พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,368 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1824/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การหักหนี้จากบัญชีธนาคาร และผลผูกพันหนี้ร่วมของลูกหนี้หลายคน
โจทก์และจำเลยที่1มีข้อตกลงกันว่าเมื่อโจทก์ชำระเงินไปตามเล็ตเตอร์ออฟเครดิตหรือสัญญาทรัสต์ชีทแล้วให้นำไปหักจากบัญชีกระแสรายวันของจำเลยที่1ได้ซึ่งตามรายการและจำนวนเงินที่หักจากบัญชีกระแสรายวันของจำเลยที่1ได้ระบุเลขที่ของเล็ตเตอร์ออฟเครดิตจำนวนเงินตรงกับที่โจทก์นำมาฟ้องทั้ง6ฉบับทั้งเอกสารที่โจทก์แจ้งให้จำเลยที่1ทราบว่าได้หักบัญชีกระแสรายวันของจำเลยที่1ไปแล้วก็เป็นเอกสารที่โจทก์ทำขึ้นจึงรับฟังได้ว่าโจทก์ได้นำหนี้ตามสัญญาทรัสต์รีชีทไปหักจากบัญชีกระแสรายวันของจำเลยที่1แล้ว เมื่อหนี้ระงับไปแล้วแม้จำเลยที่3ที่4และที่7ถึงที่10จะมีหนังสือขอผ่อนผันชำระหนี้ก็หาทำให้ต้องรับผิดอีกไม่ แม้จำเลยที่1,ที่2,ที่4,ที่7,ที่8,ที่9และที่10จะมิได้ฎีกาขึ้นมาแต่เมื่อศาลฎีกาวินิจฉัยว่าหนี้ที่โจทก์นำมาฟ้องเป็นหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้ศาลฎีกาก็มีอำนาจพิพากษาให้มีผลไปถึงจำเลยที่1,ที่2,ที่4,ที่7,ที่8,ที่9และที่10ด้วยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา245(1),247
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1824/2539 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การหักหนี้จากบัญชีธนาคาร และผลผูกพันหนี้ร่วม การบังคับคดีตามคำพิพากษา
โจทก์และจำเลยที่ 1 มีข้อตกลงกันว่า เมื่อโจทก์ชำระเงินไปตามเล็ตเตอร์ออฟเครดิตหรือสัญญาทรัสต์ชีทแล้วให้นำไปหักจากบัญชีกระแสรายวันของจำเลยที่ 1 ได้ ซึ่งตามรายการและจำนวนเงินที่หักจากบัญชีกระแสรายวันของจำเลยที่ 1 ได้ระบุเลขที่ของเล็ตเตอร์ออฟเครดิต จำนวนเงินตรงกับที่โจทก์นำมาฟ้องทั้ง 6 ฉบับทั้งเอกสารที่โจทก์แจ้งให้จำเลยที่ 1 ทราบว่าได้หักบัญชีกระแสรายวันของจำเลยที่ 1 ไปแล้วก็เป็นเอกสารที่โจทก์ทำขึ้น จึงรับฟังได้ว่าโจทก์ได้นำหนี้ตามสัญญาทรัสต์รีชีทไปหักจากบัญชีกระแสรายวันของจำเลยที่ 1 แล้ว เมื่อหนี้ระงับไปแล้วแม้จำเลยที่ 3 ที่ 4 และที่ 7 ถึงที่ 10จะมีหนังสือขอผ่อนผันชำระหนี้ ก็หาทำให้ต้องรับผิดอีกไม่ แม้จำเลยที่ 1, ที่ 2, ที่ 4, ที่ 7, ที่ 8, ที่ 9 และที่ 10จะมิได้ฎีกาขึ้นมา แต่เมื่อศาลฎีกาวินิจฉัยว่าหนี้ที่โจทก์นำมาฟ้องเป็นหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้ ศาลฎีกาก็มีอำนาจพิพากษาให้มีผลไปถึงจำเลยที่ 1,ที่ 2, ที่ 4, ที่ 7, ที่ 8, ที่ 9 และที่ 10 ด้วยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 245(1),247
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1824/2539 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การหักหนี้จากบัญชีกระแสรายวันและการขยายผลการพิพากษาถึงจำเลยอื่น
โจทก์และจำเลยที่ 1 มีข้อตกลงกันว่า เมื่อโจทก์ชำระเงินไปตามเล็ตเตอร์ออฟเครดิตหรือสัญญาทรัสต์รีซีทแล้วให้นำไปหักจากบัญชีกระแสรายวันของจำเลยที่ 1 ได้ ซึ่งตามรายการและจำนวนเงินที่หักจากบัญชีกระแสรายวันของจำเลยที่ 1 ได้ระบุเลขที่ของเล็ตเตอร์ออฟเครดิต จำนวนเงินตรงกับที่โจทก์นำมาฟ้องทั้ง 6 ฉบับ ทั้งเอกสารที่โจทก์แจ้งให้จำเลยที่ 1 ทราบว่าได้หักบัญชีกระแสรายวันของจำเลยที่ 1 ไปแล้วก็เป็นเอกสารที่โจทก์ทำขึ้น จึงรับฟังได้ว่าโจทก์ได้นำหนี้ตามสัญญาทรัสต์รีซีทไปหักจากบัญชีกระแสรายวันของจำเลยที่ 1 แล้ว
เมื่อหนี้ระงับไปแล้วแม้จำเลยที่ 3 ที่ 4 และที่ 7 ถึงที่ 10 จะมีหนังสือขอผ่อนผันชำระหนี้ ก็หาทำให้ต้องรับผิดอีกไม่
แม้จำเลยที่ 1, ที่ 2, ที่ 4, ที่ 7, ที่ 8, ที่ 9 และที่ 10จะมิได้ฎีกาขึ้นมา แต่เมื่อศาลฎีกาวินิจฉัยว่าหนี้ที่โจทก์นำมาฟ้องเป็นหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้ ศาลฎีกาก็มีอำนาจพิพากษาให้มีผลไปถึงจำเลยที่ 1, ที่ 2, ที่ 4, ที่ 7,ที่ 8, ที่ 9 และที่ 10 ด้วย ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 245 (1), 247
เมื่อหนี้ระงับไปแล้วแม้จำเลยที่ 3 ที่ 4 และที่ 7 ถึงที่ 10 จะมีหนังสือขอผ่อนผันชำระหนี้ ก็หาทำให้ต้องรับผิดอีกไม่
แม้จำเลยที่ 1, ที่ 2, ที่ 4, ที่ 7, ที่ 8, ที่ 9 และที่ 10จะมิได้ฎีกาขึ้นมา แต่เมื่อศาลฎีกาวินิจฉัยว่าหนี้ที่โจทก์นำมาฟ้องเป็นหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้ ศาลฎีกาก็มีอำนาจพิพากษาให้มีผลไปถึงจำเลยที่ 1, ที่ 2, ที่ 4, ที่ 7,ที่ 8, ที่ 9 และที่ 10 ด้วย ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 245 (1), 247
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1734/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผลของคำพิพากษาศาลฎีกาที่ขัดแย้งกับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์และศาลชั้นต้น: สิทธิในการเรียกค่าเช่าและคืนเงินค่าเช่าล่วงหน้า
โจทก์ฟ้องเรียกค่าเช่าค้างชำระจากจำเลย จำเลยให้การว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาและฟ้องแย้งเรียกค่าเช่าล่วงหน้าคืน ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาและให้จำเลยชำระค่าเช่าที่ค้าง เมื่อศาลฎีกาวินิจฉัยว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าเช่าตามฟ้องและไม่มีสิทธิรับเงินค่าเช่าล่วงหน้าของจำเลย เงินค่าเช่าล่วงหน้าดังกล่าวจำเลยได้ฟ้องแย้งเรียกคืนจากโจทก์และได้ฎีกาขึ้นมา แต่ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาในส่วนฟ้องแย้งจึงเป็นกรณีที่คำพิพากษาของสองศาลขัดกัน ต้องถือผลตามคำพิพากษาของศาลฎีกาโจทก์จึงต้องคืนเงินค่าเช่าล่วงหน้าให้แก่จำเลย ศาลฎีกาพิพากษาให้โจทก์คืนเงินค่าเช่าดังกล่าวแก่จำเลยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1734/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเช่า: ศาลฎีกาพิพากษากลับ โจทก์ผิดสัญญา ต้องคืนค่าเช่าล่วงหน้าให้จำเลย
โจทก์ฟ้องเรียกค่าเช่าค้างชำระจากจำเลยจำเลยให้การว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาและฟ้องแย้งเรียกค่าเช่าล่วงหน้าคืนศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาและให้จำเลยชำระค่าเช่าที่ค้างเมื่อศาลฎีกาวินิจฉัยว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาโจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าเช่าตามฟ้องและไม่มีสิทธิรับเงินค่าเช่าล่วงหน้าของจำเลยเงินค่าเช่าล่วงหน้าดังกล่าวจำเลยได้ฟ้องแย้งเรียกคืนจากโจทก์และได้ฎีกาขึ้นมาแต่ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาในส่วนฟ้องแย้งจึงเป็นกรณีที่คำพิพากษาของสองศาลชั้นต้นต้องถือผลตามคำพิพากษาของศาลฎีกาโจทก์จึงต้องคืนเงินค่าเช่าล่วงหน้าให้แก่จำเลยศาลฎีกาพิพากษาให้โจทก์คืนเงินค่าเช่าดังกล่าวแก่จำเลยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1450/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องต้องพิจารณาจากข้อเท็จจริงจากการดำเนินกระบวนพิจารณา การวินิจฉัยนอกประเด็นเป็นเหตุให้ต้องย้อนสำนวน
การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่นั้นจะต้องเป็นข้อเท็จจริงที่ได้มาจากการดำเนินกระบวนพิจารณาโดยชอบเมื่อโจทก์บรรยายฟ้องไว้ว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินมีโฉนดซึ่งมีชื่อโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์จำเลยมิได้ให้การปฏิเสธว่าโจทก์ไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดดังกล่าวดังนั้นคดีไม่มีประเด็นข้อพิพาทว่าโจทก์มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทแทนมารดาโจทก์หรือไม่การที่ศาลล่างทั้งสองหยิบยกปัญหาข้อเท็จจริงขึ้นวินิจฉัยว่าโจทก์มีชื่อในโฉนดที่ดินพิพาทเป็นเพียงใส่ชื่อแทนมารดาโจทก์โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องแล้วพิพากษายกฟ้องจึงเป็นการหยิบยกข้อเท็จจริงนอกประเด็นขึ้นวินิจฉัยเป็นปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าวไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา142ข้อนี้แม้โจทก์จะมิได้ฎีกาแต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา142(5)และเมื่อศาลล่างทั้งสองยังมิได้วินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทโดยพิจารณาพยานหลักฐานตามที่คู่ความนำสืบโต้แย้งกันก่อนกรณีมีเหตุสมควรย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาและมีคำพิพากษาใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา243ประกอบด้วยมาตรา247
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1450/2539 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องต้องพิจารณาจากข้อเท็จจริงจากการดำเนินกระบวนพิจารณา หากจำเลยไม่ปฏิเสธกรรมสิทธิ์ โจทก์มีอำนาจฟ้อง
การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่นั้นจะต้องเป็นข้อเท็จจริงที่ได้มาจากการดำเนินกระบวนพิจารณาโดยชอบ เมื่อโจทก์บรรยายฟ้องไว้ว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินมีโฉนดซึ่งมีชื่อโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์จำเลยมิได้ให้การปฏิเสธว่าโจทก์ไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดดังกล่าวดังนั้นคดีไม่มีประเด็นข้อพิพาทว่าโจทก์มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทแทนมารดาโจทก์หรือไม่ การที่ศาลล่างทั้งสองหยิบยกปัญหาข้อเท็จจริงขึ้นวินิจฉัยว่าโจทก์มีชื่อในโฉนดที่ดินพิพาทเป็นเพียงใส่ชื่อแทนมารดาโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องแล้วพิพากษายกฟ้อง จึงเป็นการหยิบยกข้อเท็จจริงนอกประเด็นขึ้นวินิจฉัยเป็นปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าว ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 142 ข้อนี้แม้โจทก์จะมิได้ฎีกาแต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5) และเมื่อศาลล่างทั้งสองยังมิได้วินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทโดยพิจารณาพยานหลักฐานตามที่คู่ความนำสืบโต้แย้งกันก่อน กรณีมีเหตุสมควรย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาและมีคำพิพากษาใหม่ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 243 ประกอบด้วยมาตรา 247
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1311/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความหนี้บัตรเครดิต: สิทธิเรียกร้องมีอายุความ 2 ปีนับจากวันที่ผิดนัดชำระ และมีผลถึงลูกหนี้ร่วม
จำเลยที่2สมัครเป็นสมาชิกผู้ใช้บัตรเครดิตประเภทบัตรเสริมของโจทก์โดยจำเลยที่ 2 สามารถนำบัตรไปใช้ซื้อสินค้าและบริการตลอดจนเสียเงินสดจากสถานประกอบกิจการที่เป็นสมาชิกของโจทก์ได้โดยโจทก์เป็นผู้ออกเงินทดรองจ่ายแทนจำเลยที่ 2 ให้แก่สถานประกอบกิจการค้าต่างๆไปก่อนจากนั้นโจทก์จะเรียกเก็บเงินที่ทดรองจ่ายแทนจากจำเลยที่ 2 เป็นรายเดือนตามรอบระยะเวลาทางบัญชีที่โจทก์กำหนดเช่นนี้โจทก์จึงเป็นผู้ค้ารับทำการงานต่างๆให้แก่สมาชิกและการที่โจทก์ได้ชำระเงินแก่เจ้าหนี้ของสมาชิกแทนสมาชิกไปก่อนแล้วจึงเรียกเก็บเงินจากสมาชิกภายหลังเป็นการเรียกเอาค่าที่โจทก์ได้ออกเงินทดรองไปสิทธิเรียกร้องดังกล่าวจึงมีอายุความ 2 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 165 (7) เดิม คดีนี้จำเลยที่ 1 ที่ 3 ถึงที่ 5 เป็นลูกหนี้ร่วมกับจำเลยที่ 2 มูลความแห่งคดีเป็นการชำระหนี้ซึ่งแบ่งแยกจากกันมิได้สิทธิเรียกร้องของโจทก์ต่อจำเลยทั้งห้าเป็นอย่างเดียวกันการที่จำเลยที่ 2 ยกอายุความขึ้นต่อสู้ถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ที่ 3 ถึงที่ 5 ซึ่งเป็นลูกหนี้ร่วมได้ยกอายุความขึ้นต่อสู้แล้วเช่นกันแม้จำเลยที่ 1 ที่ 3 ถึงที่ 5 มิได้ฎีกา แต่เมื่อคดีของโจทก์ขาดอายุความศาลฎีกาย่อมมีอำนาจพิพากษาให้มีผลถึงจำเลยที่ 1 ที่ 3 ถึงที่ 5 ได้ด้วยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 245 (1), 247
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1275/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานออกเช็คและฉ้อโกงเป็นกรรมเดียวกัน หากมีคำพิพากษาเด็ดขาดในความผิดฐานออกเช็คแล้ว สิทธิฟ้องร้องในความผิดฐานฉ้อโกงย่อมระงับ
พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 ในคดีนี้เป็นจำเลยต่อศาลชั้นต้นในข้อหาความผิดตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คพ.ศ.2534 และโจทก์ในคดีนี้ได้ฟ้องจำเลยที่ 2 เป็นจำเลยในข้อหาความผิดดังกล่าวสำหรับเช็คฉบับเดียวกัน ความผิดที่ได้ฟ้องในคดีอาญาดังกล่าวกับคดีนี้จึงเป็นความผิดอันเกิดจากการกระทำกรรมเดียวกัน เมื่อศาลชั้นต้นได้พิจารณาสืบพยานฟังข้อเท็จจริง และพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในคดีที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ไปแล้วว่า จำเลยที่ 2 ไม่มีความผิด และคดีดังกล่าวถึงที่สุดโดยคู่ความมิได้อุทธรณ์ดังนี้ โจทก์จะขอให้ศาลพิจารณาข้อเท็จจริงใหม่ในข้อหาความผิดกรรมเดียวกันนั้นอีก จึงเป็นการไม่ชอบที่จะกระทำได้ เพราะสิทธิฟ้องร้องจำเลยที่ 2 ของโจทก์สำหรับข้อหาความผิดดังกล่าวในคดีนี้ได้ระงับสิ้นไปแล้ว ตาม ป.วิ.อ. มาตรา39 (4) ที่ศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์และศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิจารณาพิพากษาในข้อหาความผิดดังกล่าวอีกและศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาส่วนนี้มานั้นจึงไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ.มาตรา 39 (4) และ 193 แม้ปัญหานี้จะไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา แต่ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5), 246 และ 247 ประกอบป.วิ.อ. มาตรา 15 เมื่อปรากฏตามคำฟ้องของโจทก์ว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้ออกเช็คพิพาท และศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดฐานออกเช็คโดยเจตนาเพื่อไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คว่าการกระทำของจำเลยที่ 2 ไม่เป็นความผิดจำเลยที่ 1 จึงไม่อาจร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 2 ดังที่โจทก์ฟ้องได้ จำเลยที่ 1ย่อมไม่มีความผิดฐานร่วมกันออกเช็คโดยเจตนาเพื่อไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็ค
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันฉ้อโกงโจทก์และร่วมกันออกเช็คโยเจตนาเพื่อไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็ค อันเป็นความผิดกรรมเดียวกัน เมื่อสิทธินำคดีอาญาของโจทก์มาฟ้องจำเลยที่ 2 ในความผิดฐานออกเช็คโดยเจตนาเพื่อไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คระงับไปเพราะศาลได้มีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดฐานดังกล่าวแล้ว สิทธินำคดีอาญาของโจทก์มาฟ้องจำเลยที่ 2 ในความผิดฐานฉ้อโกงอันเป็นความผิดกรรมเดียวกันกับความผิดฐานดังกล่าวจึงต้องระงับไปด้วยที่ศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์และศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิจารณาพิพากษาในข้อหาความผิดฐานฉ้อโกงสำหรับจำเลยที่ 2 อีกและศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาส่วนนี้มานั้นจึงไม่ชอบด้วยป.วิ.อ. มาตรา 39 (4) และ 193 เช่นกัน แม้ปัญหานี้จะไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกาแต่ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของปาะชาชนศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5), 246 และ 247ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 15
การที่จำเลยที่ 1 ตกลงกับโจทก์ว่าจะนำเงินไปไถ่ถอนจำนองบ้านและที่ดินเพื่อนำบ้านและที่ดินมาขาย แล้วนำเงินที่ขายได้มาชำระหนี้ตามเช็คที่จำเลยออกให้แก่โจทก์ โดยโจทก์ได้ให้ภรรยาโจทก์จ่ายเช็คจำนวน 1,230,000บาท มอบให้จำเลยที่ 1 ไปไถ่ถอนจำนองและโจทก์ถอนแจ้งความร้องทุกข์ที่ขอให้ดำเนินคดีแก่จำเลยที่ 1 ในข้อหาความผิดเกี่ยวกับเช็คดังกล่าว โดยมีจำเลยที่ 2ออกเช็คให้โจทก์เป็นประกันไว้จำนวน 4,570,000 บาท แต่จำเลยที่ 1 มิได้ปฏิบัติตามข้อตกลง ดังนี้ ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นดังกล่าวเป็นเพียงจำเลยที่ 1 มิได้ปฏิบัติตามข้อที่ได้ตกลงไว้เท่านั้น ยังถือไม่ได้ว่าเป็นการหลอกลวงฉ้อโกงโจทก์
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันฉ้อโกงโจทก์และร่วมกันออกเช็คโยเจตนาเพื่อไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็ค อันเป็นความผิดกรรมเดียวกัน เมื่อสิทธินำคดีอาญาของโจทก์มาฟ้องจำเลยที่ 2 ในความผิดฐานออกเช็คโดยเจตนาเพื่อไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คระงับไปเพราะศาลได้มีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดฐานดังกล่าวแล้ว สิทธินำคดีอาญาของโจทก์มาฟ้องจำเลยที่ 2 ในความผิดฐานฉ้อโกงอันเป็นความผิดกรรมเดียวกันกับความผิดฐานดังกล่าวจึงต้องระงับไปด้วยที่ศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์และศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิจารณาพิพากษาในข้อหาความผิดฐานฉ้อโกงสำหรับจำเลยที่ 2 อีกและศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาส่วนนี้มานั้นจึงไม่ชอบด้วยป.วิ.อ. มาตรา 39 (4) และ 193 เช่นกัน แม้ปัญหานี้จะไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกาแต่ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของปาะชาชนศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5), 246 และ 247ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 15
การที่จำเลยที่ 1 ตกลงกับโจทก์ว่าจะนำเงินไปไถ่ถอนจำนองบ้านและที่ดินเพื่อนำบ้านและที่ดินมาขาย แล้วนำเงินที่ขายได้มาชำระหนี้ตามเช็คที่จำเลยออกให้แก่โจทก์ โดยโจทก์ได้ให้ภรรยาโจทก์จ่ายเช็คจำนวน 1,230,000บาท มอบให้จำเลยที่ 1 ไปไถ่ถอนจำนองและโจทก์ถอนแจ้งความร้องทุกข์ที่ขอให้ดำเนินคดีแก่จำเลยที่ 1 ในข้อหาความผิดเกี่ยวกับเช็คดังกล่าว โดยมีจำเลยที่ 2ออกเช็คให้โจทก์เป็นประกันไว้จำนวน 4,570,000 บาท แต่จำเลยที่ 1 มิได้ปฏิบัติตามข้อตกลง ดังนี้ ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นดังกล่าวเป็นเพียงจำเลยที่ 1 มิได้ปฏิบัติตามข้อที่ได้ตกลงไว้เท่านั้น ยังถือไม่ได้ว่าเป็นการหลอกลวงฉ้อโกงโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1100/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อพิพาทภาษีเงินได้นิติบุคคล การประเมินรายได้จากการขายหนังสือ การหักค่าใช้จ่ายรถยนต์ และการคืนเงินวาง
บัญชีอัตราภาษีการค้าประเภท1ชนิด6กำหนดให้รายรับที่ได้จากการขายสมุดเอกสารหรือสิ่งตีพิมพ์ผู้ขายทอดแรกต้องนำมาคำนวณเสียภาษีการค้าในอัตราร้อยละ1.5ส่วนข้อยกเว้นตามมาตรา79ตรี(7)กำหนดให้รายรับจากการขายหนังสือพิมพ์ซึ่งส่วนใหญ่เป็นข่าวสารที่จำหน่ายแก่สาธารณชนไม่ต้องนำมาคำนวณเพื่อเสียภาษีการค้าหนังสือนิตยสารสาวสยามของโจทก์มีเนื้อหาที่เป็นนวนิยายมากกว่าข่าวสารจึงมิใช่หนังสือพิมพ์ที่ส่วนใหญ่เป็นข่าวสารไม่ได้รับยกเว้นภาษีการค้าตามมาตรา79ตรี(7)โจทก์ต้องนำรายรับจากการจำหน่ายหนังสือดังกล่าวมารวมคำนวณเสียภาษีการค้าประเภท1ชนิด6 บัญชีคุมสินค้าของโจทก์มิได้ระบุว่ามีหนังสือคงเหลือการที่จำเลยประเมินภาษีเงินได้นิติบุคคลของโจทก์เพิ่มโดยถือว่าโจทก์รับหนังสือที่เหลือจากการขายคืนมาเป็นจำนวนร้อยละ20และขายได้กิโลกรัมละ1บาทโดยอาศัยตัวเลขจากถ้อยคำของผู้รับมอบอำนาจโจทก์ที่ได้ให้ไว้ในชั้นไต่สวนจึงชอบด้วยกฎหมาย หลักฐานทะเบียนรถยนต์หาใช่เอกสารแสดงกรรมสิทธิ์ของรถยนต์ไม่แม้ทะเบียนรถยนต์จะระบุว่าโจทก์เพิ่งเป็นเจ้าของผู้ครอบครองรถยนต์ตั้งแต่วันที่15ธันวาคม2525แต่หาต้องฟังเป็นเด็ดขาดตามนั้นเสมอไปไม่เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์เป็นเจ้าของผู้ครอบครองรถยนต์คันพิพาทตั้งแต่วันที่19มกราคม2520รายจ่ายที่เกี่ยวกับรถยนต์พิพาทนับแต่วันดังกล่าวจึงมิใช่รายจ่ายที่กำหนดขึ้นเองตามมาตรา65ตรี ศาลภาษีอากรกลางมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์ในข้อที่เป็นปัญหาข้อเท็จจริงโดยมิได้สั่งในวันที่โจทก์ยื่นอุทธรณ์และไม่แจ้งคำสั่งให้โจทก์ทราบเมื่ออุทธรณ์ดังกล่าวเป็นอุทธรณ์ที่ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากรพ.ศ.2528มาตรา25จึงไม่มีเหตุต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลภาษีอากรกลางแจ้งคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ให้โจทก์ทราบอีกเพราะไม่ทำให้ผลของคำสั่งศาลชั้นต้นเปลี่ยนแปลงไป