คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.พ. ม. 247

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,368 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4360/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ลำดับชั้นศาล & คำร้องต่อเนื่อง: ศาลฎีกามีอำนาจพิจารณา แม้คำสั่งจำหน่ายคดีถึงที่สุด
การที่ศาลชั้นต้นตรวจคำร้อง ของ โจทก์ที่ขอให้ศาลฎีกาไต่สวนถึงเหตุที่โจทก์มิได้จงใจไม่นำส่งสำเนาฎีกาและเพิกถอนคำสั่งจำหน่ายคดีของศาลฎีกาแล้วสั่งยกคำร้องนั้น หากโจทก์เห็นว่าไม่ถูกต้อง โจทก์ก็ชอบที่จะใช้สิทธิอุทธรณ์คัดค้านคำสั่งศาลชั้นต้นไปยังศาลอุทธรณ์ได้ตามลำดับชั้นศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 เมื่อโจทก์อุทธรณ์คัดค้านคำสั่งศาลชั้นต้นไปยังศาลอุทธรณ์ การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าโจทก์ชอบที่จะอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นต่อศาลฎีกาและพิพากษายกอุทธรณ์ของโจทก์จึงไม่ถูกต้อง เมื่อคดีขึ้นสู่ศาลฎีกาและศาลฎีกาเห็นว่าการยื่นคำร้อง ของ โจทก์ดังกล่าวเป็นการดำเนินคดีที่ต่อเนื่องกับคำสั่งจำหน่ายคดีของศาลฎีกา ประกอบกับคดีมีหลักฐานพอที่ศาลฎีกาจะพิจารณาพิพากษาได้โดยไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่อีก ศาลฎีกาย่อมพิจารณาพิพากษาคดีไปได้ โจทก์ยื่นฎีกาแต่โจทก์ไม่นำส่งสำเนาฎีกาให้แก่จำเลยภายในกำหนดเวลาตามที่ศาลชั้นต้นกำหนด ศาลฎีกามีคำสั่งว่าโจทก์ทิ้งฟ้องให้จำหน่ายคดีจากสารบบความศาลฎีกา คำสั่งจำหน่ายคดีของศาลฎีกาที่ได้สั่งไปนั้นถึงที่สุด โจทก์จะยื่นคำร้องขอให้ศาลฎีกามีคำสั่งไต่สวนและสั่งเพิกถอนคำสั่งของศาลฎีกาที่สั่งจำหน่ายคดีซึ่งถึงที่สุดแล้วไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4360/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิกเฉยต่อการนำส่งสำเนาฎีกาและการจำหน่ายคดี การไต่สวนเหตุผลและการอุทธรณ์คำสั่ง
การที่ศาลชั้นต้นตรวจคำร้องของโจทก์ที่ขอให้ศาลฎีกาไต่สวนถึงเหตุที่โจทก์มิได้จงใจไม่นำส่งสำเนาฎีกาและเพิกถอนคำสั่งจำหน่ายคดีของศาลฎีกาแล้วสั่งยกคำร้องนั้น หากโจทก์เห็นว่าไม่ถูกต้อง โจทก์ก็ชอบที่จะใช้สิทธิอุทธรณ์คัดค้านคำสั่งศาลชั้นต้นไปยังศาลอุทธรณ์ได้ตามลำดับชั้นศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 เมื่อโจทก์อุทธรณ์คัดค้านคำสั่งศาลชั้นต้นไปยังศาลอุทธรณ์ การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าโจทก์ชอบที่จะอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นต่อศาลฎีกาและพิพากษายกอุทธรณ์ของโจทก์จึงไม่ถูกต้อง เมื่อคดีขึ้นสู่ศาลฎีกาและศาลฎีกาเห็นว่าการยื่นคำร้องของโจทก์ดังกล่าวเป็นการดำเนินคดีที่ต่อเนื่องกับคำสั่งจำหน่ายคดีของศาลฎีกา ประกอบกับคดีมีหลักฐานพอที่ศาลฎีกาจะพิจารณาพิพากษาได้ โดยไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิจารณาพิพากษาใหม่อีก ศาลฎีกาย่อมพิจารณาพิพากษาคดีไปได้
โจทก์ยื่นฎีกาแต่โจทก์ไม่นำส่งสำเนาฎีกาให้แก่จำเลยภายในกำหนดเวลาตามที่ศาลชั้นต้นกำหนด ศาลฎีกามีคำสั่งว่าโจทก์ทิ้งฟ้องให้จำหน่ายคดีจากสารบบความศาลฎีกา คำสั่งจำหน่ายคดีของศาลฎีกาที่ได้สั่งไปนั้นถึงที่สุด โจทก์จะยื่นคำร้องขอให้ศาลฎีกามีคำสั่งไต่สวนและสั่งเพิกถอนคำสั่งของศาลฎีกาที่สั่งจำหน่ายคดีซึ่งถึงที่สุดแล้วไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3870/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การชำระหนี้ด้วยตั๋วเงิน: เช็คฉบับหลังใช้หนี้แทนเช็คฉบับแรกได้ หนี้เดิมระงับ
การที่จำเลยออกเช็คฉบับแรกให้โจทก์เพื่อชำระเงินกู้ยืมต่อมาจำเลยได้ออกเช็คฉบับที่สองและฉบับที่สามเพื่อชำระหนี้แทนเช็คฉบับแรกและฉบับที่สองซึ่งเรียกเก็บเงินไม่ได้ตามลำดับถือได้ว่า เป็นการชำระหนี้อย่างอื่นแทนการชำระหนี้ที่ได้ตกลงกันไว้ โดยการชำระหนี้ด้วยตั๋วเงินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 321 หนี้เดิมตามเช็คฉบับแรกจะระงับก็ต่อเมื่อมีการใช้เงินตามเช็คฉบับที่สองหรือฉบับที่สามแล้ว จำเลยที่ 3 และที่ 4 ซึ่งเป็นผู้สลักหลังเช็คต้องร่วมกับจำเลยที่ 1 ผู้ออกเช็ครับผิดต่อโจทก์ซึ่งเป็นผู้ทรงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 967 เมื่อหนี้ตามเช็คระงับไปแล้วแม้จำเลยที่ 3 แต่ผู้เดียวฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจพิพากษาให้มีผลถึงจำเลยที่ 1 และที่ 4 ด้วย เพราะเป็นคำพิพากษาเกี่ยวด้วยการชำระหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3317/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบังคับคดีที่ขัดกับข้อเท็จจริงใหม่: ภารจำยอมสิ้นสภาพจากถนนตัดผ่าน ทำให้จำเลยปฏิบัติตามคำพิพากษาไม่ได้
ในการบังคับคดีตามคำพิพากษาซึ่งส่วนหนึ่งให้จำเลยขุดดินถมลำกระโดงภารจำยอมให้มีสภาพดังเดิมนั้น หากต่อมาปรากฏความจริงตามคำร้องของจำเลยว่า ลำกระโดงดังกล่าวหมดสภาพภารจำยอมแล้ว เพราะถูกถนนสาธารณะตัดผ่าน ภารจำยอมย่อมสิ้นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1400 และถ้าให้จำเลยขุดดินถมลำกระโดงให้มีสภาพดังเดิมแล้วจะทำให้บุคคลภายนอกเสียหายซึ่งเป็นเรื่องที่จำเลยไม่สามารถปฏิบัติตามคำพิพากษาได้โดยสุจริต ดังนั้นการที่ศาลชั้นต้นสั่งให้โจทก์ดำเนินการทางเจ้าพนักงานบังคับคดีและให้ยกคำร้องของจำเลยโดยไม่ทำการไต่สวนจึงไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณาศาลชั้นต้นชอบที่จะไต่สวนคำร้องของจำเลยแล้วมีคำสั่งตามรูปคดี.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3215-3218/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความฟ้องเรียกคืนภาษีการค้า: การชำระภาษีโดยอาศัยอำนาจตามกฎหมาย ไม่ถือเป็นการรับชำระหนี้โดยไม่มีมูล อายุความ 10 ปี
กรมสรรพากรจำเลยที่ 5 ฎีกาและยื่นคำร้องว่า กำลังดำเนินการโอนเงินมาเพื่อวางศาลเป็นค่าฤชาธรรมเนียม ขอผัดการวางเงินประมาณ 1 เดือนดังนี้ เป็นการขอขยายระยะเวลาวางเงินค่าฤชาธรรมเนียมมีกำหนดแน่นอนเท่าที่จะทำได้ ต่อมาจำเลยที่ 5 นำเงินค่าฤชาธรรมเนียมมาวางศาลภายใน 1 เดือนตามที่ขอผัดไว้ ที่ศาลชั้นต้นสั่งอนุญาตตามคำร้องและสั่งรับฎีกาจำเลยที่ 5 จึงชอบแล้ว
โจทก์ชำระเงินค่าภาษีอากรตามที่ฝ่ายจำเลยเรียกเก็บโดยอาศัยอำนาจตามกฎหมาย จำเลยจะอ้างว่าโจทก์กระทำตามอำเภอใจเพื่อชำระหนี้โดยตนรู้ว่าไม่มีความผูกพันที่ต้องชำระอันเป็นลาภมิควรได้ซึ่งมีอายุความ 1 ปีหาได้ไม่ เมื่อโจทก์ไม่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีการค้าโจทก์จึงมีอำนาจฟ้องเรียกคืนได้ภายในอายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 164.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3114-3119/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกำหนดค่าทดแทนที่ดินเวนคืน: ราคาตลาด vs. ราคาประเมิน และดอกเบี้ยตามประกาศ คปป.
ประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 295 ข้อ 76 ที่กำหนดให้ใช้ค่าทดแทนตามราคาธรรมดาที่ซื้อขายกันในท้องตลาดนั้น หมายถึงราคาธรรมดาที่อาจจะซื้อขายกันในท้องตลาดตามความเป็นจริงในวันที่พระราชกฤษฎีกาใช้บังคับ ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่นำสืบได้ มิใช่หมายความว่าถ้าในวันที่พระราชกฤษฎีกาใช้บังคับไม่มีหลักฐาน การจดทะเบียนซื้อขายกันที่สำนักงานที่ดินก็จะต้องถือเอาราคาประเมินเพื่อใช้ในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมมาใช้เป็นหลักเกณฑ์ในการกำหนดค่าทดแทน
ประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 295 ข้อ 67 บัญญัติไว้ว่า ในกรณีที่ศาลพิพากษาให้เจ้าหน้าที่ เวนคืนอสังหาริมทรัพย์หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่เวนคืนอสังหาริมทรัพย์ชำระเงินเพิ่มขึ้นให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองอสังหาริมทรัพย์ได้รับดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในเงินนั้นตั้งแต่วันที่พระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืนใช้บังคับ เมื่อพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืนใช้บังคับวันที่ 1 มกราคม 2520 แต่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยที่3 ชำระเงินเพิ่มแก่โจทก์โดยให้เสียดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีตั้งแต่วันที่ 22 มกราคม 2525 ซึ่งเป็นวันที่จำเลยที่ 3 แจ้งให้โจทก์ทราบว่าได้นำเงินไปวางไว้ที่สำนักงานวางทรัพย์จึงไม่ถูกต้อง แต่คดีนี้โจทก์มิได้ฎีกาเป็นแต่กล่าวมาในคำแก้ฎีกา ศาลฎีกาจึงไม่อาจแก้ไขให้ได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3114-3119/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกำหนดค่าทดแทนที่ดินเวนคืนตามราคาตลาด และดอกเบี้ยตามประกาศคณะปฏิวัติ
ประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 295 ข้อ 76 ที่กำหนดให้ใช้ค่าทดแทนตามราคาธรรมดาที่ซื้อขายกันในท้องตลาดนั้น หมายถึงราคาธรรมดาที่อาจจะซื้อขายกันในท้องตลาดตามความเป็นจริงในวันที่พระราชกฤษฎีกาใช้บังคับ ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่นำสืบได้ มิใช่หมายความว่าถ้าในวันที่พระราชกฤษฎีกาใช้บังคับไม่มีหลักฐาน การจดทะเบียนซื้อขายกันที่สำนักงานที่ดินก็จะต้องถือเอาราคาประเมินเพื่อใช้ในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมมาใช้เป็นหลักเกณฑ์ในการกำหนดค่าทดแทน
ประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 295 ข้อ 67 บัญญัติไว้ว่า ในกรณีที่ศาลพิพากษาให้เจ้าหน้าที่ เวนคืนอสังหาริมทรัพย์หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่เวนคืนอสังหาริมทรัพย์ชำระเงินเพิ่มขึ้นให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองอสังหาริมทรัพย์ได้รับดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในเงินนั้นตั้งแต่วันที่พระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืนใช้บังคับ เมื่อพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืนใช้บังคับวันที่ 1 มกราคม 2520 แต่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยที่ 3 ชำระเงินเพิ่มแก่โจทก์โดยให้เสียดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีตั้งแต่วันที่ 22 มกราคม 2525 ซึ่งเป็นวันที่จำเลยที่ 3 แจ้งให้โจทก์ทราบว่าได้นำเงินไปวางไว้ที่สำนักงานวางทรัพย์จึงไม่ถูกต้อง แต่คดีนี้โจทก์มิได้ฎีกาเป็นแต่กล่าวมาในคำแก้ฎีกา ศาลฎีกาจึงไม่อาจแก้ไขให้ได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2203/2531 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องคดีล้มละลาย: การมอบอำนาจ การพิสูจน์หลักฐาน และการบรรยายฟ้องที่ชัดเจน
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 6 โดยวินิจฉัยว่าโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 6 มิได้มอบอำนาจให้โจทก์ที่ 7 ฟ้องคดีล้มละลาย โจทก์ที่ 7 ในฐานะตัวแทนโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 6 จึงไม่มีอำนาจมอบให้โจทก์ที่ 10 ฟ้องคดีล้มละลายได้ โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 6 มิได้อุทธรณ์ คดีระหว่างโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 6 กับจำเลยเป็นอันยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์บรรยายฟ้องว่าโจทก์เป็นผู้ทรงเช็คพิพาทโดยจำเลยผู้สั่งจ่ายนำไปแลกเงินสด เมื่อเช็คถึงกำหนด โจทก์นำเช็คไปขึ้นเงินแต่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน โจทก์ทวงถามให้จำเลยชำระหนี้ตามเช็คหลายครั้ง จำเลยเพิกเฉย แจ้งว่าไม่สามารถชำระหนี้ให้แก่โจทก์ได้ เป็นการบรรยายฟ้องโดยแจ้งชัดและเข้าหลักเกณฑ์ข้อสันนิษฐานของกฎหมายว่า จำเลยเป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัวแล้วฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2203/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องคดีล้มละลาย, หนังสือมอบอำนาจ, การบรรยายฟ้องชัดเจน, ข้อสันนิษฐานหนี้สินล้นพ้นตัว
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 6 โดยวินิจฉัยว่าโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 6 มิได้มอบอำนาจให้โจทก์ที่ 7 ฟ้องคดีล้มละลาย โจทก์ที่ 7 ในฐานะตัวแทนโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 6 จึงไม่มีอำนาจมอบให้โจทก์ที่ 10 ฟ้องคดีล้มละลายได้ โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 6 มิได้อุทธรณ์ คดีระหว่างโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 6 กับจำเลยเป็นอันยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์บรรยายฟ้องว่าโจทก์เป็นผู้ทรงเช็คพิพาทโดยจำเลยผู้สั่งจ่ายนำไปแลกเงินสด เมื่อเช็คถึงกำหนด โจทก์นำเช็คไปขึ้นเงินแต่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน โจทก์ทวงถามให้จำเลยชำระหนี้ตามเช็คหลายครั้ง จำเลยเพิกเฉย แจ้งว่าไม่สามารถชำระหนี้ให้แก่โจทก์ได้ เป็นการบรรยายฟ้องโดยแจ้งชัดและเข้าหลักเกณฑ์ข้อสันนิษฐานของกฎหมายว่า จำเลยเป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัวแล้วฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2156/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิเลือกได้ระหว่างบอกเลิกสัญญาหรือเรียกค่าปรับรายวัน สัญญาซื้อขายกำหนดสิทธิแยกกันชัดเจน การใช้สิทธิบอกเลิกแล้วย่อมไม่อาจเรียกค่าปรับได้อีก
ตามสัญญาข้อ 8 โจทก์มีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้หากจำเลยไม่ส่งมอบของหรือส่งมอบไม่ถูกต้อง หรือไม่ครบถ้วนและมีสิทธิเรียกร้องจากธนาคารผู้ออกหนังสือค้ำประกัน รวมทั้งมีสิทธิที่จะซื้อของจากผู้อื่นและเรียกราคาที่เพิ่มขึ้นจากจำเลย ตามสัญญาข้อ 9 โจทก์ไม่ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญา และมีสิทธิเรียกเอาค่าปรับจากจำเลยเป็นรายวันได้ ดังนี้ เมื่อจำเลยไม่ส่งมอบสิ่งของให้แก่โจทก์เลยโจทก์ได้ใช้สิทธเลิกสัญญาและเรียกร้องจากธนาคารผู้ออกหนังสือค้ำประกัน อันเป็นการใช้สิทธิตามสัญญาข้อ 8 แล้ว โจทก์จึงไม่มีสิทธิที่จะเรียกค่าปรับเป็นรายวันจากจำเลยตามสัญญาข้อ 9 ได้อีก
ศาลชั้นต้นไม่ได้กำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาทว่า จำเลยที่ 1ไม่มีวัตถุประสงค์ในการซื้อขายลูกปืน จำเลยทั้งสองมิได้โต้แย้งเป็นประการอื่น ปัญหาดังกล่าวจึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย.(ที่มา-ส่งเสริมฯ)
of 237