คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.พ. ม. 247

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,368 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 361/2539 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องเคลือบคลุมผู้รับประกันภัย: ขาดการระบุความสัมพันธ์ระหว่างผู้ขับขี่กับผู้เอาประกันภัย ทำให้จำเลยไม่ต้องรับผิด
จำเลยที่ 2 มิได้ให้การต่อสู้ว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม การที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์เกี่ยวกับจำเลยที่ 2 เคลือบคลุมด้วยจึงไม่ชอบถือว่าเป็นข้อที่มิได้ว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลล่าง ต้องห้ามมิให้ฎีกา ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 249 วรรคแรก แต่เมื่อโจทก์ฟ้องขอให้จำเลยที่ 2 รับผิดในฐานะเป็นผู้รับประกันภัยตาม ป.พ.พ. มาตรา 887 ซึ่งผู้รับประกันภัยจะต้องรับผิดต่อเมื่อเป็นวินาศภัย ซึ่งผู้เอาประกันภัยจะต้องรับผิดชอบ เมื่อโจทก์ไม่บรรยายฟ้องให้ปรากฏว่าใครเป็นผู้เอาประกันภัยรถยนต์คันที่จำเลยที่ 2 เป็นผู้รับประกันภัย และนาย ค.ผู้ขับรถยนต์คันนี้มีนิติสัมพันธ์อย่างไรกับผู้เอาประกันภัยซึ่งผู้เอาประกันภัยจะต้องร่วมรับผิดในผลแห่งละเมิดของนาย ค. ด้วย คำฟ้องของโจทก์จึงขาดสาระสำคัญอันเป็นประเด็นแห่งคดีที่พึงกระทำให้จำเลยที่ 2 ต้องรับผิด และศาลจะพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีจำเลยที่ 2 โดยไม่อาศัยคำฟ้องไม่ได้ จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ตามมาตรา 887 และปัญหาข้อนี้เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5)ประกอบมาตรา 246 และ 247
โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 1 รับผิดในฐานะผู้รับประกันภัยค้ำจุน แต่มิได้บรรยายฟ้องว่า นาย ว. ผู้ขับรถยนต์คันที่จำเลยที่ 1 รับประกันภัยนั้นขับรถยนต์คันดังกล่าวในฐานะใด หรือมีนิติสัมพันธ์อย่างไรกับผู้เอาประกันภัยรถยนต์คันนั้น อันจะเป็นเหตุให้ผู้เอาประกันภัยจะต้องร่วมรับผิดในผลแห่งละเมิดของนาย ว. เมื่อโจทก์มิได้บรรยายถึงเหตุที่จะทำให้ผู้เอาประกันภัยต้องรับผิดแล้ว จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้รับประกันภัยค้ำจุนซึ่งจะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนก็ต่อเมื่อเป็นวินาศภัยซึ่งผู้เอาประกันภัยจะต้องรับผิดชอบ จึงไม่ต้องรับผิดด้วย คำฟ้องของโจทก์เกี่ยวกับจำเลยที่ 1จึงเป็นฟ้องเคลือบคลุม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 361/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องเคลือบคลุม ผู้รับประกันภัยต้องรับผิดเมื่อผู้เอาประกันภัยต้องรับผิดตามกฎหมาย
จำเลยที่2มิได้ให้การต่อสู้ว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมการที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์เกี่ยวกับจำเลยที่2เคลือบคลุมด้วยจึงไม่ชอบถือว่าเป็นข้อที่มิได้ว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลล่างต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา249วรรคแรกแต่เมื่อโจทก์ฟ้องขอให้จำเลยที่2รับผิดในฐานะเป็นผู้รับประกันภัยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา887ซึ่งผู้รับประกันภัยจะต้องรับผิดต่อเมื่อเป็นวินาศภัยซึ่งผู้เอาประกันภัยจะต้องรับผิดชอบเมื่อโจทก์ไม่บรรยายฟ้องให้ปรากฏว่าใครเป็นผู้เอาประกันภัยรถยนต์คันที่จำเลยที่2เป็นผู้รับประกันภัยและนาย ค.ผู้ขับรถยนต์คันนี้มีนิติสัมพันธ์อย่างไรกับผู้เอาประกันภัยซึ่งผู้เอาประกันภัยจะต้องร่วมรับผิดในผลแห่งละเมิดของนาย ค. ด้วยคำฟ้องของโจทก์จึงขาดสาระสำคัญอันเป็นประเด็นแห่งคดีที่พึงกระทำให้จำเลยที่2ต้องรับผิดและศาลจะพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีจำเลยที่2โดยไม่อาศัยคำฟ้องไม่ได้จำเลยที่2จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ตามมาตรา887และปัญหาข้อนี้เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกาหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา142(5)ประกอบมาตรา246และ247 โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่1รับผิดในฐานะผู้รับประกันภัยค้ำจุนแต่มิได้บรรยายฟ้องว่านาย ว. ผู้ขับรถยนต์คันที่จำเลยที่1รับประกันภัยนั้นขับรถยนต์คันดังกล่าวในฐานะใดหรือมีนิติสัมพันธ์อย่างไรกับผู้เอาประกันภัยรถยนต์คันนั้นอันจะเป็นเหตุให้ผู้เอาประกันภัยจะต้องร่วมรับผิดในผลแห่งละเมิดของนาย ว.เมื่อโจทก์มิได้บรรยายถึงเหตุที่จะทำให้ผู้เอาประกันภัยต้องรับผิดแล้วจำเลยที่1ในฐานะผู้รับประกันภัยค้ำจุนซึ่งจะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนก็ต่อเมื่อเป็นวินาศภัยซึ่งผู้เอาประกันภัยจะต้องรับผิดชอบจึงไม่ต้องรับผิดด้วยคำฟ้องของโจทก์เกี่ยวกับจำเลยที่1จึงเป็นฟ้องเคลือบคลุม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 361/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องเคลือบคลุมของผู้รับประกันภัยค้ำจุน: จำเป็นต้องระบุความสัมพันธ์ระหว่างผู้ขับ ผู้เอาประกันภัย และผู้รับประกันภัย
เฉพาะจำเลยที่1ที่ให้การว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมโดยจำเลยที่2มิได้ยกเรื่องดังกล่าวขึ้นต่อสู้ด้วยการที่ศาลวินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์เกี่ยวกับจำเลยที่2เคลือบคลุมด้วยจึงไม่ชอบถือว่าเป็นข้อที่มิได้ว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลล่างต้องห้ามมิให้ฎีกาแต่เมื่อโจทก์ฟ้องขอให้จำเลยที่2รับผิดในฐานะเป็นผู้รับประกันภัยค้ำจุนโดยมิได้บรรยายฟ้องว่าใครเป็นผู้เอาประกันภัยรถคันที่จำเลยที่2เป็นผู้รับประกันภัยและมิได้บรรยายฟ้องว่าผู้ขับรถคันนี้มีนิติสัมพันธ์อย่างไรกับผู้เอาประกันภัยซึ่งผู้เอาประกันภัยต้องร่วมรับผิดในผลแห่งละเมิดด้วยฟ้องโจทก์จึงขาดสาระสำคัญที่ทำให้จำเลยที่2ต้องรับผิดและเป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยเองได้ส่วนจำเลยที่1ซึ่งโจทก์ก็ฟ้องให้รับผิดฐานะผู้รับประกันภัยค้ำจุนเช่นกันแต่โจทก์มิได้บรรยายฟ้องว่าผู้ขับรถคันดังกล่าวขับรถคันนั้นในฐานะใดหรือมีนิติสัมพันธ์อย่างไรกับผู้เอาประกันภัยรถคันนั้นอันเป็นเหตุให้ผู้เอาประกันภัยต้องร่วมรับผิดในผลแห่งละเมิดด้วยฟ้องโจทก์ย่อมทำให้จำเลยที่1ไม่อาจต่อสู้คดีได้จึงเป็นฟ้องเคลือบคลุม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 191/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาจ้างทนายความมีลักษณะเป็นการหาประโยชน์จากการเป็นความ เป็นโมฆะ
จำเลยว่าจ้างโจทก์เป็นทนายความฟ้องคดีขับไล่ตกลงให้ค่าจ้างโจทก์250,000บาทมีข้อสัญญาว่าจำเลยจะชำระค่าจ้างให้แก่โจทก์เมื่อคดีถึงที่สุดและจำเลยเป็นฝ่ายชนะคดีกับให้โจทก์ออกเงินทดรองเป็นค่าขึ้นศาลจำนวน20,400บาทค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายต่างๆในระหว่างดำเนินคดีไปก่อนจนกว่าคดีจะถึงที่สุดถ้าจำเลยไม่ได้รับที่ดินพิพาทคืนโจทก์จะไม่ได้รับค่าจ้างเช่นนี้ข้อตกลงตามสัญญาดังกล่าวมีลักษณะเป็นการหาประโยชน์จากการที่ผู้อื่นเป็นความหรือยุยงให้ผู้อื่นเป็นความกันจึงเป็นสัญญาที่มีวัตถุประสงค์เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนย่อมตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา133(เดิม)(มาตรา150ที่แก้ไขใหม่)ปัญหาข้อนี้แม้คู่ความจะมิได้อุทธรณ์ฎีกาแต่ก็เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกาเห็นสมควรหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา142(5)ประกอบด้วยมาตรา246,247

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 191/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาจ้างทนายที่มีข้อตกลงผลประโยชน์จากการเป็นความกัน เป็นโมฆะขัดต่อความสงบเรียบร้อย
ข้อตกลงตาม สัญญาจ้างว่าความที่ให้โจทก์เป็น ทนายความของจำเลยในคดีฟ้องขับไล่โดยจำเลยจะชำระค่าจ้างให้แก่โจทก์เมื่อคดีถึงที่สุดและจำเลยเป็นฝ่ายชนะคดีกับให้โจทก์ออกเงินทดรองเป็นค่าขึ้นศาลค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายต่างๆในระหว่างดำเนินคดีไปก่อนจนกว่าคดีจะถึงที่สุดถ้าจำเลยไม่ได้รับที่ดินพิพาทคืนโจทก์จะไม่ได้รับค่าจ้างมีลักษณะเป็นการหาประโยชน์จากการที่ผู้อื่นเป็นความกันเป็นสัญญาที่มีวัตถุประสงค์ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนตกเป็นโมฆะและเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลยกขึ้นวินิจฉัยเองได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 191/2539 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาจ้างว่าความที่มีเงื่อนไขผูกพันกับการชนะคดี เป็นโมฆะเพราะขัดต่อความสงบเรียบร้อย
จำเลยว่าจ้างโจทก์เป็นทนายความฟ้องคดีขับไล่ ตกลงให้ค่าจ้างโจทก์ 250,000 บาท มีข้อสัญญาว่าจำเลยจะชำระค่าจ้างให้แก่โจทก์เมื่อคดีถึงที่สุดและจำเลยเป็นฝ่ายชนะคดี กับให้โจทก์ออกเงินทดรองเป็นค่าขึ้นศาลจำนวน 20,400 บาท ค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายต่าง ๆในระหว่างดำเนินคดีไปก่อนจนกว่าคดีจะถึงที่สุด ถ้าจำเลยไม่ได้รับที่ดินพิพาทคืน โจทก์จะไม่ได้รับค่าจ้าง เช่นนี้ข้อตกลงตามสัญญาดังกล่าวมีลักษณะเป็นการหาประโยชน์จากการที่ผู้อื่นเป็นความหรือยุยงให้ผู้อื่นเป็นความกัน จึงเป็นสัญญาที่มีวัตถุประสงค์เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนย่อมตกเป็นโมฆะ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 133(เดิม)(มาตรา 150 ที่แก้ไขใหม่) ปัญหาข้อนี้แม้คู่ความจะมิได้อุทธรณ์ฎีกาแต่ก็เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาเห็นสมควรหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5) ประกอบด้วยมาตรา 246,247

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 191/2539 เวอร์ชัน 5 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาค่าจ้างทนายความที่เป็นโมฆะเนื่องจากขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรม
จำเลยว่าจ้างโจทก์เป็นทนายความฟ้องคดีขับไล่ ตกลงให้ค่าจ้างโจทก์ 250,000 บาท มีข้อสัญญาว่าจำเลยจะชำระค่าจ้างให้แก่โจทก์เมื่อคดีถึงที่สุดและจำเลยเป็นฝ่ายชนะคดี กับให้โจทก์ออกเงินทดรองเป็นค่าขึ้นศาลจำนวน20,400 บาท ค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในระหว่างดำเนินคดีไปก่อนจนกว่าคดีจะถึงที่สุด ถ้าจำเลยไม่ได้รับที่ดินพิพาทคืน โจทก์จะไม่ได้รับค่าจ้าง เช่นนี้ข้อตกลงตามสัญญาดังกล่าวมีลักษณะเป็นการหาประโยชน์จากการที่ผู้อื่นเป็นความหรือยุยงให้ผู้อื่นเป็นความกัน จึงเป็นสัญญาที่มีวัตถุประสงค์เป็นการขัดต่อความสงบ-เรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ย่อมตกเป็นโมฆะ ตาม ป.พ.พ. 133(เดิม)(มาตรา 150 ที่แก้ไขใหม่) ปัญหาข้อนี้แม้คู่ความจะมิได้อุทธรณ์ฎีกา แต่ก็เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาเห็นสมควรหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5) ประกอบด้วยมาตรา 246, 247

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 166-168/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาไม่รับวินิจฉัยเนื่องจากคำแก้ฎีกาของจำเลยไม่ชัดแจ้งถึงข้อเคลือบคลุมของฎีกาโจทก์
จำเลยที่3แก้ฎีกาว่าฎีกาโจทก์ข้อ2และข้อ3เป็นฎีกาที่ไม่แสดงแจ้งชัดแห่งข้อหาเป็นฎีกาเคลือบคลุมศาลฎีกาไม่สมควรวินิจฉัยฎีกาของโจทก์เห็นว่าคำแก้ฎีกาของจำเลยที่3มิได้แสดงโดยชัดแจ้งในคำแก้ฎีกาว่าฎีกาของโจทก์ดังกล่าวเคลือบคลุมส่วนใดอย่างไรจึงเป็นคำแก้ฎีกาที่ไม่ชัดแจ้งไม่มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยตามคำแก้ฎีกาของจำเลยที่3ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา177วรรคสอง,246,247ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา15ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 148/2539 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิครอบครองที่ดินจากใบไต่สวนและการฟ้องซ้ำ
ใบไต่สวนตามประมวลกฎหมายที่ดินไม่ใช่เอกสารสำคัญที่แสดงว่าผู้มีชื่อในใบไต่สวนเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินนั้น แต่เป็นหนังสือซึ่งเจ้าพนักงานออกให้เพื่อแสดงว่าเจ้าของที่ดินได้นำรังวัดเพื่อออกโฉนด เมื่อโจทก์ครอบครองที่พิพาทซึ่งเป็นที่ดินที่มีใบไต่สวนโดยเจตนายึดถือเพื่อตนเป็นเวลาเกินกว่า 1 ปี โจทก์ย่อมได้ไปซึ่งสิทธิครอบครองจากเจ้าของเดิมโดยเด็ดขาดแล้ว
แม้ศาลอุทธรณ์จะไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ส่วนที่จำเลยอุทธรณ์ขอให้พิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของจำเลย แต่ก็ได้วินิจฉัยในข้อกฎหมายที่จำเลยอุทธรณ์ว่าคดีนี้เป็นฟ้องซ้ำกับคดีแพ่งอีกคดีหนึ่งหรือไม่ด้วย ดังนั้น การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลยและคืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ให้แก่จำเลยทั้งหมดนั้น จึงเป็นการไม่ชอบ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 122/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การไม่โต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้นในระหว่างพิจารณาคดีทำให้หมดสิทธิอุทธรณ์ แม้เป็นปัญหาข้อกฎหมาย
คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับบัญชีระบุพยานของจำเลยเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา หลังจากมีคำสั่ง 3 เดือนเศษ ศาลชั้นต้นจึงมีคำพิพากษา จำเลยมีโอกาสและสามารถยกปัญหาดังกล่าวขึ้นโต้แย้งได้ แต่จำเลยมิได้โต้แย้ง จึงหมดสิทธิอุทธรณ์ในปัญหาดังกล่าว ปัญหานี้แม้จะเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1ได้รับวินิจฉัยไว้ก็ตาม ก็ยังคงเป็นปัญหาที่มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
of 237