไม่ได้ฎีกา
เมื่อสัญญากู้ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ไม่สมบูรณ์แล้ว จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันจำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิดตามสัญญาค้ำประกันด้วย แม้จำเลยที่ 2 จะไม่ได้ฎีกาด้วยก็ตามเพราะเป็นคำพิพากษาเกี่ยวด้วยการชำระหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3944/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความคดีแพ่งจากการกระทำทางอาญา: ไม่จำเป็นต้องฟ้องค่าเสียหายพร้อมคดีอาญา
จำเลยฎีกาหลายข้อ แต่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้รับฎีกาเฉพาะปัญหาเรื่องอายุความเท่านั้น จำเลยมิได้อุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับฎีกา คดีจึงมีปัญหาในชั้นฎีกาแต่เพียงว่าคดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ การฟ้องคดีอาญาซึ่งผู้เสียหายมีสิทธิที่จะเรียกค่าทดแทนจากจำเลยด้วยนั้น ไม่มีบทกฎหมายใดบัญญัติว่าโจทก์จะต้องเรียกร้องเอาค่าทดแทนดังกล่าวมาพร้อมกัน ดังนั้น แม้โจทก์ไม่ได้เรียกค่าทดแทนในคดีอาญาอายุความฟ้องคดีแพ่งของโจทก์ต้องบังคับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 51 วรรคสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3824/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ตัวแทนชำระหนี้แทน ย่อมมีสิทธิเรียกร้องเงินคืนจากตัวการ แม้ไม่ได้ฟ้อง
จำเลยเป็นตัวแทนของโจทก์ ได้ออกเงินทดรองค่าเช่าซื้อที่ดินและบ้านพิพาทไป ซึ่งพิเคราะห์ตามเหตุควรนับว่าเป็นการจำเป็นเพราะมิฉะนั้นผู้ให้เช่าซื้อจะไม่โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและบ้านพิพาทให้ จำเลยจึงมีสิทธิเรียกเอาเงินจำนวนนี้และดอกเบี้ยได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 816 กรณีเช่นนี้แม้จำเลยมิได้ฟ้องเรียกร้องมา แต่โจทก์เป็นตัวการย่อมต้องรับผิดต่อจำเลยรวมทั้งดอกเบี้ยตามบทบัญญัติข้างต้น ทั้งกรณีก็เป็นเรื่องโจทก์ฟ้องเรียกทรัพย์พิพาทเป็นของโจทก์ทั้งหมด แต่พิจารณาได้ความว่าโจทก์ควรได้แต่ส่วนแบ่งเพราะจำเลยได้ชำระค่าเช่าซื้อบางส่วนแทน โจทก์จึงมีหน้าที่ชำระค่าเช่าซื้อนั้นให้แก่จำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3824/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ตัวแทนชำระหนี้แทน, สิทธิเรียกร้องเงินทดรอง, ตัวการต้องรับผิดชอบ
จำเลยเป็นตัวแทนของโจทก์ ได้ออกเงินทดรองค่าเช่าซื้อที่ดินและบ้านพิพาทไป ซึ่งพิเคราะห์ตามเหตุควรนับว่าเป็นการจำเป็น เพราะมิฉะนั้นผู้ให้เช่าซื้อจะไม่โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและบ้านพิพาทให้ จำเลยจึงมีสิทธิเรียกเอาเงินจำนวนนี้และดอกเบี้ยได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 816 กรณีเช่นนี้แม้จำเลยมิได้ฟ้องเรียกร้องมา แต่โจทก์เป็นตัวการย่อมต้องรับผิดต่อจำเลยรวมทั้งดอกเบี้ยตามบทบัญญัติข้างต้น ทั้งกรณีก็เป็นเรื่องโจทก์ฟ้องเรียกทรัพย์พิพาทเป็นของโจทก์ทั้งหมด แต่พิจารณาได้ความว่าโจทก์ควรได้แต่ส่วนแบ่งเพราะจำเลยได้ชำระค่าเช่าซื้อบางส่วนแทน โจทก์จึงมีหน้าที่ชำระค่าเช่าซื้อนั้นให้แก่จำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3756/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิเจ้าหนี้มีประกันในคดีล้มละลาย: ผลของการไม่บังคับจำนองตามคำพิพากษาเดิม
ในคดีที่ผู้ร้องฟ้องจำเลยกับพวกให้ร่วมกันรับผิดใช้เงินแก่ผู้ร้อง มิฉะนั้นให้นำทรัพย์จำนองของจำเลยออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ผู้ร้องนั้น ศาลเพียงแต่พิพากษาให้จำเลยร่วมกับพวกชำระหนี้แก่ผู้ร้องเท่านั้น มิได้กล่าวถึงการบังคับจำนองด้วย จึงต้องถือว่าคำฟ้องที่ผู้ร้องขอให้บังคับจำนอง ศาลนั้นพิพากษายกฟ้อง เมื่อผู้ร้องไม่อุทธรณ์ฎีกา คำพิพากษานั้นจึงผูกพันผู้ร้องมิให้บังคับจำนองตามสัญญาจำนองรายนี้ต่อไป ดังนั้นผู้ร้องจึงหามีสิทธิเหนือทรัพย์สินในฐานะเป็นเจ้าหนี้มีประกันในทางจำนองตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 95 อีกไม่ ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5) ประกอบด้วยมาตรา 246, 247 และ พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 153
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3348/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาจ้างที่มีการลงนามไม่ถูกต้องตามข้อบังคับบริษัท แต่เป็นการกระทำภายในอำนาจตัวแทน จำเลยต้องผูกพันตามสัญญา
แม้สัญญาจ้างแรงงานที่ทำกับโจทก์จะมีจำเลยที่ 2 กรรมการของจำเลยที่ 1 ลงชื่อเพียงคนเดียวและประทับตราของบริษัทไว้ ซึ่งไม่ถูกต้องตามข้อบังคับของจำเลยที่ 1 ที่ต้องมีกรรมการอย่างน้อย สองคนลงลายมือชื่อและประทับตราของบริษัทก็ตาม แต่สัญญาดังกล่าว เป็นการกระทำที่อยู่ภายในขอบวัตถุที่ประสงค์ของจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2ทำสัญญากับโจทก์ไปตามหน้าที่ในฐานะกรรมการ แม้การตั้งตัวแทนระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 จะไม่ได้ทำเป็นหนังสือหรือมีหลักฐานเป็นหนังสือ ก็ถือว่าจำเลยที่ 2 ทำในฐานะตัวแทนของจำเลยที่ 1 ทั้งจำเลยที่ 1 ได้ยอมรับการเข้าทำงานของโจทก์ตามสัญญา และจ่ายเงินเดือนให้โจทก์ตามที่กำหนดไว้ในสัญญา จำเลยที่ 1 จึงต้องผูกพันตามสัญญาที่จำเลยที่ 2 ทำไว้กับโจทก์ โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยใช้เงินค่าน้ำมันรถประจำเดือน โบนัสประจำปี เงินค่าบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าเสียหายกรณีผิดสัญญาจ้างตามที่กำหนดไว้ในสัญญาจ้างและค่าชดเชย เนื่องจากจำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยโจทก์ไม่ได้กระทำความผิด ฉะนั้นปัญหาว่าจำเลยต้องรับผิดจ่ายเงินตามฟ้องหรือไม่ ต้องพิจารณาจากสัญญาจ้างว่ามีการกระทำผิดสัญญาหรือไม่อย่างไร แต่ศาลแรงงานกลางยังมิได้วินิจฉัย ศาลฎีกาย้อนสำนวนไปให้ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยปัญหานี้ใหม่ ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า โจทก์ไม่สามารถทำงานให้เป็นไปตามมาตรฐานที่จำเลยที่ 1 ตั้งเป้าหมายไว้ มีเหตุให้จำเลยที่ 1 เลิกจ้างโจทก์ได้ ไม่เป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม โจทก์อุทธรณ์ว่า พยานหลักฐานของจำเลยไม่ควรรับฟังดังกล่าว เป็นอุทธรณ์โต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลาง ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 54 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3348/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาจ้างที่ไม่ถูกต้องตามรูปแบบ แต่มีผลผูกพันจำเลยจากการยอมรับและจ่ายเงินเดือน ศาลฎีกาย้อนสำนวนให้วินิจฉัยประเด็นค่าเสียหาย
แม้สัญญาจ้างแรงงานที่ทำกับโจทก์จะมีจำเลยที่ 2 กรรมการของจำเลยที่ 1 ลงชื่อเพียงคนเดียวและประทับตราของบริษัทไว้ ซึ่งไม่ถูกต้องตามข้อบังคับของจำเลยที่ 1 ที่ต้องมีกรรมการอย่างน้อยสองคนลงลายมือชื่อและประทับตราของบริษัทก็ตาม แต่สัญญาดังกล่าวเป็นการกระทำที่อยู่ภายในขอบวัตถุที่ประสงค์ของจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ทำสัญญากับโจทก์ไปตามหน้าที่ในฐานะกรรมการ แม้การตั้งตัวแทนระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 จะไม่ได้ทำเป็นหนังสือหรือมีหลักฐานเป็นหนังสือ ก็ถือว่าจำเลยที่ 2 ทำในฐานะตัวแทนของจำเลยที่ 1 ทั้ง จำเลยที่ 1 ได้ยอมรับการเข้าทำงานของโจทก์ตามสัญญาและจ่ายเงินเดือนให้โจทก์ตามที่กำหนดไว้ในสัญญา จำเลยที่ 1 จึงต้องผูกพันตามสัญญา ที่จำเลยที่ 2 ทำไว้กับโจทก์
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยใช้เงินค่าน้ำมันรถประจำเดือน โบนัสประจำปี เงินค่าบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าเสียหายกรณีผิดสัญญาจ้างตามที่กำหนดไว้ในสัญญาจ้างและค่าชดเชย เนื่องจากจำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยโจทก์ไม่ได้กระทำความผิด ฉะนั้นปัญหาว่าจำเลยต้องรับผิดจ่ายเงินตามฟ้องหรือไม่ ต้องพิจารณาจากสัญญาจ้างว่ามีการกระทำผิดสัญญาหรือไม่อย่างไร แต่ศาลแรงงานกลางยังมิได้วินิจฉัย ศาลฎีกาย้อนสำนวนไปให้ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยปัญหานี้ใหม่
ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า โจทก์ไม่สามารถทำงานให้เป็นไปตามมาตรฐานที่จำเลยที่ 1 ตั้งเป้าหมายไว้ มีเหตุให้จำเลยที่ 1 เลิกจ้างโจทก์ได้ ไม่เป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม โจทก์อุทธรณ์ว่า พยานหลักฐานของจำเลยไม่ควรรับฟังดังกล่าว เป็นอุทธรณ์โต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลาง ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยใช้เงินค่าน้ำมันรถประจำเดือน โบนัสประจำปี เงินค่าบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าเสียหายกรณีผิดสัญญาจ้างตามที่กำหนดไว้ในสัญญาจ้างและค่าชดเชย เนื่องจากจำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยโจทก์ไม่ได้กระทำความผิด ฉะนั้นปัญหาว่าจำเลยต้องรับผิดจ่ายเงินตามฟ้องหรือไม่ ต้องพิจารณาจากสัญญาจ้างว่ามีการกระทำผิดสัญญาหรือไม่อย่างไร แต่ศาลแรงงานกลางยังมิได้วินิจฉัย ศาลฎีกาย้อนสำนวนไปให้ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยปัญหานี้ใหม่
ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า โจทก์ไม่สามารถทำงานให้เป็นไปตามมาตรฐานที่จำเลยที่ 1 ตั้งเป้าหมายไว้ มีเหตุให้จำเลยที่ 1 เลิกจ้างโจทก์ได้ ไม่เป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม โจทก์อุทธรณ์ว่า พยานหลักฐานของจำเลยไม่ควรรับฟังดังกล่าว เป็นอุทธรณ์โต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลาง ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3082/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอนุญาตให้สอดเข้าเป็นจำเลยร่วมต้องแจ้งให้คู่ความคัดค้านก่อน หากไม่ปฏิบัติตามกระบวนพิจารณาเป็นโมฆะ
การที่ผู้ร้องสอดยื่นคำร้องขอเข้าเป็นจำเลยร่วมในฐานะเป็นผู้มีส่วนได้เสียในผลแห่งคดีนั้น ศาลชั้นต้นจะต้องส่งสำเนาคำร้องดังกล่าวให้แก่โจทก์และจำเลยทั้งสองเพื่อให้มีโอกาสคัดค้านก่อนตามที่บัญญัติไว้ใน ป.วิ.พ. มาตรา 21(2) และ มาตรา 57(2) แต่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องสอดเข้าเป็นจำเลยร่วมได้โดยมิได้ดำเนินกระบวนพิจารณาดังกล่าวแต่ประการใด กรณีจึงเป็นเรื่องที่ศาลชั้นต้นมิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่ง ป.วิ.พ. ในข้อที่มุ่งหมายจะให้การเป็นไปด้วยความยุติธรรมในเรื่องการยื่นคำคู่ความตามที่ ป.วิ.พ. มาตรา 27 บัญญัติไว้ ฉะนั้นกระบวนพิจารณาที่ศาลได้ดำเนินมาในเรื่องการร้องสอดนับตั้งแต่การยื่นคำร้องไม่ว่าดำเนินกระบวนพิจารณาโดยศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์ตลอดจนคำสั่งหรือคำพิพากษาในเรื่องนี้ จึงเป็นกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบตามไปด้วยจำเลยร่วมจะฎีกาต่อมาอีกไม่ได้ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ และเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้คู่ความจะมิได้โต้แย้งไว้ในเรื่องการดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้น ศาลฎีกาก็มีอำนาจหยิบยกปัญหานี้ขึ้นวินิจฉัยได้ และให้ศาลชั้นต้นดำเนินการเสียให้ถูกต้องก่อนตาม ป.วิ.พ. มาตรา 243(1)(2) ประกอบด้วยมาตรา 247.