คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.พ. ม. 247

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,368 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4222/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อพิพาทเรื่องการรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัย: ศาลวินิจฉัยตามข้อเท็จจริงในสำนวน
จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า ศาลล่างทั้งสองฟังข้อเท็จจริงนอกเหนือไปจากถ้อยคำที่ปรากฏในสำนวน โดยจำเลยที่ 1 อ้างว่า ที่ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 1 ต้องรับผิดตามกรมธรรม์คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ เป็นข้อเท็จจริงที่ไม่ปรากฏอยู่ในสำนวนนั้น เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย
โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 1 รับผิดตามสัญญาประกันวินาศภัย ซึ่งจำเลยที่ 2 ผู้เอาประกันทำไว้กับจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 รับว่าได้รับประกันวินาศภัยจริง แต่กรมธรรม์ประกันภัยไม่คุ้มครองผู้บาดเจ็บหรือการมรณะของบุคคลภายนอกดังนี้ ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 จะต้องรับผิดตามกรมธรรม์คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ ซึ่งมีปรากฏอยู่ตามเอกสารหมาย จ.2 ที่โจทก์อ้างส่ง และพยานจำเลยเองก็เบิกความรับ จึงเป็นการวินิจฉัยข้อเท็จจริงตามที่มีปรากฏอยู่ในสำนวน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4222/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การวินิจฉัยข้อเท็จจริงตามสำนวน: สัญญาประกันภัยและการรับผิดตามกรมธรรม์คุ้มครองผู้ประสบภัย
จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า ศาลล่างทั้งสองฟังข้อเท็จจริงนอกเหนือไปจากถ้อยคำที่ปรากฏในสำนวน โดยจำเลยที่ 1 อ้างว่า ที่ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 1 ต้องรับผิดตามกรมธรรม์คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ เป็นข้อเท็จจริงที่ไม่ปรากฏอยู่ในสำนวนนั้น เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย
โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 1 รับผิดตามสัญญาประกันวินาศภัย ซึ่งจำเลยที่ 2ผู้เอาประกันทำไว้กับจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 รับว่าได้รับประกันวินาศภัยจริงแต่กรมธรรม์ประกันภัยไม่คุ้มครองผู้บาดเจ็บหรือการมรณะของบุคคลภายนอกดังนี้ ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 จะต้องรับผิดตามกรมธรรม์คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ ซึ่งมีปรากฏอยู่ตามเอกสารหมาย จ.2 ที่โจทก์อ้างส่ง และพยานจำเลยเองก็เบิกความรับ จึงเป็นการวินิจฉัยข้อเท็จจริงตามที่มีปรากฏอยู่ในสำนวน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4041/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การส่งหมายและนัดสืบพยานโดยปิดประกาศหน้าศาลชอบด้วยกฎหมายเมื่อส่งโดยวิธีธรรมดาไม่ได้
ปัญหาว่าการนัดสืบพยานโจทก์ครั้งแรกโดยปิดประกาศหน้าศาลให้จำเลยทราบเป็นการชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 79 หรือไม่ เป็นข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน
ศาลชั้นต้นสั่งให้โจทก์นำส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องภายในกำหนด 5 วัน หากส่งไม่ได้ให้โจทก์แถลงเพื่อดำเนินการต่อไปภายในกำหนด 15 วัน นับแต่วันส่งไม่ได้ และกำหนดวันนัดสืบพยานโจทก์ไว้ในวันที่ 23 กรกฎาคม 2539 แต่ส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องไม่ได้ เมื่อศาลชั้นต้นเห็นว่า การส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องแก่จำเลยโดยวิธีธรรมดาไม่สามารถที่จะทำได้ การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานศาลส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องและแจ้งกำหนดวันนัดสืบพยานโจทก์ให้จำเลยทราบโดยวิธีอื่นโดยการปิดหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องไว้ ณ สถานที่ทำการอันเป็นภูมิลำเนาของจำเลยในวันที่ 19 กรกฎาคม 2539 จึงเป็นการดำเนินการตามขั้นตอนที่บัญญัติไว้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 79 วรรคแรก แล้ว ครั้นถึงวันนัดสืบพยานโจทก์ในวันที่ 23 กรกฎาคม 2539 ศาลชั้นต้นได้ไต่สวนเรื่องการส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องและฟังได้ว่ามีการปิดหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยทราบโดยชอบแล้วจริง การที่ศาลชั้นต้นให้เลื่อนไปนัดสืบพยานนัดแรกในวันที่ 11 กันยายน 2539 และศาลชั้นต้นแจ้งวันนัดให้จำเลยทราบโดยวิธีประกาศหน้าศาล ศาลชั้นต้นให้เหตุผลว่าเป็นเพราะการส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องส่งโดยวิธีการปิดหมาย การดำเนินการประกาศหน้าศาลจึงเป็นอีกวิธีการหนึ่งตาม ป.วิ.พ. มาตรา 79 มีผลเช่นเดียวกับการปิดหมาย การนัดสืบพยานนัดแรกโดยประกาศหน้าศาลจึงชอบด้วยกฎหมาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4041/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การส่งหมายเรียกโดยปิดประกาศและการขาดนัดพิจารณาโดยจงใจ การดำเนินการตามมาตรา 79 วรรคแรกชอบด้วยกฎหมาย
จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ และยื่นอุทธรณ์ในปัญหาว่าการนัดสืบพยานโจทก์ครั้งแรกโดยปิดประกาศหน้าศาลเป็นการชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 79 หรือไม่ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนแต่ศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัยเรื่องนี้ ศาลฎีกาจึงวินิจฉัยให้
ศาลชั้นต้นสั่งให้โจทก์นำส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องภายในกำหนด 5 วัน หากส่งไม่ได้ให้โจทก์แถลงเพื่อดำเนินการต่อไปภายในกำหนด 15 วัน นับแต่วันส่งไม่ได้ และกำหนดวันนัดสืบพยานโจทก์ไว้ในวันที่ 23 กรกฎาคม 2539 แต่ส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องไม่ได้ เมื่อศาลชั้นต้นเห็นว่าการส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องแก่จำเลยโดยวิธีธรรมดาไม่สามารถที่จะทำได้ การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานศาลส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องและแจ้งกำหนดวันนัดสืบพยานโจทก์ให้จำเลยทราบโดยวิธีอื่นโดยการปิดหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องไว้ ณ สถานที่ทำการอันเป็นภูมิลำเนาของจำเลยในวันที่ 19 กรกฎาคม 2539 จึงเป็นการดำเนินการตามขั้นตอนที่บัญญัติไว้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 79 วรรคแรก แล้วครั้นถึงวันนัดสืบพยานโจทก์ในวันที่ 23กรกฎาคม 2539 ศาลชั้นต้นได้ไต่สวนเรื่องการส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องและฟังได้ว่ามีการปิดหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยทราบโดยชอบแล้วจริง การที่ศาลชั้นต้นให้เลื่อนไปนัดสืบพยานนัดแรกในวันที่ 11 กันยายน 2539 และศาลชั้นต้นแจ้งวันนัดให้จำเลยทราบโดยวิธีปิดประกาศหน้าศาล โดยศาลชั้นต้นให้เหตุผลว่าเป็นเพราะการส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องส่งโดยวิธีการปิดหมายการดำเนินการดังกล่าวเป็นอีกวิธีการหนึ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 79 มีผลเช่นเดียวกับการปิดหมาย การนัดสืบพยานนัดแรกโดย ประกาศหน้าศาลจึงชอบด้วยกฎหมาย
จำเลยกล่าวอ้างว่าจำเลยขาดนัดโดยไม่จงใจ จำเลยมีหน้าที่นำสืบแต่จำเลยนำสืบเพียงว่าไม่มีการปิดหมายเรียกและสำเนาคำฟ้อง โดยมิได้นำสืบถึงพฤติการณ์อย่างอื่นให้เห็น จึงฟังว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณาโดยจงใจ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3827/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเลิกสัญญารับฝากขายและการหักกลบลบหนี้ค่าเสียหายจากการไม่คืนพื้นที่
โจทก์และจำเลยทำสัญญารับฝากขายสินค้ากันโดยโจทก์ให้ค่าตอบแทนเดือนละ 120,000 บาท แก่จำเลย และโจทก์วางเงินไว้เป็นประกันแก่จำเลย 575,100 บาท โดยพื้นที่รับฝากสินค้าจำเลยเช่ามาจากบริษัท ซ. ต่อมาบริษัท ซ. บอกเลิกสัญญาเช่าพื้นที่กับจำเลย จำเลยจึงไม่สามารถให้โจทก์ใช้พื้นที่ได้ ทำให้สัญญารับฝากขายสินค้าพิพาทต้องเลิกกันโดยโทษฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดไม่ได้ คู่สัญญาจึงต้องกลับคืนสู่ฐานะเดิมตาม ป.พ.พ. มาตรา 391 การชำระหนี้ของคู่สัญญาอันเกิดแก่การเลิกสัญญานั้น มาตรา 392 ให้นำบทบัญญัติแห่งมาตรา 369 ว่าด้วยการชำระหนี้ในสัญญาต่างตอบแทนมาใช้บังคับ โจทก์ต้องออกจากพื้นที่พิพาทเพื่อกลับคืนสู่ฐานะเดิม เมื่อโจทก์ยังไม่ได้ออกจากพื้นที่พิพาท จึงยังไม่มีสิทธิฟ้องเรียกเอาเงินประกันคืนจากจำเลยได้ ปัญหานี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาจึงหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5) ประกอบด้วย มาตรา 246 และ 247 แต่เมื่อจำเลยได้ ฟ้องแย้งและฎีกาขอให้เอาเงินค่าเสียหายที่โจทก์ต้องชำระแก่จำเลยหักออกจากเงินประกันที่โจทก์วางไว้กับจำเลย จึงเป็นกรณีที่จำเลยขอหักหนี้โดยไม่ต้องการประโยชน์แห่งเงื่อนเวลาต่อไป ซึ่งย่อมกระทำได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 192 วรรคสอง จึงต้องนำเอาค่าเสียหายที่โจทก์ก่อขึ้นอันเนื่องมาจากการไม่ส่งมอบพื้นที่พิพาทให้แก่จำเลยตลอดเวลา ที่ยังไม่ส่งมอบพื้นที่พิพาทคืน หักกับเงินประกันที่โจทก์วางไว้กับจำเลยดังกล่าวจนกว่าจะส่งมอบพื้นที่พิพาทคืน
การที่จำเลยฎีกาว่า เมื่อหักกับเงินประกันของโจทก์ที่เหลืออยู่จำนวน 352,361.76 บาทแล้ว โจทก์จะต้องชำระเงินค่าเสียหายให้จำเลยอีกจำนวน 212,698.56 บาท นั้น เป็นฎีกาที่เกินกว่าคำขอตามฟ้องแย้งของจำเลย ศาลบังคับให้ไม่ได้ เพราะฟ้องแย้งเป็นคำฟ้องอย่างหนึ่ง ซึ่งตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 ห้ามมิให้พิพากษาหรือทำคำสั่งให้สิ่งใดๆ เกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3827/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเลิกสัญญารับฝากขาย การหักกลบลบหนี้ค่าเสียหาย และสิทธิในการได้รับเงินประกันคืน
โจทก์และจำเลยทำสัญญารับฝากขายสินค้ากันโดยโจทก์ให้ค่าตอบแทนเดือนละ 120,000 บาท แก่จำเลย และโจทก์วางเงิน ไว้เป็นประกันแก่จำเลย 575,100 บาท โดยพื้นที่รับฝากสินค้า จำเลยเช่ามาจากบริษัทซ.ต่อมาบริษัทซ.บอกเลิกสัญญาเช่าพื้นที่กับจำเลย จำเลยจึงไม่สามารถให้โจทก์ใช้พื้นที่ได้ ทำให้สัญญารับฝากขายสินค้าพิพาทต้องเลิกกันโดยโทษฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดไม่ได้ คู่สัญญาจึงต้องกลับคืนสู่ฐานะเดิมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 391 การชำระหนี้ ของคู่สัญญาอันเกิดแก่การเลิกสัญญานั้น มาตรา 392 ให้นำบทบัญญัติแห่งมาตรา 369 ว่าด้วยการชำระหนี้ในสัญญาต่างตอบแทน มาใช้บังคับโจทก์ต้องออกจากพื้นที่พิพาทเพื่อกลับคืนสู่ฐานะเดิมแต่โจทก์เมื่อยังไม่ได้ออกจากพื้นที่พิพาท จึงยังไม่มีสิทธิฟ้องเรียกเอาเงินประกันคืนจากจำเลยได้ ปัญหานี้เป็นปัญหาข้อกฎหมาย อันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาจึงหยิบยก ขึ้นมาวินิจฉัยได้ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5) ประกอบด้วย มาตรา 246 และ 247 แต่เมื่อ จำเลยได้ฟ้องแย้งและฎีกาขอให้เอาเงินค่าเสียหายที่โจทก์ ต้องชำระแก่จำเลยหักออกจากเงินประกันที่โจทก์วางไว้กับ จำเลย จึงเป็นกรณีที่จำเลยขอหักหนี้โดยไม่ต้องการประโยชน์ แห่งเงื่อนเวลาต่อไป ซึ่งย่อมกระทำได้ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 192 วรรคสอง จึงต้องนำเอาค่าเสียหายที่โจทก์ก่อขึ้นอันเนื่องมาจากการ ไม่ส่งมอบพื้นที่พิพาทให้แก่จำเลยตลอดเวลาที่ยังไม่ส่งมอบ พื้นที่พิพาทคืนหักกับเงินประกันที่โจทก์วางไว้กับจำเลย ดังกล่าวจนกว่าจะส่งมอบพื้นที่พิพาทคืน การที่จำเลยฎีกาว่า เมื่อหักกับเงินประกันของโจทก์ที่เหลืออยู่ จำนวน 352,361.76 บาทแล้ว โจทก์จะต้องชำระเงินค่าเสียหาย ให้แก่จำเลยอีกจำนวน 212,698.56 บาทนั้นเป็นฎีกาที่เกินกว่า คำขอตามฟ้องแย้งของจำเลย ศาลบังคับให้ไม่ได้เพราะฟ้องแย้ง เป็นคำฟ้องอย่างหนึ่ง ซึ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 ห้ามมิให้พิพากษาหรือทำคำสั่งให้สิ่งใด ๆ เกินไปกว่า หรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3504/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาเช่าซื้อ, ค่าเสียหายจากการใช้ทรัพย์โดยมิชอบ, การกำหนดค่าเสียหายโดยศาล
เมื่อปัญหาในเรื่องการทำสัญญาเช่าซื้อฟังได้เป็นยุติตามที่จำเลยให้การรับว่า จำเลยได้ทำสัญญาเช่าซื้อกับโจทก์จริง การที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยเห็นว่า ล. ลงลายมือชื่อในสัญญาเช่าซื้อในฐานะผู้รับมอบอำนาจจากโจทก์ แต่ทางนำสืบของโจทก์ไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้มอบอำนาจให้ ล. กระทำการแทนโจทก์ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องนั้น จึงเป็นการไม่ชอบ
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อโจทก์ติดตามยึดรถที่ให้จำเลยเช่าซื้อคืนมาแล้วปรากฏว่าเครื่องยนต์และสีได้รับความเสียหายต้องทำสีใหม่ทั้งคันและจำเลยนำรถของโจทก์ไปใช้ประโยชน์โดยมิชอบในระหว่างผิดสัญญาเช่าซื้อ โจทก์บอกเลิกสัญญาแล้ว ขอให้จำเลยชำระค่าขาดประโยชน์พร้อมด้วยดอกเบี้ย แต่โจทก์ไม่ได้เรียกค่าเสียหายในการที่เครื่องยนต์และสีรถเสียหายมาด้วยการที่โจทก์นำสืบถึงค่าเสียหายในเรื่องดังกล่าว เป็นการนอกคำขอของโจทก์ ศาลจึงไม่อาจพิพากษาค่าเสียหายส่วนนี้ให้ได้ ประเด็นที่ว่าค่าเสียหายในการขาดประโยชน์จากการใช้ทรัพย์ระหว่างผิดนัดมีเพียงใดนั้น แม้ศาลล่างทั้งสองไม่ได้วินิจฉัยไว้ แต่โจทก์ได้ยกประเด็นนี้ขึ้นในชั้นอุทธรณ์ฎีกา ทั้งได้สืบพยานไว้แล้ว ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยให้เสร็จสิ้นไปโดยไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3504/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องสัญญาเช่าซื้อ, นอกคำขอ, ค่าขาดประโยชน์จากทรัพย์สิน
เมื่อปัญหาในเรื่องการทำสัญญาเช่าซื้อฟังได้เป็นยุติตามที่จำเลยให้การรับว่า จำเลยได้ทำสัญญาเช่าซื้อกับโจทก์จริง การที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยเห็นว่า ล.ลงลายมือชื่อในสัญญาเช่าซื้อในฐานะผู้รับมอบอำนาจจากโจทก์ แต่ทางนำสืบของโจทก์ไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้มอบอำนาจให้ ล.กระทำการแทนโจทก์ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องนั้น จึงเป็นการไม่ชอบ
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อโจทก์ติดตามยึดรถที่ให้จำเลยเช่าซื้อคืนมาแล้วปรากฏว่าเครื่องยนต์และสีได้รับความเสียหายต้องทำสีใหม่ทั้งคัน และจำเลยนำรถของโจทก์ไปใช้ประโยชน์โดยมิชอบในระหว่างผิดสัญญาเช่าซื้อ โจทก์บอกเลิกสัญญาแล้ว ขอให้จำเลยชำระค่าขาดประโยชน์พร้อมด้วยดอกเบี้ย แต่โจทก์ไม่ได้เรียกค่าเสียหายในการที่เครื่องยนต์และสีรถเสียหายมาด้วย การที่โจทก์นำสืบถึงค่าเสียหายในเรื่องดังกล่าว เป็นการนอกคำขอของโจทก์ ศาลจึงไม่อาจพิพากษาค่าเสียหายส่วนนี้ให้ได้
ประเด็นที่ว่าค่าเสียหายในการขาดประโยชน์จากการใช้ทรัพย์ระหว่างผิดนัดมีเพียงใดนั้น แม้ศาลล่างทั้งสองไม่ได้วินิจฉัยไว้ แต่โจทก์ได้ยกประเด็นนี้ขึ้นในชั้นอุทธรณ์ฎีกา ทั้งได้สืบพยานไว้แล้ว ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยให้เสร็จสิ้นไปโดยไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3503/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การดำเนินคดีอย่างคนอนาถา: การอุทธรณ์คำสั่งที่ศาลต้องส่งไปยังศาลฎีกา และการพิจารณาฐานะยากจนของผู้ขอ
จำเลยที่ 1 ขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาในชั้นฎีกา เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาในชั้นฎีกาแล้ว จำเลยที่ 1อาจยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวต่อศาลฎีกาภายในกำหนดเจ็ดวัน นับแต่วันมีคำสั่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 156 วรรคท้าย เพราะเป็นเรื่องอยู่ในกระบวนการพิจารณาของศาลฎีกาจำเลยที่1กลับอุทธรณ์คำสั่งต่อศาลอุทธรณ์จึงเป็นการไม่ชอบ ซึ่งศาลอุทธรณ์ชอบที่จะส่งคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไปให้ศาลฎีกาพิจารณาสั่งต่อไป การที่ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้ยกคำร้องนั้นจึงไม่ชอบปัญหานี้เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนแม้จำเลยที่ 1 มิได้ฎีกาคัดค้านคำสั่งศาลอุทธรณ์ดังกล่าวศาลฎีกาก็มีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 142(5),246 และ 247ให้เพิกถอนคำสั่งศาลอุทธรณ์ที่สั่งยกคำร้อง แม้จำเลยที่ 1 จะอยู่ในฐานะลำบาก กิจการที่ดำเนินการอยู่ต้องลดสัดส่วนและต้องนำรายได้มาเป็นค่าจ้างให้แก่ลูกจ้างประมาณ 100 คน มีหนี้สินถูกฟ้องหลายคดีทุนทรัพย์ประมาณ 1,000 ล้านบาทหลักทรัพย์ถูกยึดเป็นประกันหนี้จำนองและมีราคาลดลง กับจำเลยที่ 1 ยังมีภาระอุปการะเลี้ยงดูบุตรก็ตาม แต่จำเลยที่ 1ก็ยังดำเนินกิจการมีรายได้ตลอดจนมีทรัพย์สินอยู่ ประกอบกับในชั้นอุทธรณ์จำเลยก็สามารถเสียค่าธรรมเนียมศาลได้จึงยังไม่เป็นที่พอใจว่าจำเลยที่ 1เป็นคนยากจนไม่สามารถเสียค่าธรรมเนียมศาลได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3398/2542 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กระบวนการพิจารณาฎีกาและการสั่งรับหรือไม่รับฎีกา: ความถูกต้องตามขั้นตอนและอำนาจศาล
เมื่อจำเลยฎีกาพร้อมคำร้องขอให้ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ที่นั่งพิจารณาคดีรับรองให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง และยื่นคำร้องขอฟ้องฎีกาอย่างคนอนาถา ศาลชั้นต้นสั่งในฎีกาและคำร้องขอฟ้องฎีกาอย่างคนอนาถาว่า รอฟังคำสั่งศาลอุทธรณ์ก่อนจึงจะพิจารณาสั่ง ต่อมาผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ที่นั่งพิจารณาคดีนี้ไม่รับรองให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง และเมื่อศาลชั้นต้นเห็นว่าจำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงไม่ได้เพราะต้องห้ามตามกฎหมาย ก็ชอบที่จะสั่งยกคำร้องขอฟ้องฎีกาอย่างคนอนาถานั้นเสียโดยไม่ต้องไต่สวนคำร้องตาม ป.วิ.พ.มาตรา 156 วรรคสามแต่ศาลชั้นต้นต้องกำหนดให้จำเลยนำเงินค่าธรรมเนียมชั้นฎีกามาชำระภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นเห็นสมควรกำหนดก่อน เมื่อถึงกำหนดแล้วไม่ชำระจึงจะสั่งในฎีกาของจำเลยว่ารับหรือไม่รับฎีกา ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 18 ศาลชั้นต้นยังไม่ควรก้าวล่วงไปสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยเสียในตอนนี้ เมื่อศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาไม่ถูกต้อง และศาลอุทธรณ์ไม่ได้แก้ไข ศาลฎีกาจึงอาศัยอำนาจตาม ป.วิ.พ.มาตรา 243 (1) (2) ประกอบด้วยมาตรา 247 แก้ไขให้ถูกต้องโดยให้ศาลชั้นต้นสั่งฎีกาของจำเลยเสียใหม่ ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 156 วรรคสาม
of 237